หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 103

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 103
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 103
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง​ ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ต้องทำฝึกหัดให้เกิดความเคยชินให้เป็นงานชิ้นเอก เป็นงานชิ้นโบว์แดง ที่จะต้องเจริญสติแล้วก็รู้จักวิเคราะห์ใจของเราวิเคราะห์กายของเรา ความเป็นอยู่ของเราชีวิตของเรา เป็นเรื่องของเราหมดทุกอย่างที่จะต้องศึกษาค้นคว้า อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง

การเจริญสติต้องเน้นลงที่กายของเรา​ ช่วงใหม่ๆ ความรู้ตัวไม่มีเราถึงสร้าง ท่านถึงว่าให้สร้างขึ้นมาแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง การสร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าการเจริญการทำให้มีให้เกิดขึ้น กายของเรานี้ก็มีวิญญาณซึ่งเรียกว่าใจ เข้ามาสร้างภพสร้างชาติเข้ามาครอบครอง กายของเรานี้ประกอบด้วยอะไรบ้างอีก สติความรู้ตัวของเราต้องวิเคราะห์หาเหตุหาผลให้รู้เหตุรู้ผล รู้ลักษณะของใจ ว่าใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่สงบนิ่งเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด​ ซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าซึ่งอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ

ความคิดเขาก่อตัวอย่างไรเขาเริ่มเกิดอย่างไร นี่แหละพระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติเข้าไปสังเกตเหตุผล ให้รู้ให้เห็นเหตุเห็นผลการเกิดการดับของวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม​ ส่วนรูปธรรมคือกายเนื้อของเรา พยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต แต่ส่วนมากเราจะไปมองเห็นเฉพาะกายเนื้อตาเนื้อ ตาในความรู้ตัวสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราไม่ได้เข้าไปสำรวจให้ลึก​ให้ถึงให้เห็นเหตุเห็นผล​ ตามดูรู้เหตุรู้ผล คลายความหลง การคลายความหลงซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

‘สัมมาทิฏฐิ’ หมายความว่าความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏขึ้น เห็นความว่างเห็นความโล่งเห็นความโปร่งของตัวใจ เห็นการเกิดการดับของความคิด เป็นคนละส่วน ความรู้ตัวสติปัญญาของเรานี่แหละตามดู ตั้งแต่ต้นเหตุของการเกิดการดับของความคิด เขาเรียกว่า รู้กองสังขารของขันธ์ห้าของเรา เห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวลาดับไปความว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นเหมือนกับไม่มีอะไร แต่ตัววิญญาณของเราเข้าไปรวมเข้าไปร่วมมันก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนักใจก็เลยหนัก เพียงแค่หลงขันธ์ห้านะเพียงแค่หลงแค่รวม

ถ้าเราสังเกตเห็นแยกออกจากกันได้ ไม่ใช่ว่าแยกได้ครั้งหนึ่งครั้งเดียวแล้วมันจะละได้หมด แยกได้ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจทุกเรื่องเขาก็รวมกันอีกเหมือนเดิม ถ้าเราตามดูรู้เห็นทุกเรื่องจนใจเกิดความเบื่อหน่ายได้เมื่อไรนั่นแหละเขาถึงจะอุเบกขา อุเบกขายังไม่พอหรอกสติปัญญาที่เราสร้างมา ต้องเข้าไปหยุดเข้าไปดับขันธ์ห้าอีก ละขันธ์ห้าอีกให้ใจรับรู้​ ดับละขันธ์ห้ายังไม่พอมาละกิเลสที่ใจอีกกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ละกิเลสที่ใจยังไม่พออีกมาดับความเกิดของใจอีก

การดับเรียกว่าดับให้สั้นลงๆ การดับการละการเอาออกการคลาย มันก็จะสั้นลงๆ จนถึงเวลาใจก่อตัวดับละขณะที่เขาก่อตัว เขาก็จะถึงตัวตนของตัวใจจริงๆ ก็จะอยู่ในความว่างว่างนิ่งหนักแน่นรับรู้ คนทั่วไปมีตั้งแต่ไขว่คว้าแสวงหาดิ้นรน ส่งเสริมไม่เอาออกไม่คลายออก การคลายออกนั่นแหละคือได้ คือเอาเราเอาออกมากเท่าไร เราเอาออกจนหมดจดนั่นแหละจนไม่เหลือที่ใจ มันจะเหลือตั้งแต่ความว่าง​ความไม่มี ท่านถึงว่ามีปัญญาโลกีย์ทั้งร้อยจะเก่งมากมายถึงขนาดไหนก็คลายออกทั้งหมด ให้เหลือหยุดที่ศูนย์​คือความว่าง

หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปวิเคราะห์เข้าไปทำงานแทนจนเต็มรอบ จนเป็นปัญญามหาสติมหาปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง จนเอาไปใช้ได้ทุกเรื่องในชีวิตของเรา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้เดินหรือกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ต้องถอนรากถอนโคนออกให้มันหมดไม่ใช่ว่าไปทำเหยาะๆ แหยะๆ มันก็ได้เหยาะๆ แหยะๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง

แต่คนทั่วไปก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้าง ก็พยายามทำได้นิดหน่อยก็พยายามทำ น้อมใจน้อมกายของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ในอานิสงส์ผลบุญ พยายามทำเถอะทำมากทำน้อยก็พยายามทำ อย่าว่าไม่ทำ เพียงแค่การคิดก็ขอให้คิดในทางกุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละ นั่นแหละปฏิบัติ​ สำรวมกายอินทรีย์กายวาจาลึกลงไปถึงตัวใจถึงฐานของใจ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์

ถ้าใจหรือว่าวิญญาณมันคลายออกจากความคิดได้เมื่อไร เราก็จะเข้าใจในคำสอน คำว่า อัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กิเลสหยาบเป็นอย่างไร เวลานี้สติความรู้ตัวของเราภายใน 5 นาทียังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีเท่าไรล่ะ จนเป็นรู้ตัวรู้ใจ จนรู้เห็นเป็นอัตโนมัติจนไม่ได้ฝึกจนไม่ได้สั่ง ธรรมก็อยู่กับใจของเรา ใจกายของเราก็เป็นก้อนบุญก้อนธรรมทันทีถ้าเราเข้าใจ

จิตนี่ก็แปลกใจนี่ก็แปลก ถ้าไม่ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นนะเขาก็หลงอยู่นั้นแหละ หลงภายในด้วยแล้วก็มาหลงภายนอกด้วย ส่วนมากก็ไม่ค้นเข้าไปถึงภายใน อาจจะอยู่ในระดับของสมมติอยู่ในบุญของวิมุตติของสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันมันไม่เหลือวิสัยหรอก ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี​ เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็พยายามศึกษาให้ละเอียดก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เรามีโอกาสได้สร้างบุญร่วมกันทางสมมติ อยู่ในระดับสมมติเรามีโอกาสได้ทำบุญร่วมกัน แต่การชำระสะสางกิเลส การเดินปัญญา ดับความเกิดละกิเลสนี่ต้องตัวของเราเองแท้ๆ

สติปัญญาของเราเข้าไปแก้ไขเข้าไปวิเคราะห์ เราไม่รู้จักแนวทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยแล้ว การดำเนินทาง การเจริญสติ การเจริญพรหมวิหาร การละกิเลส การแยกรูปแยกนามเข้าสู่วิปัสสนาภูมิ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด จะละตัวไหนบ้างดับตัวไหนบ้าง รู้แล้วเห็นแล้ว​ หมดความสงสัยหมดความลังเลในคำสอนของพระพุทธองค์ ดำเนินไปจนถึงจุดหมายปลายทางคือไม่มีความเกิดอีกต่อไป ใจอยู่ในความสะอาดของบริสุทธิ์ นั่นแหละพระพุทธเจ้าก็จะมาอยู่กับเรา ธรรมก็จะมาอยู่กับเราธรรมก็จะรักษาเรา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ พูดง่ายแต่ทำยาก ก็ต้องพยายามทำ

วันแรมขึ้น 15 ค่ำเดือน 9 ก็จะได้มีลงอุโบสถสังฆกรรมกัน ก็ขอเชิญพี่น้องเราทุกคนมีโอกาสได้มาทำบุญถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เป็นบุญของวัดของเราเป็นบุญของตำบลของหมู่บ้านของเรา ที่ได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปนิมนต์ท่านมา เพราะว่าเป็นกิจของสงฆ์ที่จะต้องมาร่วมลงอุโบสถสังฆกรรมกัน

หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านก็มีฉันทามติให้มาลงที่วัดของเราคงจะตลอดทั้งพรรษา ก็นับว่าเป็นบุญของทุกคน ก็ต้องพยายามมาสร้างมาทำกันนะ มีพริกเขือเกลือปลาร้าข้าวปลาอาหารหรือว่าน้อมกายของเราเข้ามาร่วมทำด้วยกัน หรือว่าน้อมใจของเราก็มาอนุโมทนาสาธุด้วย ถึงกายของเรามาไม่ได้ เราก็น้อมใจของเราเข้ามาอนุโมทนาสาธุ บุญก็จะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง