หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 149
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 149
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องไปเกร็งร่างกาย ไม่ต้องพนมมือฟังไปด้วยลองน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจเข้าไปยาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัวตรงนี้ ทั้งที่มีการหายใจก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิด เราขาดการสร้างความรู้ตัว ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ใหม่ๆ เราก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรารู้การหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทำให้ต่อเนื่อง พวกเรายังไม่ฝึกให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ทั้งที่จิตใจนั้นก็เป็นบุญจิตใจนั้นก็ฝักใฝ่ในการแสวงหาธรรม อยากทำบุญอยากให้ทานอยากสร้างบารมี ความอยากก็เลยปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด ท่านถึงให้มาเจริญสติ ให้รู้จักลักษณะของการสร้างสติแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวแล้วก็รู้กาย ลึกลงไปก็รู้ลักษณะของใจ ลึกลงไปอีกก็รู้ลักษณะอาการของใจที่มาปรุงแต่งใจซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เขาเกิดอย่างไรเขาก่อตัวอย่างไร ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นเรื่องอะไร เราต้องหัดสังเกตรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็เริ่มใหม่ รู้จักควบคุมใจ ใจของเราเร็วไวท่านถึงว่าใจ ของคนเรานี้เร็วไวยิ่งกว่าลิง เดี๋ยวก็วิ่งไปโน่นบ้างเดี๋ยวก็วิ่งไปนี้บ้าง สารพัดอย่าง มีดีอยู่ในกายของเรา เราต้องเจริญสติเข้าไปค้นหา รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักหยุดรู้จักควบคุม รู้จักสังเกตมันพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
แต่ละวันตื่นขึ้นม เรามีความเกียจคร้านหรือว่าเรามีความขยัน หรือว่าใจของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่าน ใจของเราเกิดอย่างไร คำว่าการเกิด คำว่าการปรุงการแต่ง จะเข้าลักษณะของหลักของอริยสัจ ความเกิดใจส่งออกไปภายนอกนั่นแหละเข้าหลักของอริยสัจท่านว่าสมุทัย ใจส่งไปภายนอก ทุกคนก็ต้องคิดแต่ความคิดนั่นแหละความเกิดนั่นแหละ ความเกิดจากตัววิญญาณนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด หลงเสียจนเกิดความจนเป็นอัตโนมัติ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจจนกว่าใจของเราจะคลายออก คลายออกจากความหลงซึ่งเราเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
แยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้นของการรู้แจ้งเห็นจริงซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ขอให้เห็นจุดนี้ให้ได้เสียก่อนขอให้รู้จุดนี้ให้ได้เสียก่อน รู้ลักษณะของใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า ใจที่ว่างจากการเกิด ใจที่ว่างจากกิเลส การละกิเลสหยาบกิเลสสละเอียดก็ต้องตามมาอีกทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ต้องตามดูต้องตามค้นคว้าให้ได้ทุกทั้งกายทั้งใจ
ความคิดอารมณ์ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเห็นแล้วปล่อยปละละเลย เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จนหมดงานภายในคือดับความเกิด จนใจไม่เกิด ใจไม่ปรุงไม่แต่ง จนใจไม่มีกิเลส ความอยากเล็กเล็กน้อยน้อยนั่นแหละให้เราจัดการกับเขาเสีย ไม่ใช่จะไปคอยเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวเล็กๆ มันเกิดอยู่ตลอดเวลาไม่เคยสังเกตไม่เคยวิเคราะห์
แต่การเจริญสติก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ เพียงแค่การสร้างการทำให้ต่อเนื่องก็ยังทำกันไม่ชำนาญ จะไปได้ทรัพย์อันใหญ่ได้อย่างไร คนเราก็ต้องพยายามเพียร เพียรอยู่ตลอดเวลาแล้วก็ทำความเข้าใจด้วย สติของเราพลั้งเผลออย่างไร สติอ่อนอย่างไร อะไรคือส่วนของสติที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือตัวใจที่สงบ ความสงบนั่นก็เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ ถ้าใจแยกใจคลายได้ก็เปรียบเสมือนกับขันที่หงายหงายของที่คว่ำ การตามทำความเข้าใจ การดูการรู้การเห็นการละกิเลสก็ต้องตามมาอีก เราละได้มากเราละได้น้อย เราดับความเกิดได้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่
ธรรมะนั้นมีกันอยู่ประจำโลก ธรรมชาติ ธรรมชาติภายในธรรมชาติภายนอก พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบวิธีแนวทางแล้วก็เอามาเปิดเผย ใหม่ๆ นี้ อย่าเอาความคิดปัญญาของโลกิยะเข้าไปโต้แย้ง เราต้องปฏิบัติตามคำสอนของท่าน จนรู้ด้วยเห็นด้วยหมดความสงสัยได้ด้วยนั่นแหละท่านถึงบอกให้เชื่อเพราะว่าเป็นหลักสัจธรรม สัจธรรมคือความจริงอันประเสริฐนั้นมีอยู่ ขอให้เราเข้าถึงให้ได้เสียก่อน การละกิเลสก็ต้องตามมาอีก
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีบุญกันหมดทุกคน ทีนี้ความเพียรจะมีมากมีน้อย เพียรถูกทางหรือไม่ถูกทาง เพียรถูกทางก็ไปได้เร็ว เพียรไม่ถูกทางเพียรกระทั่งจนกระทั่งวันตายก็ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ขณะอยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำสมองให้โล่งกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อให้ได้ทุกอิริยาบถ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
เพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทำให้ต่อเนื่อง พวกเรายังไม่ฝึกให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ทั้งที่จิตใจนั้นก็เป็นบุญจิตใจนั้นก็ฝักใฝ่ในการแสวงหาธรรม อยากทำบุญอยากให้ทานอยากสร้างบารมี ความอยากก็เลยปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด ท่านถึงให้มาเจริญสติ ให้รู้จักลักษณะของการสร้างสติแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวแล้วก็รู้กาย ลึกลงไปก็รู้ลักษณะของใจ ลึกลงไปอีกก็รู้ลักษณะอาการของใจที่มาปรุงแต่งใจซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เขาเกิดอย่างไรเขาก่อตัวอย่างไร ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นเรื่องอะไร เราต้องหัดสังเกตรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็เริ่มใหม่ รู้จักควบคุมใจ ใจของเราเร็วไวท่านถึงว่าใจ ของคนเรานี้เร็วไวยิ่งกว่าลิง เดี๋ยวก็วิ่งไปโน่นบ้างเดี๋ยวก็วิ่งไปนี้บ้าง สารพัดอย่าง มีดีอยู่ในกายของเรา เราต้องเจริญสติเข้าไปค้นหา รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักหยุดรู้จักควบคุม รู้จักสังเกตมันพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา
แต่ละวันตื่นขึ้นม เรามีความเกียจคร้านหรือว่าเรามีความขยัน หรือว่าใจของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่าน ใจของเราเกิดอย่างไร คำว่าการเกิด คำว่าการปรุงการแต่ง จะเข้าลักษณะของหลักของอริยสัจ ความเกิดใจส่งออกไปภายนอกนั่นแหละเข้าหลักของอริยสัจท่านว่าสมุทัย ใจส่งไปภายนอก ทุกคนก็ต้องคิดแต่ความคิดนั่นแหละความเกิดนั่นแหละ ความเกิดจากตัววิญญาณนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด หลงเสียจนเกิดความจนเป็นอัตโนมัติ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจจนกว่าใจของเราจะคลายออก คลายออกจากความหลงซึ่งเราเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
แยกรูปแยกนามเพียงแค่เริ่มต้นของการรู้แจ้งเห็นจริงซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ขอให้เห็นจุดนี้ให้ได้เสียก่อนขอให้รู้จุดนี้ให้ได้เสียก่อน รู้ลักษณะของใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า ใจที่ว่างจากการเกิด ใจที่ว่างจากกิเลส การละกิเลสหยาบกิเลสสละเอียดก็ต้องตามมาอีกทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ต้องตามดูต้องตามค้นคว้าให้ได้ทุกทั้งกายทั้งใจ
ความคิดอารมณ์ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเห็นแล้วปล่อยปละละเลย เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จนหมดงานภายในคือดับความเกิด จนใจไม่เกิด ใจไม่ปรุงไม่แต่ง จนใจไม่มีกิเลส ความอยากเล็กเล็กน้อยน้อยนั่นแหละให้เราจัดการกับเขาเสีย ไม่ใช่จะไปคอยเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวเล็กๆ มันเกิดอยู่ตลอดเวลาไม่เคยสังเกตไม่เคยวิเคราะห์
แต่การเจริญสติก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ เพียงแค่การสร้างการทำให้ต่อเนื่องก็ยังทำกันไม่ชำนาญ จะไปได้ทรัพย์อันใหญ่ได้อย่างไร คนเราก็ต้องพยายามเพียร เพียรอยู่ตลอดเวลาแล้วก็ทำความเข้าใจด้วย สติของเราพลั้งเผลออย่างไร สติอ่อนอย่างไร อะไรคือส่วนของสติที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือตัวใจที่สงบ ความสงบนั่นก็เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ ถ้าใจแยกใจคลายได้ก็เปรียบเสมือนกับขันที่หงายหงายของที่คว่ำ การตามทำความเข้าใจ การดูการรู้การเห็นการละกิเลสก็ต้องตามมาอีก เราละได้มากเราละได้น้อย เราดับความเกิดได้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่
ธรรมะนั้นมีกันอยู่ประจำโลก ธรรมชาติ ธรรมชาติภายในธรรมชาติภายนอก พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบวิธีแนวทางแล้วก็เอามาเปิดเผย ใหม่ๆ นี้ อย่าเอาความคิดปัญญาของโลกิยะเข้าไปโต้แย้ง เราต้องปฏิบัติตามคำสอนของท่าน จนรู้ด้วยเห็นด้วยหมดความสงสัยได้ด้วยนั่นแหละท่านถึงบอกให้เชื่อเพราะว่าเป็นหลักสัจธรรม สัจธรรมคือความจริงอันประเสริฐนั้นมีอยู่ ขอให้เราเข้าถึงให้ได้เสียก่อน การละกิเลสก็ต้องตามมาอีก
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีบุญกันหมดทุกคน ทีนี้ความเพียรจะมีมากมีน้อย เพียรถูกทางหรือไม่ถูกทาง เพียรถูกทางก็ไปได้เร็ว เพียรไม่ถูกทางเพียรกระทั่งจนกระทั่งวันตายก็ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ขณะอยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำสมองให้โล่งกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อให้ได้ทุกอิริยาบถ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง