หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 137

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 137
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 137
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้เดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ เพียงแค่เรื่องการสร้างความรู้ตัวเราก็พยายามสร้างขึ้นมาให้เกิดความเคยชินและก็หมั่นวิเคราะห์หมั่นรู้ เรายังวิเคราะห์อะไรไม่ได้หรอก เพราะว่าความรู้ตัวของเรายังไม่ต่อเนื่อง

ตามหลักธรรมเราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้การเกิดของวิญญาณ รู้การแยกการคลายของวิญญาณออกจากความคิด รู้เท่าทันแลัวก็ตามเห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า ใจคลายออก ว่างรับรู้ สติที่เราสร้างขึ้นมาตามดูเห็นความเกิดความดับเขาเรียกว่าเห็น ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้า ใจว่างคลายออกว่างรับรู้ ถึงจะเข้าใจในภาษาธรรมเข้าใจในภาษาโลก เข้าใจในคำว่า ‘ธรรม’

ส่วนมากใจยังเกิดยังปรุงยังแต่ง เฉพาะตัวใจหรือว่าตัววิญญาณยังเกิด ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจยังรวมกันอยู่ เราก็คิดว่าเรารู้ตรงนั้นเห็นตรงนั้น เราเห็นอยู่แต่เห็นในภาพรวม แต่ในส่วนลึกๆ เขายังเกิดยังรวมยังหลงกันอยู่ ตราบใดที่ยังไม่คลายนี่ก็จะว่าตัวเราไม่หลง ตราบใดที่เรายังสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติมีปัญญา แต่เป็นสติปัญญาของสมมติของโลกิยะ

สติปัญญาของทางธรรมนี่เราต้องสร้างขึ้นมา รู้จักเอาไปใช้เอาไปรู้เท่าทันตามทำความเข้าใจแล้วก็ให้ใจรับรู้ ทีนี้เราจะละได้หรือละไม่ได้นั่นก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ถ้าเราตามดูหาเหตุหาผลจนใจยอมรับความเป็นจริง เห็นความเป็นจริงแล้วก็มาดับความเกิดที่ใจมาละกิเลสที่ใจอีก เพียงแค่คลายความหลงแล้วเราต้องมาละกิเลสที่ใจอีกกิเลสหยาบกิเลสละเอียด

เพียงแค่การเกิดการปรุงการแต่งเราก็ต้องพยายามดับหยุด หนุนกำลังความรู้ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา หัดคิดหัดวิเคราะห์หัดทำความเข้าใจจนกลายเป็นปัญญาจนกลายเป็นมหาปัญญา จนทำหน้าที่แทนใจได้ทุกเรื่อง อะไรผิดอะไรถูก อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ปฏิบัติเอาตั้งแต่ฝึกหัดปฏิบัติโดยที่สติก็ไม่รู้เรื่องใจก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ใจเป็นบุญๆ ใจบางทีใจก็สงบบางทีใจก็ว่าง ว่างจากการเกิดว่างจากกิเลสว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เวลาเขาก่อตัวเราก็หยุดดับตั้งแต่เขาก่อตัวจะเข้าถึงตัววิญญาณ ตัววิญญาณนั้นมีอยู่ในกายของเรา วิญญาณ ความว่าง ในความว่างนั้นมีวิญญาณรับรู้อยู่

กำลังสติของเราไม่แหลมคมไม่เร็วไม่ไวเราก็เลยรู้เพียงแค่ว่าเราคิด เขาก็เกิดเขาก็วิ่งอยู่อย่างนั้นหลงวนเวียนว่ายตายเกิด เหมือนกับอยู่ในวงกลมหาทางออกไม่ได้ ถ้าเราสังเกตทันเห็นความคิดกับตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมกันปุ๊บเขาจะแยกออกจากกันเอง เหมือนกับเราตัดเชือกที่ดึงขึงตึงๆ ตัดวงกลมออกใจก็จะหงายเขาเรียกว่าพลิก ว่าง

ทีนี้เราก็มาดับความเกิดละกิเลสอีกให้มันหมดจดอีก ต้องอาศัยความเพียรอย่างยิ่งยวด อาศัยกาลอาศัยเวลาอาศัยทุกอย่าง เราจะไปตำหนิติเตียนกันนี้ไม่ค่อยจะได้เลยเพราะว่าคนเราแต่ละคนสร้างบุญสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็เกิดมาในตระกูลที่สูงบางคนก็เกิดมาในตระกูลที่ต่ำ บางคนก็เพียบพร้อมทั้งสมมติเพียบพร้อมทั้งสติปัญญา ก็ขึ้นยกให้เป็นกรรมๆ แล้วแต่ละบุคคล

แต่แนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย แล้วพวกเราจะได้เดินตามหรือไม่ทำตามหรือไม่ อย่าไปนึกไปคิดใช้ทิฎฐิมานะความคิดเห็นแบบโลกๆ ของเราเลย การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ โลกธรรมแปดเป็นอย่างนี้ เรามาอาศัยสมมติอยู่ อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ

ความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร การเจริญตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้ยังไงจะขาดยังไง เรามีความเกียจคร้านเกิดขึ้นที่ใจของเราหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมอ่อนโยน เรามีสัจจะความจริงใจตัวต่อเราหรือไม่ ทุกสิ่งเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้กลับคืนสู่สถานะเดิมคือความบริสุทธิ์

แต่เวลานี้เขาเกิดมาตั้งนานๆ เขาหลงมาตั้งนานแล้ว เราจะไปกลับไปคลาย ไปหาเหตุหาผลให้เขารู้ความเป็นจริง สติปัญญาของเราต้องเร็วต้องไวแหลมคม รู้ไม่ทันหยุดเอาไว้ท่านถึงเรียกว่าฝืนเรียกว่าทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้วใจของเราคลายแล้วตามทำความเข้าใจแล้วใจของเราถึงจะตกกระแสธรรม ทีนี้เราจะละได้หรือละไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรอย่างยิ่งยวด

อย่าพากันเกียจคร้านไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี แต่ละวันแต่ละคืนตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความเสียสละ เรามีความขยันหมั่นเพียรเต็มเปี่ยมหรือไม่ สนุกกลางคืนก็ไปสิเอากลดเอาเต็นท์ไปกางโน่นลานธรรมจักรว่างๆ กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ อยู่คนเดียวกลางคืนดึกๆ ใจของเราเป็นอย่างนี้ ความคิดมันผุดขึ้นมาอย่างนี้เราก็จะได้เห็น

อยู่กับใจหมั่นพร่ำสอนใจ สติเป็นเพื่อนใจคอยอบรมใจตลอดเวลา เราอบรมเราเราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวหาตั้งแต่ธรรมะแต่เราหาไม่ถูกที่มันก็ไปเจอ แบกกายเข้าไปหาธรรมะที่นั่นที่นี่ทั้งที่ใจมันหลอกอยู่ แม้แต่ใจมันก็ยังหลอกตัวเอง สติปัญญาก็ยังหลอกตัวเอง ถ้าเราหาเหตุหาผลไม่เพียงพออย่างน้อยๆ ก็ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างอานิสงส์สร้างประโยชน์มากมาย ประโยชน์ภายนอกเราก็ทำภายในเราก็ทำ หนักเอาเบาสู้ ละความเกียจคร้านเพิ่มความขยันหมั่นเพียร

ยิ่งคนหมู่มาก การแบกรับภาระนี่มันหนักนะ ภาระตัวเองภาระขันธ์ห้าของเรานี่ก็หนักท่านเรียกว่า ขันธ์ห้า นี่เป็นภาระที่หนัก เรามาจัดแจงแก้ไขปัญหาภายในให้มันโล่งมันโปร่งมันเบา เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ มีหน้าที่จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ มีตั้งแต่ความสงบความสุข เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินของชีวิตของเรา เรามีโอกาส โอกาสได้เปิดให้กับทุกคนมาร่วมกันมาช่วยกันงานหนักงานเบา ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กินเราต้องช่วยกันดูแล จะให้คนหนึ่งคนใดทำก็ไม่ได้ เราต้องช่วยกันหมดทุกคน อยู่หลายคนก็จะมีตั้งแต่ความสุข

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง