หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 088

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 088
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 088
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึก​รับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ​ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราเจริญไม่ต่อเนื่องเราก็พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ให้ได้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาที 10 นาที รู้จักวิธีรู้จักอุบาย

นี่หลวงพ่อก็เพียงแค่ชี้แนะอุบายวิธีเท่านั้นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปสร้างไปทำพวกท่านก็ไม่เข้าใจ การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัวอยู่กับคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เพียงแค่การหายใจเข้าออกรู้ให้ต่อเนื่องก็เรียกว่าปัจจุบันธรรม ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องอันนี้เขาเรียกว่ารู้กาย ลึกลงไปอีกเราก็จะรู้ลักษณะของจิต​ รู้ความปกติของจิตเรียกว่าวิญญาณซึ่งอยู่ในกายของเรา แล้วก็ความคิดซึ่งเรียกว่ากองสังขารซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตัววิญญาณในขันธ์ห้ากับการปรุงแต่งของขันธ์ห้า เขาเกิดอย่างไรเขาก่อตัวอย่างไรตรงนี้แหละสำคัญ

ถ้าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราไม่มี เราไม่ได้สร้างขึ้นมาก็ยากที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญเป็นกุศล อยากได้บุญอยากรู้ธรรม เพียงแค่ความอยากเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอง เราต้องสร้างความรู้ตัวใหม่ที่หลวงพ่อกำลังพูดอยู่นี่แหละขึ้นมา แล้วก็ให้ต่อเนื่องเอาให้รู้เท่าทันแล้วก็เห็น แล้วก็ตามทำความเข้าใจเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของจิต

เข้าใจคำว่าหลักของอริยสัจสี่ การปรุงแต่งของวิญญาณเขาส่งออกไปภายนอกอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เขามีอยู่เดิมเขาหลงเขาหลงถึงเกิด วิญญาณของเราหลงนะ หลงมาถึงได้เกิดแต่หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มาคลายในอัตภาพร่างกายของมนุษย์นี้ ขันธ์ห้าของมนุษย์นี้มันมีอะไรบ้าง ซึ่งมีหนังเข้ามาห่อหุ้มมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง

แล้วทำไมตัวใจของเราถึงหลงเป็นทาสของกิเลสอีกเป็นทาสของอารมณ์อีก เข้าไปยึดมั่นถือมั่น พระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติเข้าไปคลายทีละเปาะทีละจุด คลายลงไปจนไม่เหลืออะไร จนเหลือตั้งแต่ดวงวิญญาณซึ่งมาอาศัยกายอยู่ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ แต่กายเนื้อก็มีอยู่ เราจะบริหารกายเนื้ออย่างไรบริหารสมมติอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างความเป็นจริงมีหมด เพียงแค่เราน้อมเข้าไปสำรวจภายในของเราให้ละเอียดเสียก่อน

แต่การดูการรู้นี่ก็ต้องสร้างตบะสร้างบารมีอย่างแรงกล้า ละกิเลส กว่าจะขัดเกลาออกไปได้ก็ต้องอาศัยความเพียรอย่างยิ่งยวด ความขยันหมั่นเพียรของเรามีต่อเนื่องหรือไม่ ความเสียสละ การละกิเลส การกระทำของเราถึงพร้อมหรือไม่ เราก็ต้องมาวิเคราะห์พิจารณากายของเราพิจารณาใจของเรา พิจารณาความเป็นอยู่ของเรา เราจะแก้ไขอย่างไรบริหารอย่างไร สติปัญญาที่แท้จริงเป็นอย่างไร

อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ธรรมะก็อยู่กับเรา กายของเรานี่แหละก้อน​ธรรม​ ตัวจิตของเราคือองค์ธรรม แต่เวลานี้ตัวจิตตัววิญญาณของเรายังเกิดอยู่ยังเกิด​ ทั้งเกิดด้วยหลงด้วย เป็นทาสทางอารมณ์ทาสของกิเลสด้วย เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ​ ก็อาจจะควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบ ต่อไปข้างหน้าก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ในเมื่อใจของเราคลายออกหรือว่าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไรเขาถึงจะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ เขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ปรากฏให้เห็น

แล้วก็ตามทำความเข้าใจในหลักธรรมการเกิดการดับ การไปการมาของวิญญาณ การเกิดการดับ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจถึงเกิดความยินดียินร้ายในสิ่งต่าง ๆ ทำไมใจถึงผลักไสหรือดึงเข้ามา เราต้องทำความเข้าใจกาย ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ซึ่งเป็นทางผ่านหูตาจมูกลิ้นกายผ่านเข้าไปถึงตัววิญญาณ ของดีมีอยู่ในกายของเรา เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้ารู้แนวทางแล้วไปทำ​ กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การดับการหยุดการระงับยับยั้ง การสังเกตการวิเคราะห์ กายวิเวกใจวิเวก กลางคืนกลางวันเป็นอย่างไร ใจของเราเกิดความกลัวอย่างไร

เอาการเอางานเป็นการฝึกหัดปฏิบัติทำงานไปด้วยให้ใจรับรู้ไปด้วย ใหม่ๆ​ ก็อาจจะเป็นการฝืนเขาเรียกว่าการทวนกระแส จิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว มีไม่มากมีไม่มากถ้าเราสนใจดู อยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ จะไปแสวงหาธรรมที่นู่นแสวงหาธรรมที่นี่ อันนั้นเป็นแค่เพียงแต่แสวงหาวิธีแสวงหาแนวทาง​แล้วก็สถานที่ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา​ ถ้าเราเข้าใจเราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา​

ตากระทบรูปสติก็รู้ว่าใจของเราเป็นอย่างไร เกิดความยินดียินร้ายไหม หูกระทบเสียงภาษาธรรมะท่านเรียกว่าแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ​ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรามีสติ เรามีสติปัญญาคอยตรวจสอบจิตของเรา อันนี้สำหรับสติตรวจสอบจิตของเรา ส่วนการแยกรูปรสกลิ่นเสียง แยกอาการของความคิดต่างๆ อันนั้นเขาถึงจะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’

ตามดูอาการของความคิดในขันธ์ห้า นิวรณ์ห้าเป็นอย่างไร กิเลสต่างๆ มลทินต่างๆ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร เราต้องไปแจงตามดูตามรู้ตามเห็น ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด ละอัตตาตัวตนละทิฏฐิ ละมานะ ดับความเกิดของวิญญาณ จนเขาเรียกว่าเข้าสู่วิปัสสนาจนกว่าใจของเราหรือว่าจิตของเราจะบริสุทธิ์หลุดพ้น แม้แต่การเกิดก็ไม่ให้มีมองเห็นโลกนี้เป็นธรรม

กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน เรามีโอกาสได้สร้างบุญสร้างอานิสงส์​ สร้างตบะสร้างบารมีอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ส่วนมากจะมีตั้งแต่จะสร้างมาปกปิดดวงใจของตัวเรา ไม่ค่อยจะคลายออกเอาออกเอาออก ​แม้แต่การเกิดก็ไม่รู้จักดับ มีตั้งแต่แสวงหาด้วยความทะเยอทะยานอยากมันก็ปิดกั้นเอาไว้ สิ่งพวกนี้เราจะไปโทษกันไม่ได้ เพราะว่าเป็นวิบากของกรรมแต่ละบุคคล นอกจากเราจะมาศึกษาเรื่องกรรม ทำความเข้าใจให้​กระจ่างแล้วก็ค่อยละ แล้วก็ละ ละอกุศลเจริญกุศลสร้างกรรมดีแต่ไม่ให้ยึดอีก

พยายามนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดให้บ้างชี้แนะให้ฟังเท่านั้นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปทำพวกท่านก็ยากที่จะเข้าใจ อย่าให้คนอื่นได้มาบังคับตัวเรา เราจงบังคับตัวเราเองแก้ไขตัวเองหมั่นพร่ำสอนตัวเราเอง เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรผิดอะไรถูกอะไรควรแก้ไข ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน​ ประโยชน์ใกล้​ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์อยู่กับปัจจุบัน ต้องพยายามดำเนินให้มันถึงจุดหมายปลายทาง

สร้างความรู้สึก​รับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพัก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องกันทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มี​ความรู้สึก​รับรู้อยู่ที่ปลายจมูกให้ชัดเจนกันสักระยะนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ​ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง