หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 092
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 092
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้น้อมเข้าไปสำรวจกายสำรวจใจของเราแล้วหรือยัง นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้หยุดไม่ได้ก็ขอให้หยุดเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว
หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้นมา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูซิ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการดูในการรู้ในการสำรวจ ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ ใจก็มีศรัทธาเต็มเปี่ยมอยากจะได้บุญอยากจะรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เพราะว่าเขายังหลงอยู่เขายังเกิดอยู่ เขายังเกิดเขายังหลง เป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของความคิด เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากอยู่ เราถึงพยายามเจริญสติมาสร้างผู้รู้ มาสร้างตัวรู้เข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา
สติตัวใหม่เรามีอยู่แต่ไม่มากไม่ค่อยต่อเนื่อง เพราะว่าความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาเลยปกปิดตัวเขาเอาไว้หมด เรามาสร้างตัวรู้ตัวใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินให้ได้ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่ง นอน กินอยู่ขับถ่าย หมั่นวิเคราะห์สำรวจใจ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักควบคุมเอาไว้ รู้จักดับรู้จักระงับ รู้จักยับยั้งรู้จักควบคุมจนกว่าจะรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร
ความคิดหรือว่าอารมณ์หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่เราได้ศึกษาค้นคว้า หรือว่าได้สวดได้ท่องกันอยู่ทุกวันว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ขันธ์ห้าเป็นกองเป็นขันธ์ไม่เที่ยง ทำไมไม่เที่ยง ทำไมใจของเราถึงเข้าไปรวมไปหลง นี่แหละตรงนี้แหละเขาเรียกว่า ‘โมหะ’ ทำไมใจของเราถึงมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก การเกิดของใจ เราต้องมาศึกษาค้นคว้าด้วยการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เราจะไปนึกไปคิดเอาไม่ได้เด็ดขาดเลยเรื่องการปฏิบัติใจ
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ปรารถนาที่จะอยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีธรรมอยู่ในตัว จะมีมากมีน้อยก็มาศึกษามาทำความเข้าใจให้กระจ่าง ให้มองเห็นทางเดินขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ว่าใจของเรานี้จะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ใจของเรามีบุญมากมีบุญน้อย ใจของเราเป็นทาสของกิเลสมากเป็นทาสของกิเลสน้อย เราก็พยายามมาชำระสะสางขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่งอย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ขอให้เรามาศึกษาค้นคว้าเถอะ มองดูรู้ให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงกายถึงใจของเรา
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่เข้าใจถ้าเราไม่รู้จักเรื่องว่าอันนี้ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ลักษณะของใจเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร อะไรเป็นบุญอะไรเป็นกุศล อะไรมีประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราควรต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เราจะไปศึกษาค้นคว้าด้วยปัญญาของโลกิยะยิ่งห่างไกลดวงใจ ปัญญาของโลกียะซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากตัววิญญาณและตัวจิตหรืออาการของขันธ์ห้าซึ่งมีกันทุกคน
เราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ด้วยการเจริญสติเดินตามทางให้ถูกต้อง สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร มีปัญญาที่เกิดจากจิตที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ตามดูตามรู้ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก คำว่า ‘อัตตา’ ลักษณะของอัตตาลักษณะของอนัตตา คำว่า ‘สมมติวิมุตติ’ เข้าใจภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในความเป็นอยู่ของเรา
ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญแล้วแหละ ทีนี้จะสร้างสานบุญของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ทุกคนก็ได้ทำบุญทุกคนก็ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ แล้วก็ได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อมีหนังเข้ามาหุ้มห่อ จากเด็กเจริญเติบโตมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ทีนี้บุคคลใดที่จะยังจิตของเราให้ถูกต้องถูกทางก็อาศัยแนวทางของพระพุทธองค์
การได้ยินได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การที่จะลงมือให้รู้แจ้งเห็นจริงจากน้อยๆ ไปหามากๆ ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของความเพียร ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคลว่าจะมีความเพียรมากมีความเพียรน้อยในการขัดเกลากิเลสของเรา จะไปบังคับกันไม่ได้เลยสิ่งพวกนี้เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงบุญ ทุกคนเกิดมาด้วยแรงกรรม การทำความเข้าใจการรู้จักวิธีการรู้จักแนวทางก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ถ้าเราสอนตัวเราไม่ได้ อย่าไปให้คนอื่นเขาสอนเลย เราต้องเป็นบุคคลที่หมั่นพร่ำสอนตัวเรา เจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนกายหมั่นพร่ำสอนใจของเรา รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเรา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงดวงจิตดวงวิญญาณของเรา เรามีสติคอยดูรู้ใจของเราหรือไม่ ใจของเราเกิดกิเลสเรารู้จักดับรู้จักละ เราก็ต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเราว่าอะไรผิดอะไรถูก เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา เราจะละกิเลสได้มากได้น้อยได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้ตั้งแต่คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน อย่างนั้นไปไม่ถึงไหน
อย่าไปยึดติดรูปแบบอย่าไปยึดติดพิธีรีตอง เราต้องให้รู้เห็นรู้แจ้งด้วยสติ ด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นดูรู้ใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา กายของเรานี่แหละก้อนธรรม ใจของเรานี่แหละองค์ธรรม ตื่นขึ้นมาเราก็จะได้ฟังธรรมะ จะลุกจะก้าวจะเดิน เราทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องเสีย ใจของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ใจของเราเป็นโลกเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก
จงพยายามหาที่พึ่ง สร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สติปัญญานั่นแหละเป็นที่พึ่งให้ใจของเรา ใจของเรา ความสะอาดความบริสุทธิ์ ความว่างนั่นแหละเป็นที่พึ่งของเรา ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ใจที่ปล่อยที่วาง เขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ ยังที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้น
แต่ละวันตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติเราสำรวจใจของเราแล้วหรือยัง ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราส่งออกไปภายนอก ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยวสักกี่ครั้ง ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในของเรา เราต้องมีปัญญาเข้าไปสำรวจ จากปัญญาที่ไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมาจากน้อยๆ ไปหามากๆ จนกลายเป็นมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ใจก็จะรับรู้ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในกายในใจของตัวเรา รอบรู้ในโลก โลกก็คือกายของเราโลกก็คือใจของเรานี่แหละไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน นอกนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่เป็นแค่เพียงแนวทางเท่านั้นเอง
จงพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันทุกคน ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ตราบใดที่เรายังสร้างอานิสงส์บุญบารมีอยู่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกันนะ ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน ทำใจของเราให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้นมา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูซิ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการดูในการรู้ในการสำรวจ ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ ใจก็มีศรัทธาเต็มเปี่ยมอยากจะได้บุญอยากจะรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เพราะว่าเขายังหลงอยู่เขายังเกิดอยู่ เขายังเกิดเขายังหลง เป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของความคิด เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากอยู่ เราถึงพยายามเจริญสติมาสร้างผู้รู้ มาสร้างตัวรู้เข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา
สติตัวใหม่เรามีอยู่แต่ไม่มากไม่ค่อยต่อเนื่อง เพราะว่าความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาเลยปกปิดตัวเขาเอาไว้หมด เรามาสร้างตัวรู้ตัวใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินให้ได้ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่ง นอน กินอยู่ขับถ่าย หมั่นวิเคราะห์สำรวจใจ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักควบคุมเอาไว้ รู้จักดับรู้จักระงับ รู้จักยับยั้งรู้จักควบคุมจนกว่าจะรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร
ความคิดหรือว่าอารมณ์หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่เราได้ศึกษาค้นคว้า หรือว่าได้สวดได้ท่องกันอยู่ทุกวันว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ขันธ์ห้าเป็นกองเป็นขันธ์ไม่เที่ยง ทำไมไม่เที่ยง ทำไมใจของเราถึงเข้าไปรวมไปหลง นี่แหละตรงนี้แหละเขาเรียกว่า ‘โมหะ’ ทำไมใจของเราถึงมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก การเกิดของใจ เราต้องมาศึกษาค้นคว้าด้วยการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เราจะไปนึกไปคิดเอาไม่ได้เด็ดขาดเลยเรื่องการปฏิบัติใจ
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ปรารถนาที่จะอยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีธรรมอยู่ในตัว จะมีมากมีน้อยก็มาศึกษามาทำความเข้าใจให้กระจ่าง ให้มองเห็นทางเดินขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ว่าใจของเรานี้จะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ใจของเรามีบุญมากมีบุญน้อย ใจของเราเป็นทาสของกิเลสมากเป็นทาสของกิเลสน้อย เราก็พยายามมาชำระสะสางขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่งอย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ขอให้เรามาศึกษาค้นคว้าเถอะ มองดูรู้ให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงกายถึงใจของเรา
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่เข้าใจถ้าเราไม่รู้จักเรื่องว่าอันนี้ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ลักษณะของใจเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร อะไรเป็นบุญอะไรเป็นกุศล อะไรมีประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราควรต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เราจะไปศึกษาค้นคว้าด้วยปัญญาของโลกิยะยิ่งห่างไกลดวงใจ ปัญญาของโลกียะซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากตัววิญญาณและตัวจิตหรืออาการของขันธ์ห้าซึ่งมีกันทุกคน
เราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ด้วยการเจริญสติเดินตามทางให้ถูกต้อง สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร มีปัญญาที่เกิดจากจิตที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ตามดูตามรู้ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก คำว่า ‘อัตตา’ ลักษณะของอัตตาลักษณะของอนัตตา คำว่า ‘สมมติวิมุตติ’ เข้าใจภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในความเป็นอยู่ของเรา
ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญแล้วแหละ ทีนี้จะสร้างสานบุญของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ทุกคนก็ได้ทำบุญทุกคนก็ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ แล้วก็ได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อมีหนังเข้ามาหุ้มห่อ จากเด็กเจริญเติบโตมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ทีนี้บุคคลใดที่จะยังจิตของเราให้ถูกต้องถูกทางก็อาศัยแนวทางของพระพุทธองค์
การได้ยินได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การที่จะลงมือให้รู้แจ้งเห็นจริงจากน้อยๆ ไปหามากๆ ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของความเพียร ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคลว่าจะมีความเพียรมากมีความเพียรน้อยในการขัดเกลากิเลสของเรา จะไปบังคับกันไม่ได้เลยสิ่งพวกนี้เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงบุญ ทุกคนเกิดมาด้วยแรงกรรม การทำความเข้าใจการรู้จักวิธีการรู้จักแนวทางก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ถ้าเราสอนตัวเราไม่ได้ อย่าไปให้คนอื่นเขาสอนเลย เราต้องเป็นบุคคลที่หมั่นพร่ำสอนตัวเรา เจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนกายหมั่นพร่ำสอนใจของเรา รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเรา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงดวงจิตดวงวิญญาณของเรา เรามีสติคอยดูรู้ใจของเราหรือไม่ ใจของเราเกิดกิเลสเรารู้จักดับรู้จักละ เราก็ต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเราว่าอะไรผิดอะไรถูก เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา เราจะละกิเลสได้มากได้น้อยได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้ตั้งแต่คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน อย่างนั้นไปไม่ถึงไหน
อย่าไปยึดติดรูปแบบอย่าไปยึดติดพิธีรีตอง เราต้องให้รู้เห็นรู้แจ้งด้วยสติ ด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นดูรู้ใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา กายของเรานี่แหละก้อนธรรม ใจของเรานี่แหละองค์ธรรม ตื่นขึ้นมาเราก็จะได้ฟังธรรมะ จะลุกจะก้าวจะเดิน เราทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องเสีย ใจของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ใจของเราเป็นโลกเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก
จงพยายามหาที่พึ่ง สร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สติปัญญานั่นแหละเป็นที่พึ่งให้ใจของเรา ใจของเรา ความสะอาดความบริสุทธิ์ ความว่างนั่นแหละเป็นที่พึ่งของเรา ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ใจที่ปล่อยที่วาง เขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ ยังที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้น
แต่ละวันตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติเราสำรวจใจของเราแล้วหรือยัง ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราส่งออกไปภายนอก ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยวสักกี่ครั้ง ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในของเรา เราต้องมีปัญญาเข้าไปสำรวจ จากปัญญาที่ไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมาจากน้อยๆ ไปหามากๆ จนกลายเป็นมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ใจก็จะรับรู้ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในกายในใจของตัวเรา รอบรู้ในโลก โลกก็คือกายของเราโลกก็คือใจของเรานี่แหละไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน นอกนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่เป็นแค่เพียงแนวทางเท่านั้นเอง
จงพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันทุกคน ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ตราบใดที่เรายังสร้างอานิสงส์บุญบารมีอยู่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกันนะ ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน ทำใจของเราให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ