หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 122

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 122
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 122
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ใจฝักใฝ่ในธรรมใจฝักใฝ่ในบุญแต่การเกิดของใจมีอยู่ เราต้องมาสร้างมาเจริญสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออกเขาถึงเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลึกลงไปก็รู้ความปกติของใจ ถ้าความรู้ตัวของเราเร็วไวขึ้น เราก็จะเห็นใจกับอาการของใจเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเรารู้เท่าทันเขาก็จะแยกออกจากกันซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

ส่วนกายก็เป็นส่วนรูป ส่วนใจกับอาการของใจนั่นก็เป็นส่วนนาม เห็นต้นเหตุของการเกิดจะเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ก็จำแนกแจกแจงลงไปเป็นกองเป็นขันธ์อีก ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีหนังมาห่อหุ้มอยู่ในอัตภาพร่างกายของคนเรา แต่ใจมาหลงมายึดมาสร้างภพของมนุษย์ มาปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ปรุงแต่ง​เกิดส่งออกไปภายนอก ก็มาปิดกั้นตัวของเขาเอง หลายชั้น

ถ้าความรู้ตัวสติปัญญาของเราไม่เร็วไม่ไวไม่แหลมคมก็ยากที่จะเห็น เพียงแค่เห็น เพียงแค่แยกได้ เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง เราต้องตามทำความเข้าใจ ให้ใจรู้เห็นยอมรับความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ใจถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ แต่เวลานี้สติความรู้ตัวมีอยู่บ้างนิดหน่อยไม่ได้ดำเนินให้ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาไม่รู้สักกี่เรื่อง ความคิดก็ผุดขึ้นมา ความคิดปัญญาตัวใหม่นี้ยังเพียงแค่สร้างก็ยังหลุดๆ

การดับการควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ก็มีบ้าง ก็เลยยากที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริง ก็เลยอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกันอยู่ เราจะไปเร่งก็ไม่ได้ถ้าไม่ถึงเวลา ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป มีความเสียสละ แต่ละวันตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเราจะบริหารอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุขจนล้นออกไปสู่ภายนอก ไม่ใช่ว่าไปแสวงหาธรรมที่โน่นแสวงหาธรรมที่นี่ ต้องลงเน้นลงให้ถึงฐานการเกิดของใจ

ตื่นขึ้นมา ความคิดมันก่อตัวได้อย่างไร กายหิวใจอยาก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส เรามีสติคอยดูรู้ว่าใจของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ สติปัญญาเข้าไปบริหาร เข้าไปดำเนินแทนได้หรือเปล่า ต้องเป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องศึกษาศึกษา​ชีวิตของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเราอย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน

เราต้องสอนตัวเราเอง เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา อะไรควรละอะไรควรเจริญ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่อง รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมรู้จักดับเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ขณะที่เราตื่นตัวอยู่นี่แหละ จนกว่าเขาจะแยกจะคลายได้ เพียงแค่แยกคลายได้ถ้าเราขาดการตามความเข้าใจขาดการละกิเลสมันก็เหมือนเดิมอีก จะง่ายสำหรับบุคคลที่ฝักใฝ่แล้วก็สนใจในการคลายออกในการเอาออก ในการเจริญพรหมวิหาร จะยากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้าน ก็ต้องพยายามกันไม่เหลือวิสัย จะพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา

พูดน้อยนอนน้อยปฏิบัติให้มากๆ ขัดเกลาตัวเราให้มากๆ บุญสมมติ บุญกริยาวัตถุทุกคนก็พากันฝักใฝ่สนใจ แต่ต้องให้ได้ทรัพย์ภายในให้บริสุทธิ์ให้สะอาดอีก ก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี สอนตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา รู้แนวทางแล้วก็ไปความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้ถึงจุดหมายกัน ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย​ ฉันไปปฏิบัติธรรมที่โน่นฉันไปปฏิบัติธรรมที่นี่ สติยังไม่รู้จักเลย มีแต่ไปนึกเอาไปคิดเอาทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ

ถ้าเราเข้าใจแล้ว ยืนเดินนั่งนอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เอาการงานเป็นการปฏิบัติ งานภายนอกเราก็ทำไปด้วย เรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เราเป็นบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน มีความกตัญญูกตเวที มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว ไม่อิจฉาริษยา ไม่อคติไม่เพ่งโทษ เราก็พยายามสำรวจตรวจตราดูรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเรารู้เราแก้ไขเราอยู่ตลอดเวลาก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว อย่าไปวิ่งไปที่โน่นที่นี่เลย หยุดอยู่กับที่ดูว่าเขาเกิดอย่างไรไปอย่างไรมาไง เราจะละอย่างไร หมดความสงสัยหมดความลังเล

รู้แล้วเห็นแล้วก็มีตั้งแต่จะขัดเกลากิเลสออกให้หมดจด แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่พอกพูนเพิ่มพูน เหมือนกับดินพอกหางหมู แม้แต่สมมติก็ยังไม่ทำความเข้าใจ จะเข้าใจในเรื่องวิมุตติเรื่องจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมยิ่งละเอียดอ่อนเข้าไปเรื่อยๆ ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้สึก​รับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการสนใจกันมาก ซึ่งก็อยู่กับเราซึ่งก็ไม่ได้ค้าได้ขายอะไร ใจก็เป็นธรรมใจก็เป็นบุญ แต่การเกิดของเขามีอยู่ ถ้าเขาไม่หลงเขาคงไม่เกิด เขาหลงนั่นแหละเขาถึงเกิด เราพยายามฝืนจนถึงกับทำความเข้าใจได้ เราก็ทำความเข้าใจได้เราค่อยละ ท่านถึงบอกว่าเป็นการสวนเป็นการทวนกระแส ถ้าใจตกกระแสธรรมแล้วเราก็มองเห็นความเป็นจริงอะไรก็จะโล่งโปร่งไปหมด

สร้างความรู้สึกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ พากันไปไหว้พระพร้อมๆ​ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง