หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 003

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 003
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 003
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกัน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ทำใจของเราให้สงบระงับจากความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ถึงเราหยุดไม่ได้ ละไม่ได้ ก็ให้หยุดชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราไปด้วย ไม่ต้องพนมมือนะ วางกายให้กับสบาย นั่งให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ต่อเนื่องกันสักสองสามเที่ยว กายก็สบายขึ้นเยอะ ใจก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจชัดเจน

ตั้งแต่เกิดมา เราเคยสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่องกันสักห้านาทีสิบนาทีหรือไม่ จนเป็นอัตโนมัติในการรับรู้ ในการรู้ รู้กายแล้วก็รู้ใจ แต่ส่วนมากเราก็รู้อยู่แต่ในภาพรวม เราก็เลยจำแนกแจกแจงไม่ได้ว่า อันนี้คือสติรู้ตัวที่เราตั้งขึ้นมา อันนี้คือจิต ลักษณะของจิต จิตที่ปกติ จิตที่เกิด อาการของความคิดที่มาปรุงแต่งจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร เราไม่เห็น เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว เพราะว่าเราขาดการเจริญสติที่ต่อเนื่อง

ทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาแล้วก็ได้ประพฤติวัตรปฏิบัติ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อนทั้งนั้น ทุกคนก็มีบุญกันมาแล้วทั้งนั้น ทีนี้บุญใหม่ที่เราจะทำความเข้าใจ ศึกษาให้ลึกละเอียดลงไปว่าตัววิญญาณของเราเขาเกิดอย่างไร เขาหลงความคิด หลงอารมณ์ได้อย่างไร ลักษณะหน้าตาอาการของเขาเป็นอย่างไร สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร

ความรู้สึกรู้ตัวทั่วพร้อมเราต้องสร้างขึ้นมา ส่วนมากก็เกิดจากปัญญาที่ความคิด ความคิดที่ตัววิญญาณเข้าไปบงการ เราก็เลยรู้อยู่เฉพาะในภาพรวม เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็วิเคราะห์ใจของเรา เราวิเคราะห์ใจของเราตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ทันเราก็รู้จักควบคุมใจของเรา ให้อยู่ในความสงบ ให้ช้าลง

ลึกลงไปอีก ถ้ากำลังความรู้ตัว หรือกำลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะของจิตที่คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ เราก็จะเข้าใจในเรื่องความว่าง เข้าใจในเรื่องสมมุตติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในโลกธรรม เข้าใจรอบรู้ในกองสังขาร ความคิด อารมณ์ของตัวเราเอง รู้จักชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราอยู่ตลอดเวลา รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี ก็แก้ไขให้ถูกต้องเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าหยุด

อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เพราะว่าสภาพร่างกายของคนเรานี่ มันเป็นก้อนทุกข์ อยู่ได้ไม่นาน ถึงเวลาก็ต้องแตกต้องดับ เพราะว่าเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ มันมีความเสื่อมตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เกิดก็เสื่อมขึ้น ถึงเวลาก็เสื่อมลง ซึ่งเป็นก้อนรูป ก้อนกาย ส่วนตัววิญญาณก็เกิดๆ ดับๆ ความคิดก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสำรวจดู เราก็เลยไม่รู้ เราก็เลยไปเหมารวมกันไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

บางคนก็สร้างอานิสงส์มาดี สร้างบุญมาดี บางคนก็มาสร้างมาสานต่อ บางคนสมมติก็ลำบาก บางคนบางท่านสมมติก็ไม่ได้ลำบาก เพราะว่าสร้างบุญมาดี แล้วก็มาสร้างสานต่อให้ถูกที่ถูกทาง ก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงวาระเวลาก็ต้องปล่อยต้องวางหมด ขณะนี้ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามสร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคต

ตัวเราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ไม่ใช่ให้คนอื่นเข้ามาบังคับว่าต้องทำโน่นทำนี่ ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติในตัว บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น โตกันหมดทุกคน นี่แหละ อยู่ด้วยกันหลายคนก็มีความรักสมัครสมานสามัคคี มีความเสียสละ เป็นบุคคลที่ฝักใฝ่สนใจ สร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เวลาภายนอกเราก็ยังประโยชน์ สมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย

การชำระสะสางกิเลส กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ลักษณะหน้าตาอาการของกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของจิต หรือว่าวิญญาณที่ปกติที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิเป็นอย่างไร จิตที่มีความกังวล ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร สติปัญญาของเราต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเรา แก้ไขใจของเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ความเป็นกลาง ความว่างเป็นอย่างไร เราต้องดู ต้องรู้ ต้องแก้ไขตัวเราเอง
เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงได้แสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ ตำรา เป็นแค่เพียงแผนที่ บุคคลที่มีสติมีปัญญา ทำความเข้าใจให้ถูกที่ถูกทาง ไม่นานก็จะเข้าใจในชีวิตของตัวเราเอง ไม่เหลือวิสัย ถ้าตราบใดที่ใจของเรา รู้ว่าเรามีศรัทธา มีความฝักใฝ่ มีความสนใจ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากอารมณ์ จากสมมติไปสู่วิมุตติ จากกระแสโลกไปสู่กระแสธรรม คลี่คลายเมื่อไหร่นั่นแหละ จิตถึงจะตกกระแสธรรม

เพียงแค่เริ่มต้น สัมมาทิฎฐิ แยกรูปแยกนาม หรือว่าวิปัสสนา รู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ การสำรวจ การทำความเข้าใจให้ต่อเนื่องกันอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยม ก็ต้องติดตามมาอีก การรู้ การเห็น การหมั่นพร่ำสอนใจของเรา บุคคลที่เกียจคร้านย่อมจะไม่เข้าใจ บุคคลที่ขยันหมั่นเพียรที่ถูกที่ถูกทางเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามเพียรทั้งภายนอก เพียรทั้งภายใน ควบคู่กันไปทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก

ภาษาธรรมท่านเรียกว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา วิญญาณของเรา หรือว่าตัวจิตของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร เขาอาศัยกันอยู่ได้อย่างไร กำลังสติปัญญาของเราต้องไปค้นคว้า ศึกษาทำความเข้าใจให้ละเอียดหมด ให้หมดจด จนหมดงานที่จะทำนั่นแหละ จนมองเห็นตามสภาพความเป็นจริงได้นั่นแหละ ถึงได้นั่งอยู่สบาย ทำอะไรก็สบาย เพราะใจของเราไม่เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส

ในลึกๆ ใจของเรายังหลงความคิด หลงอารมณ์ ตรงนี้แหละสำคัญ เป็นโมหะอย่างความลุ่มลึก ทั้งที่เราก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว รู้จักสร้างบุญสร้างอานิสงส์มามากมาย ตรงนั้นเป็นพื้นฐานของการสร้างบารมี

แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา สติของเราต่อเนื่องกันหรือไม่ ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลอกุศล เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน คำว่า ‘สมาธิ’ เป็นอย่างไร ‘ศีล’ เป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ข้อวัตรปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเป็นอย่างไร เราต้องแก้ไขอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ในการละ ก็ต้องทำเอา หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน เพราะมีกายเป็นที่ตั้ง มีรูปมีนาม มีดวงจิต มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ถ้าเราไปศึกษาที่ไหน ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ แต่เป็นความเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเพียรที่เกิดจากความอยากของกิเลส

ไปศึกษาที่โน้นบ้างที่นี่บ้าง ทำไมเรายังไม่เข้าใจ เพราะยังไม่ถึงวาระเวลาของเรา ถ้าถึงวาระเวลาของเรา เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันปลูกก็ไม่ได้หรอก เราต้องหมั่นดูแล หมั่นทำความเข้าใจกับเขา หากถึงวาระเวลา ก็เติบโตขึ้นมา เขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ เราก็ได้ เพราะการดูแลการรักษาของเรา

การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน การเจริญสติของเรามีต่อเนื่องหรือไม่ การหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ทำจิตของเราให้สงบ การละกิเลสมีหรือไม่ หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบอยู่ในระดับไหน เรามีความเสียสละอยู่ในระดับไหน มันก็จะค่อยเป็นค่อยไป ให้ถูกที่ถูกทางแล้ว เราก็จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว อย่าพากันเกียจคร้าน

จงทำของยากให้เป็นของง่าย อย่าไปมองว่ามันยาก ถ้าเราเข้าใจแล้วมันจะง่าย มันจะยากสำหรับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจ จะยากสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจ จะง่ายสำหรับบุคคลที่สนใจฝักใฝ่ อาจจะลำบาช่วงใหม่ๆ อาจจะลำบาก ถ้าเราทำความเข้าใจแล้ว มันจะง่ายไปหมด อะไรก็ง่ายไปหมด เพราะว่าเราไม่ได้ฝืนอะไรสักอย่าง อาจจะฝืนตั้งแต่แรกๆ ฝืนละกิเลส ฝืนทำความเข้าใจกับการละกิเลส ก็ต้องพยายามกันนะ

วันนี้มีโอกาส ก็ขอเชิญชวนญาติพี่น้องของเรา มีโอกาสอยากจะมาร่วมบุญในการไปบวชนาค มีวันนี้ก็บวชนาคหลายคนหลายท่านที่มีจิตศรัทธาจากกรุงเทพฯ โน่นแหละ ท่านมาบวช ก็ขอเชิญชวนพี่น้องของเรา มีโอกาสไปร่วมบวชนาคด้วยกันก็ไปนะ ไปอนุโมทนาสาธุร่วมกัน อยู่ไกลๆ ก็ได้มาบวช เพราะเราเคยสร้างบุญสร้างอานิสงฆ์ร่วมกัน ถึงได้เข้ามาบวช ณ สถานที่แห่งนี้ เข้ามาบวชกันมากมาย ต่อไปข้างหน้าก็คงจะมาบวชกันมากมาย

หลวงพ่อจะพาทำสถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งบุญของทุกคน ให้เป็นแหล่งบุญจากหมู่บ้าน ตำบล จากตำบลไปจังหวัด จากจังหวัดไปประเทศ เดี๋ยวนี้ก็เป็นแหล่งบุญของประเทศแล้วเลย อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้มา ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งบ้านเมือง ทั้งใกล้ทั้งไกลก็มากันแทบทุกวัน นี่แหละแหล่งบุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์ เหล่าเทวดาก็ย่อมจะมีความสงบ มีความสุข

เรามาช่วยกันทำ จากกองบุญกองน้อยๆ ให้เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า มีอะไรก็ช่วยกัน ทั้งฆราวาสทั้งญาติโยม ทั้งพระทั้งชี ก็ช่วยกัน มีโอกาส เราจะไม่พลาดโอกาส เพียงแค่ทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ความคิดนั่นแหละ คิดดี ทำดี อะไรที่ไม่ดีเราก็พยายามละเสีย จัดระบบระเบียบความคิดอารมณ์ของเราให้ถูกต้อง ไม่เอารัดเอาเปรียบตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น สร้างความเป็นกลางให้ถูกต้อง ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุขความเจริญ อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง