หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 139

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 139
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 139
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราไปอย่างไรมาอย่างไร ใจของเราสงบใจของเราสะอาดใจของเราบริสุทธิ์ การเจริญสติการสร้างสติเป็นอย่างไร กระทำความเข้าใจเป็นอย่างไร ความทะเยอทะยานอยาก ความอยาก ความการเกิดของจิตของวิญญาณเขาเกิดอย่างไร เขาหลงอะไรในส่วนลึกๆ

การทำบุญให้ทานการเจริญพรหมวิหารก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้กาลเวลาเปิดให้ พื้นที่ร่างกายของเรานี้เป็นสนามรบอย่างดี ขอให้เราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ให้เห็น รู้ลักษณะวิญญาณ รู้ลักษณะการเกิดของวิญญาณ รู้ลักษณะอาการของกายของขันธ์ห้าของเรา เราก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วนมองเห็นทะลุปรุโปร่ง สนุกทำบุญอยู่กับบุญ

พระเราก็เยอะ พระเราก็เยอะชีก็เยอะมีอะไรก็ช่วยกัน ดูดีๆ นะพระเราก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณาปฏิสังขาโย กายหิวหรือใจเกิดความอยาก ยิ่งบวชใหม่มาฝึกฝนตนเองลดละอาหาร แต่ก่อนเราอาจจะทานวันละ 3 มื้อ 4 มื้อ เรามาลดเหลือวันละมื้อ 2 มื้อ กายก็เลยเกิดความหิวใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วเร็วไว จะไปเอาตั้งแต่ธรรมแต่การละความอยากละกิเลสไม่มีเราก็ไม่ถึงธรรม

เราไม่รู้จักตัวธรรมเราก็ไม่เห็นธรรม ตัววิญญาณนั้นแหละตัวธรรม วิญญาณมันอยู่อาศัยอยู่ในกายของเราซึ่งเป็นความว่างอยู่ในกายของเรา ความว่างความโล่งความโปร่ง ความรู้สึกรับรู้มีสติคอยดูรู้อยู่นั่นแหละคือรู้ธรรม รู้รู้ใจรู้วิญญาณรู้ธรรม เราจะละกิเลสออกจากใจของเราได้หรือไม่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรแล้ว ไม่ใช่ให้คนโน้นคนละให้คนนี้เขาละให้ เราต้องละเอาละเอาทำเอา กิเลสเกิดเมื่อไหร่เราก็ละเมื่อนั้นแหละ

ใจของเรามีความแข็งกระด้างเราก็พยายามปรับสภาพใจของเราให้มีความอ่อนโยน มีความอ่อนโยนมีความอ่อนน้อม ไม่ให้ใจของเรามีความมีทิฐิมีมานะ เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาปิดกั้นเอาไว้เยอะ เราต้องเจริญสติเข้าไปสะสางหาเหตุหาผลไล่เหตุไล่ผล ให้ใจให้วิญญาณของเรานี้ยอมรับความจริงให้ได้เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้

เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นได้หรือไม่ เห็นเหตุคือการเกิดนั่นแหละ การเกิดเขาเกิดตรงไหน วิญญาณเกิดตรงไหน ขันธ์ห้าเกิดตรงไหน เข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันได้อย่างไร สติที่เราสร้างขึ้นมานี้เราสร้างให้ต่อเนื่องเอาไปวิเคราะห์รู้เท่าทันใจของเราหรือไม่ การสร้างตบะบารมีของเราเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เราต้องสร้างขึ้นมา

รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ไม่เห็นแก่กินไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบที่สูงถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เล่นเอาตั้งแต่เที่ยวเอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ แต่บุญก็ทำอยู่ก็เลยเข้าไม่ถึงจุดหมาย ก็ได้ตั้งแต่บุญได้เข้าพกเข้าห่อไปบ้าง แต่เดินถึงจุดหมายปลายทางนั้นก็คงจะยากถ้าเราไม่ละกิเลสไม่ดับความเกิดจริงๆ

เราต้องเดินให้มันถึงไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อย่าไปทิ้งเด็ดขาดเป็นงานของทุกคนเป็นบุญของทุกคน พยายามทำ บุญภายนอกบุญสมมติเราก็ทำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่คิด คิดก็คิดในทางที่ดีมองโลกในทางที่ดี อะไรที่จะเป็นอกุศลอะไรที่จะเป็นมลทินที่จะนำความความทุกข์เศร้าหมองมาให้ เราก็พยายามดับพยายามละพยายามแก้ พวกเราเกิดมา มาอยู่ร่วมกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนก็แก่เจ็บตายด้วยกัน ถึงวันละเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกันเพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง

กฎของอนิจจังคือความไม่เที่ยง แม้แต่กายของเรานี่ก็ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เกิด จากเด็กเติบโตขึ้นมาเป็นได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนผ่านการผ่านเวลา นั่นแหละคือวิบากกรรมสมมติ มันผ่านมาเรื่อยๆ จนได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบผิดถูกก็ดี จนอายุครึ่งคนหรือจนอายุมันคล้อย จากเด็กเป็นผู้ใหญ่จากผู้ใหญ่เป็นคนแก่

เกิดแก่เจ็บ อีกสักหน่อยก็ความตายรอเราอยู่ เราต้องวิเคราะห์ ถ้ายังไม่ถึงเวลาเราก็ไม่ได้ไป ขณะที่เรายังมีลมหายใจเราทำความเข้าใจให้กระจ่างทุกอย่างแล้วหรือยัง ตรงนี้แหละสำคัญ อยู่ปัจจุบันขณะนี้เดี๋ยวนี้จะยังไม่ทำก็รีบทำ ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ แต่ทุกคนก็ขวนขวายฝักใฝ่ทำอยู่ จากการทำบุญการให้ทาน การละกิเลส การดำเนินชีวิต อะไรที่มันผิดพลาดก็แก้ไข

อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกเรามีเวลาทั้งนั้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ลึกลงไปอีกการแยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ใจส่งไปพักข้างนอกเป็นอย่างไร ใจเกิดเป็นอย่างไร คำว่าหลักของอริยสัจ อริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ท่านสอนเป็นอย่างไร ท่านสอนอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร โลกธรรมเป็นอย่างไร

เราต้องศึกษาให้รู้ให้เห็น ไม่ใช่ว่ารู้เฉยๆ แต่ไม่เห็นเข้าไม่ถึง เราต้องรู้ด้วยเข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วยแล้วก็ละได้ด้วยมันถึงจะถูกต้อง จากน้อยๆ ละกิเลสออกจากน้อยๆ ไปจนมันเหือดแห้งหมดนั่นแหละถึงจะมีความสุขกัน อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ต้องพยายาม ความสมัครสมานสามัคคีมีอะไรก็ช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบาจากเบาก็แทบไม่มี ก็เหลือตั้งแต่หน้าที่ของเรา จัดการกับกิเลสของเราให้จบแล้วก็รับผิดชอบต่อสมมติ ยังสมมุติให้เกิดประโยชน์เกิดอานิสงส์อันยิ่งใหญ่

ตั้งใจรับพร

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ถึงเรารู้ไม่ต่อเนื่องก็ขอให้ฟัง ขณะที่หลวงพ่อกำลังชี้แนะแนวทางแล้วก็บอกอุบาย พวกท่านจงทำตามก็จะเห็นก็จะรู้ความรู้สึกรับรู้ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ในหลักธรรมท่านเรียกว่าสติรู้กายรู้การหายใจเข้าออก ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาจะเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่

เพียงแค่เรื่องการหายใจพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ อาจจะรู้อยู่ได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราวเวลาเราตั้งสติดูรู้ชัดเจน บางทีก็อึดอัดเพราะความไม่เคยชิน ให้หายใจธรรมชาติลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ 2-3 เที่ยว ความรู้สึกของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยนะพยายามสร้างความรู้ตรงนี้

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บรู้การหายใจเข้าออกปั๊บแล้วรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่อง ส่วนวิญญาณนั้นบางทีเขาจะเกิดปรุงแต่งส่งอกไปภายนอก ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะเห็น เห็นการเกิดการดับของวิญญาณ เห็นการเกิดการดับ เห็นความคิดเห็นอาการของขันธ์ห้าที่จะผุดขึ้นมา คือความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นแหละเขาผุดขึ้นมา ตัววิญญาณจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง

ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะรู้เท่าทันตรงนั้น ถ้ารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุหรือว่าตั้งแต่เขาก่อตัว เราก็กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกใหม่กลับไปกลับมา กลับไปกลับมาความรู้ตัวก็จะต่อเนื่องขึ้น ใจของเราก็จะช้าลงๆ ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจกันจะไปนึกเอาไปคิดเอา ถึงจะพิจารณาในธรรมคิดในธรรมก็มีตั้งแต่ปัญญากิเลสธรรมทั้งนั้น ใจยังเกิดอยู่

ความเกิดนั่นเขายังหลงหลงเกิด เกิดยังไม่พอก็ยังหลงความคิดรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้ากำลังสติปัญญาของเราหาเหตุหาผลไม่เพียงพอยากที่จะเข้าใจ ก็ได้แต่การทำบุญการให้ทาน การสร้างตบะบารมี สักวันหนึ่งเราก็จะเห็นตรงนั้น แต่อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ในการสร้างตบะสร้างบารมี ความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานรู้จักอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี

ถ้าเราจะเอาเข้าจริงๆ ไม่มีอะไรมากเลยมีอยู่ในกายของเรานี้ ดูทั้งวันทั้งคืนลองดูสิ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม เราเห็นความจริงตรงนี้แล้วสติปัญญาของเราก็จะล้นออกไปสู่โลกธรรม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร แต่ส่วนบุญนั้นทุกคนทำกันมาดีทำกันมาเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสตินี่ต้องพยายาม ก็ต้องพยายามนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำสมองให้โล่งทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ พยายามไปทำต่อให้ได้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง