หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 111
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 111
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ละไม่ได้ก็ขอให้เรารู้จักวิธี อุบายในการเจริญสติ เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา กับร่างกายกับจิตใจของเรา
ความรู้ตัว ความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ทีนี้เราทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา น้อมกายของเราเข้ามาเข้ามาวัดเข้ามาถึงวัด ตามหลักของความเป็นจริงแล้วอันนี้เป็นแค่เพียงวัดภายนอกเท่านั้นเอง วัดภายในเราต้องพยายามรู้ตั้งแต่ตื่น รู้ขณะทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก รู้ความเป็นจริงของชีวิตของเราว่า ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างไร
ใจของเราหลงมานานหลงเกิดมานาน หลงเกิดในภพน้อยหลงเกิดในภพใหญ่ ขณะนี้เขาก็หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ซึ่งมีกายเนื้อหรือว่าขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ เขาก็มาหลงมายึดว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ แต่ในทางสมมตินั่นก็เป็นของเราอยู่ ถ้ากายเนื้อหมดสภาวะถึงวาระเวลาเขาแตกดับ ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณก็ต้องไปตามแรงเหวี่ยงของกรรม แล้วแต่เขาจะไปไหนถ้ากรรมดีก็ไปสู่ส่วนที่ดี ถ้ากรรมไม่ดีก็ไปสู่ส่วนที่ไม่ดี เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดสิขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าใจเขาไม่หลงเขาคงไม่เกิด
เขาเกิดมาแล้วทำอย่างไร ตัวไหนที่จะเข้าไปศึกษาก็คือการเจริญสติ การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา ส่วนมากเราอาจจะรู้อยู่แต่เรายังไม่เห็นการเกิดยังไม่เห็นต้นเหตุ ถ้าใจเกิดใจหลงอย่างไร เราพยายามควบคุมเอาไว้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ เข้าไปหยุดเข้าไปดับ หยุดให้ช้าลงเพิ่มกำลังสติให้มากขึ้น จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากอาการของใจ เห็นความว่างเห็นความโล่ง เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของตัวใจ
ตามดูรู้ทุกเรื่อง ละกิเลสออกจากใจของเราให้หมด ละทีนั้นทีนี้เขาก็จะหมดจดไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่วิเคราะห์เราไม่แก้ไขเรา จะไปวิ่งหาที่ไหนไม่เจอหรอกนอกจากหลง เน้นลงอยู่ที่กายที่ใจของเรา การไปปฏิบัติที่โน่นการไปปฏิบัติที่นี่ อันนั้นเป็นแค่เพียงไปหาประสบการณ์ ถ้าเรารู้จักวิธีแล้วไปทำความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวเป็นอย่างไร สติที่ไม่พลั้งเผลอเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร อะไรที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นจริงเห็นอะไร นี่แหละรู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของความว่าง รู้ลักษณะของใจที่คลายออกจากความคิด
ถ้าเราเห็นตั้งแต่เขาก่อตัวเขาเคลื่อนเข้าไปรวม เขาจะคลายออกจากกันเองซึ่งเราว่าแยก ซึ่งเรียกว่าหงายเรียกว่าพลิกหรือเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องในหลักธรรมคือหนทางอริยมรรคในองค์แปด คือสมาทิฎฐิข้อแรกเห็นถูก แล้วก็ถ้าเราเห็นเพียงแค่ข้อแรกเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก เราต้องตามดูรู้เห็นทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา รู้จักแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของตัวเราเอง
ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร อะไรคือคำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ส่งออกไปภายนอกเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ ส่งออกไปภายนอกยังไม่พอไปหลงไปรวมกับความคิดไปด้วยกันอีก นี่แหละตัวโมหะอย่างลุ่มลึก เราต้องมาคลายตรงนี้ให้ได้เสียก่อน บางทีถ้าเราคลายไม่ได้ใจของเราก็ให้อยู่ในกองบุญของกุศล เราดับความเกิดไม่ได้ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ เกิดอยู่ในกองกุศล อย่าให้ไปเกิดในกองอกุศล มองโลกในทางที่ดีคิดดีทำดี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราวิเคราะห์ตัวเรา เรามีความเพียรมากน้อยเพียงไหน เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความอดทนสารพัดอย่างก็ล้วนแต่เป็นการสร้างตบะสร้างบารมี ในหลักธรรมแล้วทำความเข้าใจละออกให้มันหมดจนไม่เหลือที่ใจของเราจนไม่เหลือ จะมีสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความว่าง ใจที่ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดเอาไว้
การพูดการจานี่ก็เป็นแค่เพียงแค่เล่าแค่ชี้แค่แนะ ถ้าเราไม่ไปทำความเข้าใจก็ยากที่จะเข้าไปถึง ถ้าการทำความเข้าใจไม่ต่อเนื่องก็ยากอีกเพราะว่าใจของเราหลงมาตั้งนาน ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด การเกิดของเขามาก่อภพขอชาติขึ้นมา เราต้องมาคลายขันธ์ห้าแยกแยะขันธ์ห้าให้เขารู้ความเป็นจริง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่เกิดเขาก็ไม่หลง เขาก็ทำความเข้าใจกับสมมติเคารพสมมติ ถึงวาระเวลาก็ต้องได้วางสมมติเข้าสู่ความสะอาดความบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
พวกท่านรู้จักวิธีแล้ว เราพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ความรู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บรู้กายปุ๊บรู้ใจปุ๊บจะก้าวจะเดิน อะไรคือสติ อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจ เป็นงานชิ้นโบว์แดงงานชิ้นเอก ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินเดินนั่งนอน กินอยู่กับขับถ่าย เราต้องพยายามไปทำ อย่าให้คนอื่นได้บังคับต้องพาเดินพานั่งพาทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปไม่ได้หรอก มีแต่คนที่ไม่ขยันหมั่นเพียรเท่านั้นแหละ มีแต่คนเกียจคร้านเท่านั้นแหละชอบให้คนอื่นบังคับ
คนฉลาดเขาจะพิจารณาตัวเองตลอดเวลาแก้ไขตัวเองตลอดเวลา อันนี้ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ประโยชน์สังคมประโยชน์วิมุตติสมมติ เขาจะทำความเข้าใจ รีบทำความเข้าใจจนไม่เหลืออะไรที่ใจของเรา จนเหลือตั้งแต่สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถึงวาระเวลาก็ได้วางสมมติกายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติ ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ความรู้ตัว ความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ทีนี้เราทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา น้อมกายของเราเข้ามาเข้ามาวัดเข้ามาถึงวัด ตามหลักของความเป็นจริงแล้วอันนี้เป็นแค่เพียงวัดภายนอกเท่านั้นเอง วัดภายในเราต้องพยายามรู้ตั้งแต่ตื่น รู้ขณะทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก รู้ความเป็นจริงของชีวิตของเราว่า ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างไร
ใจของเราหลงมานานหลงเกิดมานาน หลงเกิดในภพน้อยหลงเกิดในภพใหญ่ ขณะนี้เขาก็หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ซึ่งมีกายเนื้อหรือว่าขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ เขาก็มาหลงมายึดว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ แต่ในทางสมมตินั่นก็เป็นของเราอยู่ ถ้ากายเนื้อหมดสภาวะถึงวาระเวลาเขาแตกดับ ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณก็ต้องไปตามแรงเหวี่ยงของกรรม แล้วแต่เขาจะไปไหนถ้ากรรมดีก็ไปสู่ส่วนที่ดี ถ้ากรรมไม่ดีก็ไปสู่ส่วนที่ไม่ดี เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดสิขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าใจเขาไม่หลงเขาคงไม่เกิด
เขาเกิดมาแล้วทำอย่างไร ตัวไหนที่จะเข้าไปศึกษาก็คือการเจริญสติ การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา ส่วนมากเราอาจจะรู้อยู่แต่เรายังไม่เห็นการเกิดยังไม่เห็นต้นเหตุ ถ้าใจเกิดใจหลงอย่างไร เราพยายามควบคุมเอาไว้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ เข้าไปหยุดเข้าไปดับ หยุดให้ช้าลงเพิ่มกำลังสติให้มากขึ้น จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากอาการของใจ เห็นความว่างเห็นความโล่ง เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของตัวใจ
ตามดูรู้ทุกเรื่อง ละกิเลสออกจากใจของเราให้หมด ละทีนั้นทีนี้เขาก็จะหมดจดไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่วิเคราะห์เราไม่แก้ไขเรา จะไปวิ่งหาที่ไหนไม่เจอหรอกนอกจากหลง เน้นลงอยู่ที่กายที่ใจของเรา การไปปฏิบัติที่โน่นการไปปฏิบัติที่นี่ อันนั้นเป็นแค่เพียงไปหาประสบการณ์ ถ้าเรารู้จักวิธีแล้วไปทำความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวเป็นอย่างไร สติที่ไม่พลั้งเผลอเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร อะไรที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นจริงเห็นอะไร นี่แหละรู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของความว่าง รู้ลักษณะของใจที่คลายออกจากความคิด
ถ้าเราเห็นตั้งแต่เขาก่อตัวเขาเคลื่อนเข้าไปรวม เขาจะคลายออกจากกันเองซึ่งเราว่าแยก ซึ่งเรียกว่าหงายเรียกว่าพลิกหรือเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องในหลักธรรมคือหนทางอริยมรรคในองค์แปด คือสมาทิฎฐิข้อแรกเห็นถูก แล้วก็ถ้าเราเห็นเพียงแค่ข้อแรกเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก เราต้องตามดูรู้เห็นทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา รู้จักแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของตัวเราเอง
ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร อะไรคือคำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ส่งออกไปภายนอกเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ ส่งออกไปภายนอกยังไม่พอไปหลงไปรวมกับความคิดไปด้วยกันอีก นี่แหละตัวโมหะอย่างลุ่มลึก เราต้องมาคลายตรงนี้ให้ได้เสียก่อน บางทีถ้าเราคลายไม่ได้ใจของเราก็ให้อยู่ในกองบุญของกุศล เราดับความเกิดไม่ได้ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ เกิดอยู่ในกองกุศล อย่าให้ไปเกิดในกองอกุศล มองโลกในทางที่ดีคิดดีทำดี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราวิเคราะห์ตัวเรา เรามีความเพียรมากน้อยเพียงไหน เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความอดทนสารพัดอย่างก็ล้วนแต่เป็นการสร้างตบะสร้างบารมี ในหลักธรรมแล้วทำความเข้าใจละออกให้มันหมดจนไม่เหลือที่ใจของเราจนไม่เหลือ จะมีสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความว่าง ใจที่ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดเอาไว้
การพูดการจานี่ก็เป็นแค่เพียงแค่เล่าแค่ชี้แค่แนะ ถ้าเราไม่ไปทำความเข้าใจก็ยากที่จะเข้าไปถึง ถ้าการทำความเข้าใจไม่ต่อเนื่องก็ยากอีกเพราะว่าใจของเราหลงมาตั้งนาน ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด การเกิดของเขามาก่อภพขอชาติขึ้นมา เราต้องมาคลายขันธ์ห้าแยกแยะขันธ์ห้าให้เขารู้ความเป็นจริง แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่เกิดเขาก็ไม่หลง เขาก็ทำความเข้าใจกับสมมติเคารพสมมติ ถึงวาระเวลาก็ต้องได้วางสมมติเข้าสู่ความสะอาดความบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
พวกท่านรู้จักวิธีแล้ว เราพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ความรู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บรู้กายปุ๊บรู้ใจปุ๊บจะก้าวจะเดิน อะไรคือสติ อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจ เป็นงานชิ้นโบว์แดงงานชิ้นเอก ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินเดินนั่งนอน กินอยู่กับขับถ่าย เราต้องพยายามไปทำ อย่าให้คนอื่นได้บังคับต้องพาเดินพานั่งพาทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปไม่ได้หรอก มีแต่คนที่ไม่ขยันหมั่นเพียรเท่านั้นแหละ มีแต่คนเกียจคร้านเท่านั้นแหละชอบให้คนอื่นบังคับ
คนฉลาดเขาจะพิจารณาตัวเองตลอดเวลาแก้ไขตัวเองตลอดเวลา อันนี้ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ประโยชน์สังคมประโยชน์วิมุตติสมมติ เขาจะทำความเข้าใจ รีบทำความเข้าใจจนไม่เหลืออะไรที่ใจของเรา จนเหลือตั้งแต่สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถึงวาระเวลาก็ได้วางสมมติกายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติ ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ