หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 127
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 127
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบายวางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ถึงเราละไม่ได้เราก็หยุด พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น พยายามฝึกตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็รู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก หายใจยาวหายใจสั้น หายใจหยาบหายใจละเอียด หายใจปกติ ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องเราก็รู้เท่าทันตรงนี้
ลึกลงไปเราก็จะรู้ความปกติของใจ รู้ความสงบ รู้การเกิดการก่อตัวของใจ แล้วก็รู้ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจอีกเขาเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า เป็นความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ตัวใจเขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมเองเพราะว่าเขามีอยู่แล้ว การเกิดของใจการเกิดของขันธ์ห้านี้เขามีเขาหลงมานานเขาหลงเกิดวนเวียนว่าย แต่เกิดตรงนี้มานาน
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์เข้าไปสังเกต เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องเราก็เลยรู้ไม่เท่าทันตรงนี้ เราก็เลยเพียงแค่ว่าเราคิดเราทำทำตามความคิด อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยัง เราต้องคลายความหลง คลายความหลงหรือแยกรูปแยกนาม พลิกใจออกจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน เพียงแค่พลิกเพียงแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิหรือว่าความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้เท่านั้นเอง การตามทำความเข้าใจเห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นการเกิดการดับของวิญญาณ
เรามาศึกษามาตามดูตามรู้ตามเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยงจะลงสู่ไตรลักษณ์ ลงสู่กฎของไตรลักษณ์ ความจริงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวลาเขาดับไปความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่เข้ามาเกิดขึ้นตั้งอยู่ บางทีก็เกิดจากตัวใจปรุงแต่งออกไป บางทีก็เกิดจากขันธ์ห้ากับใจรวมกัน บางทีก็รวมกันทั้งสามอย่างทั้งใจทั้งอาการของขันธ์ห้าทั้งส่วนสมองรวมกันไป เราต้องสร้างส่วนบนส่วนสติส่วนปัญญาของเรา ดูรู้เห็นหมั่นพร่ำสอนใจแล้วก็รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบ ปราศจากการเกิดปราศจากกิเลส
การพูดง่ายๆ แต่เราการลงมือกันทำความเข้าใจ ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย เกิดกิเลสมามากมายต่อมากมาย เราจะละให้หมดเสียวันหนึ่งวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องพยายามค่อยลดค่อยละ ค่อยสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ละกิเลส
ใจเกิดความทะเยอทะยานอยากใจเกิดความโลภ เราก็พยายามคลายด้วยการเอาออกด้วยการให้ด้วยการบริจาค บริจาคทั้งภายนอกให้อภัยทานทั้งภายใน มองโลกในทางที่ดี ใจของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทาน เราดับเราละความโกรธ เราละได้ตั้งแต่เขาเริ่มเกิดหรือว่ากลางเหตุปลายเหตุ หรือว่าแสดงออกมาทางกายทางวาจา เขามีหลายชั้น
เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดทุกเรื่องในชีวิตของเรา เป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่ว่าเรื่องของคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะศึกษาตัวเราแก้ไขตัวเรา การทำบุญให้ทานทางด้านวัตถุทาน เรามีโอกาสได้อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การที่จะลึกเข้าไปถึงหัวใจนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง แนวทางนั้นมีอยู่พวกเราต้องพยายามเดินให้ถึง เพียงแค่การเจริญสติให้รู้ตัวให้ต่อเนื่องพวกเราก็ทำกันกระท่อนกระแท่นไม่ค่อยจะสนใจ อาจจะรู้อยู่เป็นบางครั้งบางคราว หรือรู้อยู่เมื่อเวลาเราตั้งสติทำ
อะไรคือสติปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นปัญญาเป็นมหาปัญญา เอาไปประหัตประหารกิเลส ไปดูแลใจมันพร่ำสอนใจนี่แหละเขาเรียกถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ แรกคือตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา ‘ตน’ ตัวที่สองคือตัวใจนั่นแหละซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายก็เป็นฝ่ายรูปธรรม ทำเถอะอย่าว่าไม่ทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง งานภายนอกบนภายนอกเราก็ทำ
อันนี้ก็ใกล้จะถึงวาระงานกฐินที่วัดของเราวันที่ 24 วันที่ 25 วันที่ 24 นี้เป็นวันรวม วันที่ 25 เป็นวันทอดถวาย ญาติโยมท่านใดปรารถนาที่จะตั้งโรงทานก็ขอเชิญนะ วันที่ 24 ก็ได้ วันที่25 ก็ได้โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้กาลเวลาเปิดให้ปีหนึ่งก็จะมีงานกฐินครั้งเดียว ที่วัดเราก็ไม่ค่อยจะจัดงานด้วย นอกจากวันมีงานกฐินหรือว่าวันสำคัญเป็นบางครั้ง
ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เราควรน้อมนำเอาองค์พระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจของเรา ใจของเราปราศจากกิเลสใจของเราปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์นั่นแหละ ‘พุทธะ’ ผู้รู้ก็จะมาอยู่กับเรา รู้ธรรมรู้ใจ รู้ความสะอาดรู้ความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน จงตำหนิตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อย่าไปอคติอย่าไปเพ่งโทษคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มันเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราต้องพยายามมองโลกในทางที่ดี
ธรรมดาธรรมชาติของโลกก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละแล้วก็พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เป็นกฎของความเป็นจริง เราก็จะได้ไปเหมือนกันไม่ว่าจะไปช้าหรือไปเร็ว เราพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางทางด้านจิตทางด้านวิญญาณดับความเกิดให้มันจบกิจเสียก่อนก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ภาระหน้าที่สมมติ เราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ก็ต้องพยายามเอา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเขาออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งนะ ถึงทำไม่ได้ตลอดก็ขอให้ทำขณะที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ ตั้งสติดูรู้ให้ชัดเจน
พากันไว้ พร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น พยายามฝึกตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็รู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก หายใจยาวหายใจสั้น หายใจหยาบหายใจละเอียด หายใจปกติ ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องเราก็รู้เท่าทันตรงนี้
ลึกลงไปเราก็จะรู้ความปกติของใจ รู้ความสงบ รู้การเกิดการก่อตัวของใจ แล้วก็รู้ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจอีกเขาเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า เป็นความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ตัวใจเขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมเองเพราะว่าเขามีอยู่แล้ว การเกิดของใจการเกิดของขันธ์ห้านี้เขามีเขาหลงมานานเขาหลงเกิดวนเวียนว่าย แต่เกิดตรงนี้มานาน
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์เข้าไปสังเกต เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องเราก็เลยรู้ไม่เท่าทันตรงนี้ เราก็เลยเพียงแค่ว่าเราคิดเราทำทำตามความคิด อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยัง เราต้องคลายความหลง คลายความหลงหรือแยกรูปแยกนาม พลิกใจออกจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน เพียงแค่พลิกเพียงแค่เริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิหรือว่าความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้เท่านั้นเอง การตามทำความเข้าใจเห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นการเกิดการดับของวิญญาณ
เรามาศึกษามาตามดูตามรู้ตามเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยงจะลงสู่ไตรลักษณ์ ลงสู่กฎของไตรลักษณ์ ความจริงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวลาเขาดับไปความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่เข้ามาเกิดขึ้นตั้งอยู่ บางทีก็เกิดจากตัวใจปรุงแต่งออกไป บางทีก็เกิดจากขันธ์ห้ากับใจรวมกัน บางทีก็รวมกันทั้งสามอย่างทั้งใจทั้งอาการของขันธ์ห้าทั้งส่วนสมองรวมกันไป เราต้องสร้างส่วนบนส่วนสติส่วนปัญญาของเรา ดูรู้เห็นหมั่นพร่ำสอนใจแล้วก็รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบ ปราศจากการเกิดปราศจากกิเลส
การพูดง่ายๆ แต่เราการลงมือกันทำความเข้าใจ ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย เกิดกิเลสมามากมายต่อมากมาย เราจะละให้หมดเสียวันหนึ่งวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องพยายามค่อยลดค่อยละ ค่อยสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ละกิเลส
ใจเกิดความทะเยอทะยานอยากใจเกิดความโลภ เราก็พยายามคลายด้วยการเอาออกด้วยการให้ด้วยการบริจาค บริจาคทั้งภายนอกให้อภัยทานทั้งภายใน มองโลกในทางที่ดี ใจของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทาน เราดับเราละความโกรธ เราละได้ตั้งแต่เขาเริ่มเกิดหรือว่ากลางเหตุปลายเหตุ หรือว่าแสดงออกมาทางกายทางวาจา เขามีหลายชั้น
เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดทุกเรื่องในชีวิตของเรา เป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่ว่าเรื่องของคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะศึกษาตัวเราแก้ไขตัวเรา การทำบุญให้ทานทางด้านวัตถุทาน เรามีโอกาสได้อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การที่จะลึกเข้าไปถึงหัวใจนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง แนวทางนั้นมีอยู่พวกเราต้องพยายามเดินให้ถึง เพียงแค่การเจริญสติให้รู้ตัวให้ต่อเนื่องพวกเราก็ทำกันกระท่อนกระแท่นไม่ค่อยจะสนใจ อาจจะรู้อยู่เป็นบางครั้งบางคราว หรือรู้อยู่เมื่อเวลาเราตั้งสติทำ
อะไรคือสติปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นปัญญาเป็นมหาปัญญา เอาไปประหัตประหารกิเลส ไปดูแลใจมันพร่ำสอนใจนี่แหละเขาเรียกถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ แรกคือตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา ‘ตน’ ตัวที่สองคือตัวใจนั่นแหละซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายก็เป็นฝ่ายรูปธรรม ทำเถอะอย่าว่าไม่ทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง งานภายนอกบนภายนอกเราก็ทำ
อันนี้ก็ใกล้จะถึงวาระงานกฐินที่วัดของเราวันที่ 24 วันที่ 25 วันที่ 24 นี้เป็นวันรวม วันที่ 25 เป็นวันทอดถวาย ญาติโยมท่านใดปรารถนาที่จะตั้งโรงทานก็ขอเชิญนะ วันที่ 24 ก็ได้ วันที่25 ก็ได้โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้กาลเวลาเปิดให้ปีหนึ่งก็จะมีงานกฐินครั้งเดียว ที่วัดเราก็ไม่ค่อยจะจัดงานด้วย นอกจากวันมีงานกฐินหรือว่าวันสำคัญเป็นบางครั้ง
ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เราควรน้อมนำเอาองค์พระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจของเรา ใจของเราปราศจากกิเลสใจของเราปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์นั่นแหละ ‘พุทธะ’ ผู้รู้ก็จะมาอยู่กับเรา รู้ธรรมรู้ใจ รู้ความสะอาดรู้ความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน จงตำหนิตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อย่าไปอคติอย่าไปเพ่งโทษคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มันเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราต้องพยายามมองโลกในทางที่ดี
ธรรมดาธรรมชาติของโลกก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละแล้วก็พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เป็นกฎของความเป็นจริง เราก็จะได้ไปเหมือนกันไม่ว่าจะไปช้าหรือไปเร็ว เราพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางทางด้านจิตทางด้านวิญญาณดับความเกิดให้มันจบกิจเสียก่อนก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ภาระหน้าที่สมมติ เราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ก็ต้องพยายามเอา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเขาออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งนะ ถึงทำไม่ได้ตลอดก็ขอให้ทำขณะที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ ตั้งสติดูรู้ให้ชัดเจน
พากันไว้ พร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ