หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 121
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 121
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้มีความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจของเราเอาไปควบคุมใจของเรา รู้ลักษณะของใจของเราแล้วหรือยัง ใจที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้
ความคิดซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าอยู่ในกายของเรานี่แหละ เขาก่อตัวอย่างไร ตัวใจหรือตัววิญญาณเข้าไปรวมได้อย่างไร ส่วนมากเขารวมแล้วเขาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิดเราคิดเราทำ เราก็ทำตามความคิดที่เกิดจากใจเกิดจากวิญญาณเกิดจากขันธ์ห้าตรงนี้อยู่ เขายังหลงอยู่เขายังหลงในความคิดในอารมณ์ หลงปรุงแต่งหลงเกิดอยู่นี่แหละความเกิด ความเกิดทางด้านวิญญาณ
ความเกิดทางกายเนื้อในภพของมนุษย์นี้ก็เกิดอยู่ มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์มีขันธ์ห้าเข้ามาปกปิด ซึ่งมีกายเนื้อซึ่งมองเห็นด้วยรูปธรรม แล้วก็มีส่วนฝ่ายนามธรรมซึ่งเป็นฝ่ายของวิญญาณ การเกิดการดับกับความคิดอารมณ์ต่างๆ เขายังรวมกันอยู่ เราถึงได้มาเจริญสติมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ให้มีให้เกิดขึ้นและก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เข้าไปอบรมใจของเราไปแก้ไขใจของเรา คลายใจของเราออกจากขันธ์ห้า งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ส่วนนามธรรม
ส่วนกายนี้ก็เป็นส่วนรูปธรรม เราไปสังเกตจนกว่าใจของเราจะแยกออกจากฝ่ายนามอีก ให้ใจของเราว่างรับรู้ตามดูรู้เห็นความเป็นจริงในชีวิตในกายของเรา รอบรู้ในกองสังขารเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดอารมณ์เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ทำไมวิญญาณของเราถึงไปเกิดไปรวม กำลังสติของเราต้องเร็วไวแหลมคมต่อเนื่อง หาเหตุหาผล รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักควบคุมรู้จักหยุดจักระงับยับยั้งเอาไว้จนกว่าใจของเราจะคลาย
ถึงวาระเวลาเขาก็คลาย ถ้าเขาคลายออกได้เมื่อไรนั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่าคลายความหลง คลายความหลงได้เพียงครั้งเดียวยังไม่พอ แยกรูปแยกนามได้ครั้งเดียวยังไม่พอ ต้องตามดูให้รู้ทุกเรื่องอีก กำลังสติของเราพลั้งเผลออย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ต้องหมั่นวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ว่าเราขาดตกบกพร่องอะไรบ้าง
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา เพียงแค่ระดับสมมติเพียงแค่ระดับของโลกธรรม เรายังสมมติของเราให้บริบูรณ์แล้วหรือยัง ถ้าสมมติบริบูรณ์ก็ส่งผลถึงตัวใจไม่ให้ลำบากไม่ให้ดิ้นรน นี่แหละที่พึ่งที่พึ่งทางสมมติก็คือปัจจัยสี่บริบูรณ์ ที่พึ่งทางใจอีกก็สติปัญญาเราสร้างขึ้นมาเป็นที่พึ่งทางใจ ใจของเราไม่มีที่พึ่งเขาก็วิ่งหาที่พึ่ง วิ่งไปพึ่งตรงโน้นบ้างพึ่งตรงนี้บ้าง พึ่งภายนอกนั้นไม่ใช่ที่พึ่งที่ถาวรเท่าไร แต่เป็นที่พึ่งอยู่ในระดับของสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ได้ทั้งสองอย่าง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
ถ้าธาตุขันธ์ของเราแตกดับ เราก็มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราเกิดไปสักกี่เที่ยว ใจส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เราละได้หรือไม่เราดับได้หรือไม่ ก็ต้องพยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ รู้จักจำแนกแจกแจง รู้จักอันนี้การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ให้รู้ทุกอิริยาบถ
ไม่ใช่ว่าจะเอาเฉพาะเวลาตั้ง ตั้งใจทำนี้ยังใจยังเกิดอยู่นะ ให้เราสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติ ตั้งสติรู้ให้ต่อเนื่อง นี่แหละตั้งอยู่บ่อยๆ ต่อไปข้างหน้าก็ควบคุมใจ ต่อไปลึกลงไปก็คลายใจออกจากความคิด ตามดูให้ใจรับรู้ ทำความเข้าใจดำเนินด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญาทำหน้าที่แทนใจ ใจก็จะนิ่งสงบว่างรับรู้อยู่ภายในกายของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล
ถ้าเราตามดูรู้เหตุรู้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาไม่อยากจะวางเขาก็ต้องวางเพราะว่าเขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา แต่เวลานี้กิเลสต่างๆ มาปิดเอาไว้เสียจนมิดแม้แต่ตัวของมัน แม้แต่การเกิดก็ปิดตัววิญญาณของเราเอาไว้ เราก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
นี่ก็ใกล้จะออกพรรษา ใกล้จะออกพรรษาแล้วเราก็ใกล้จะถึงงานกฐิน ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เตรียมพร้อมตลอดเวลา พร้อมอยู่ปัจจุบันพร้อมอยู่ตลอด จนมองเห็นเป็นปกติเป็นธรรมดา เตรียมพร้อมเนี่ยแหละเขาถึงเรียกว่าผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไม่ใช่ว่าจะจัดงานทีจะทำงานทีกุลีกุจอ เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมตลอด เตรียมพร้อมที่จะอยู่เตรียมพร้อมที่จะไป ธาตุขันธ์แตกดับเมื่อไรเราก็ไป ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ความคิดซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าอยู่ในกายของเรานี่แหละ เขาก่อตัวอย่างไร ตัวใจหรือตัววิญญาณเข้าไปรวมได้อย่างไร ส่วนมากเขารวมแล้วเขาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิดเราคิดเราทำ เราก็ทำตามความคิดที่เกิดจากใจเกิดจากวิญญาณเกิดจากขันธ์ห้าตรงนี้อยู่ เขายังหลงอยู่เขายังหลงในความคิดในอารมณ์ หลงปรุงแต่งหลงเกิดอยู่นี่แหละความเกิด ความเกิดทางด้านวิญญาณ
ความเกิดทางกายเนื้อในภพของมนุษย์นี้ก็เกิดอยู่ มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์มีขันธ์ห้าเข้ามาปกปิด ซึ่งมีกายเนื้อซึ่งมองเห็นด้วยรูปธรรม แล้วก็มีส่วนฝ่ายนามธรรมซึ่งเป็นฝ่ายของวิญญาณ การเกิดการดับกับความคิดอารมณ์ต่างๆ เขายังรวมกันอยู่ เราถึงได้มาเจริญสติมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ให้มีให้เกิดขึ้นและก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เข้าไปอบรมใจของเราไปแก้ไขใจของเรา คลายใจของเราออกจากขันธ์ห้า งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ส่วนนามธรรม
ส่วนกายนี้ก็เป็นส่วนรูปธรรม เราไปสังเกตจนกว่าใจของเราจะแยกออกจากฝ่ายนามอีก ให้ใจของเราว่างรับรู้ตามดูรู้เห็นความเป็นจริงในชีวิตในกายของเรา รอบรู้ในกองสังขารเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดอารมณ์เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ทำไมวิญญาณของเราถึงไปเกิดไปรวม กำลังสติของเราต้องเร็วไวแหลมคมต่อเนื่อง หาเหตุหาผล รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักควบคุมรู้จักหยุดจักระงับยับยั้งเอาไว้จนกว่าใจของเราจะคลาย
ถึงวาระเวลาเขาก็คลาย ถ้าเขาคลายออกได้เมื่อไรนั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่าคลายความหลง คลายความหลงได้เพียงครั้งเดียวยังไม่พอ แยกรูปแยกนามได้ครั้งเดียวยังไม่พอ ต้องตามดูให้รู้ทุกเรื่องอีก กำลังสติของเราพลั้งเผลออย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ต้องหมั่นวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ว่าเราขาดตกบกพร่องอะไรบ้าง
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา เพียงแค่ระดับสมมติเพียงแค่ระดับของโลกธรรม เรายังสมมติของเราให้บริบูรณ์แล้วหรือยัง ถ้าสมมติบริบูรณ์ก็ส่งผลถึงตัวใจไม่ให้ลำบากไม่ให้ดิ้นรน นี่แหละที่พึ่งที่พึ่งทางสมมติก็คือปัจจัยสี่บริบูรณ์ ที่พึ่งทางใจอีกก็สติปัญญาเราสร้างขึ้นมาเป็นที่พึ่งทางใจ ใจของเราไม่มีที่พึ่งเขาก็วิ่งหาที่พึ่ง วิ่งไปพึ่งตรงโน้นบ้างพึ่งตรงนี้บ้าง พึ่งภายนอกนั้นไม่ใช่ที่พึ่งที่ถาวรเท่าไร แต่เป็นที่พึ่งอยู่ในระดับของสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ได้ทั้งสองอย่าง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
ถ้าธาตุขันธ์ของเราแตกดับ เราก็มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราเกิดไปสักกี่เที่ยว ใจส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เราละได้หรือไม่เราดับได้หรือไม่ ก็ต้องพยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ รู้จักจำแนกแจกแจง รู้จักอันนี้การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ให้รู้ทุกอิริยาบถ
ไม่ใช่ว่าจะเอาเฉพาะเวลาตั้ง ตั้งใจทำนี้ยังใจยังเกิดอยู่นะ ให้เราสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติ ตั้งสติรู้ให้ต่อเนื่อง นี่แหละตั้งอยู่บ่อยๆ ต่อไปข้างหน้าก็ควบคุมใจ ต่อไปลึกลงไปก็คลายใจออกจากความคิด ตามดูให้ใจรับรู้ ทำความเข้าใจดำเนินด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญาทำหน้าที่แทนใจ ใจก็จะนิ่งสงบว่างรับรู้อยู่ภายในกายของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล
ถ้าเราตามดูรู้เหตุรู้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาไม่อยากจะวางเขาก็ต้องวางเพราะว่าเขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา แต่เวลานี้กิเลสต่างๆ มาปิดเอาไว้เสียจนมิดแม้แต่ตัวของมัน แม้แต่การเกิดก็ปิดตัววิญญาณของเราเอาไว้ เราก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
นี่ก็ใกล้จะออกพรรษา ใกล้จะออกพรรษาแล้วเราก็ใกล้จะถึงงานกฐิน ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เตรียมพร้อมตลอดเวลา พร้อมอยู่ปัจจุบันพร้อมอยู่ตลอด จนมองเห็นเป็นปกติเป็นธรรมดา เตรียมพร้อมเนี่ยแหละเขาถึงเรียกว่าผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไม่ใช่ว่าจะจัดงานทีจะทำงานทีกุลีกุจอ เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมตลอด เตรียมพร้อมที่จะอยู่เตรียมพร้อมที่จะไป ธาตุขันธ์แตกดับเมื่อไรเราก็ไป ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ