หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 087

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 087
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 087
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ​ นะ​พระเราชีเราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ใครอยากฝึกฝึกหัดปฏิบัติ ใครอยากเจริญสติมาเจริญสติเจริญสมาธิ ก็น้อมกายน้อมใจเข้ามาได้ตลอดเวลามีให้ได้หมด การเจริญสติ​ นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนู้นขึ้นอยู่กับคนนี้ กิเลสก็กิเลสของเราเราก็ละเอาทำเอา ครูบาอาจารย์ตำราก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ เราอย่าไปติดแค่เพียงรูปแบบ

การเจริญสติ การละกิเลสตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การทำความเข้าใจอะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ เรารู้จักวิธีเรารู้จักแนวทางแล้วเราต้องพยายามสำรวจ เราสำรวจกายสำรวจใจของเรา กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร สติรู้ตัวเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกทำอย่างไร เขาทำหน้าที่อย่างไร ในกายเนื้อของเรามีอะไรบ้าง เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ไม่ใช่ว่าจะไปเอาเฉพาะแค่เพียงรูปแบบปฏิบัติธรรมที่นู่นที่นี่ แต่การละกิเลสไม่มี การเจริญสติไม่มีมันจะไปไม่ถึงไหน คนที่มีบุญ​มีอานิสงส์มีสติมีปัญญาพอรู้จักแนวทางแล้วจะสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา​ กายของเราเข้าไปร่วมกับสมมติใจของเราเป็นอย่างไร ประโยชน์ของสมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ใจของเราเป็นบุญ อะไรที่ควรละอะไรที่ควรเจริญ อะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้อง เราก็จะได้รีบแก้ไขชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าต้องให้คนพาเดินพานั่งพาทำ พาบอกอย่างนั้นอย่างนี้ไปไม่ถึงไหน ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ทั้งที่ใจของทุกคนก็เป็นบุญ

อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำรีบทำรีบสร้าง ไม่จำเป็นต้องไปบอกให้ใครเขารู้ว่าเราฝึกหัดปฏิบัติอะไร การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา ตนเป็นที่พึ่งของตน สติปัญญาเป็นที่พึ่งของใจ ใจกายก็อาศัยสมมติอาศัยปัจจัยสี่ เราก็ต้องทำให้มีให้เกิดขึ้นก็​จะอนุเคราะห์อำนวยสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ก็พี่น้องของเราทั้งไกลทั้งใกล้ก็ได้มากันมาทั้งบุญทั้งสมมติเราก็ทำ​ ทางด้านวิมุตติ​ทางด้านการชำระสะสางกิเลสเราก็จัดการกับจิตกับใจของเรา

ขอให้พี่น้องเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้าง​ความรู้สึก​รับรู้​ สัมผัสกับลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ถึงไม่ต่อเนื่องกันได้ถึงเราสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องจนเอาไปทำเอาไปใช้การไม่ได้ ก็ขอให้ให้ต่อเนื่องกันขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ การเจริญสติที่ต่อเนื่อง แล้วก็การศึกษาการสังเกตการวิเคราะห์ รู้ลักษณะของวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา การก่อตัวของวิญญาณ การก่อตัวของอาการของขันธ์ห้า อาการของขันธ์ห้ากับวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม ส่วนกายของเราก็เป็นส่วนรูปธรรม เขาอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เขามาอาศัยกันได้อย่างไร เขาเข้าไปรวมกันจนเกิด อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา เราต้องศึกษา

ส่วนมากเราจะศึกษาที่เกิดจากตัวจิตตัววิญญาณส่งออกไปศึกษาส่งออกไปค้นคว้า เขาก็เลยปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้เหมือนกัน ในหลักธรรมท่านให้รู้จักการเจริญสติความรู้ตัว สติตัวใหม่เลยทีเดียว สติความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา มันไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง อย่าไปเกียจคร้านในการสร้างสติขึ้นมาแล้วก็ไปใช้ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ เพียงแค่การรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกพวกเราก็รู้กันไม่ชำนาญ อาจจะรู้อยู่เป็นบางช่วงรู้อยู่เป็นบางครั้ง ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละเขาเรียกว่าความเพียร

บางทีขณะที่เราเจริญสติอยู่ บางทีตัวใจของเราปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็จะเห็นเราก็จะรู้ ในความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมาในส่วนหนึ่ง ส่วนตัวใจนั้นก่อตัวนั้นอีกเป็นส่วนหนึ่ง เห็นรู้เป็น 2 ส่วนแล้ว ถ้ากำลังสติของเรามากขึ้นไปอีก เราก็จะเห็นอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราว่ามันก่อตัวอย่างไร ตัวใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเราเห็นขณะนั้นใจของเราก็จะดีดออกจากความคิดเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เราก็จะเห็นเป็น 3 อีก เห็นเป็น 3 ตัวสติ​ ตัวใจ​ ตัวอาการของใจ

เห็นการเกิดการดับของอาการของใจ ใจก็จะว่างโล่งโปร่งเบา เห็นการเกิดการดับของใจเขาเรียกว่าเห็นอาการของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่มันเกิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคตสารพัดเรื่อง​ เขาเรียกว่ากองสังขารในขันธ์ห้าของตัวเรา ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องไม่แหลมคมจริงๆ​ ก็ยากที่จะเห็นตรงนี้ ถึงเรายังไม่เห็นแต่ก็ไม่เหนือวิสัย เราพยายามพยายามสร้างตบะสร้างบารมีสร้างอานิสงส์ หมั่นเจริญสติหมั่นเจริญความเพียรให้มีให้เกิดขึ้น สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น

ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญปรารถนาที่อยากจะได้บุญ ทำบุญทำบุญให้ทานทางด้านวัตถุทาน น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาทำบุญ นี่แหละเขาเรียกว่าตบะบารมีในการชำระสะสางกิเลส แล้วก็รู้จักควบคุมใจควบคุมอารมณ์จนกว่าใจของเราจะอยู่ในอำนาจของสติของปัญญาของเรา จนกว่าใจของเราจะรู้ความเป็นจริงให้ได้ทุกอิริยาบถ รู้จากภายในก็ส่งผลถึงภายนอก แยกแยะภายในได้ก็ปล่อยวางข้างนอกได้

ทีนี้ก็จะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องสติเรื่องของปัญญา การพูดง่ายแต่การศึกษาการค้นคว้าต้องอาศัยความเพียรอาศัยเวลา อาศัยแรงบุญแรงศรัทธาอาศัยแรงตบะบารมีค่อยสร้างสะสมอานิสงส์ตรงนี้ให้ค่อยเป็นค่อยไปจากน้อยๆ​ ไปหามากๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ ไปที่นู่นที่นี่ถ้าเราไม่เข้าใจถึงจะไปปฏิบัติอย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักวิธีรู้จักแนวทางก็เป็นแค่เพียงรูปแบบ ถ้ารู้จักวิธี​รู้จักแนวทางแล้ว อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะ

ตากระทบรูป​ สติก็จะรู้ใจของเราว่าใจของเราปกติ ใจของเราเกิดความยินดียินร้าย ใจของเราปรุงแต่ง หูกระทบเสียง กายสัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็งสารพัดอย่าง เรารู้จักจำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากตัววิญญาณของเรา กายของเราก็ไปร่วมสมมติให้ใจของเรารับรู้สติตามดู ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ​ ก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญา จะคิดพิจารณาทางโลกทางธรรมใช้สติปัญญาคิด พิจารณาใจว่างรับรู้อยู่เขาเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’

ถ้าใจของเรายังไม่คลาย ใจของเรายังเกิดใจของเรายังหลงอยู่ ถึงจะพิจารณาในธรรมอย่างไรมันก็เป็นปัญญาโลก ถ้าใจคลายแล้วคลายออก​ดับความเกิดของใจแล้ว เราไม่อยากได้ความสงบเราก็ได้ ใจไม่มีกิเลสใจเขาสงบใจเขาปกติ ใจเขาสะอาดนั่นแหละคือสมาธิ ยืนเดินนั่งนอน จะร้องตะโกนอยู่ใจของเราก็จะได้องค์ฌาน​ องค์สมาธิที่ปราศจากกิเลส ช่วงใหม่ๆ​ มันก็ต้องฝืนเพราะว่าจิตใจของคนเราชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่ง เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นบังอำพรางตัวเขาเอาไว้มาก​ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด​ กายเนื้อก็มาปิดบังตัวเขาเอาไว้ แม้แต่ตัวเขาก็ปรุง การปรุงแต่งก็ปิดบังตัวเขาไว้ ขันธ์ห้าก็มาปิดบังตัวเขาเอาไว้ แม้แต่การเกิดเขาก็ปิดบังตัวเขาเอาไว้

สติปัญญาของเราต้องแหลมคมรู้ตั้งแต่จุดเกิด เขาก่อตัวอย่างไรเขาเกิดอย่างไร เราหยุดตั้งแต่เขาก่อตัวนั่นแหละมันก็จะเข้าถึงตัวของเขา แล้วก็คลายเสียก่อนคลายใจออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ใจของเรามันถึงจะเข้าใจในเรื่องคำว่า ‘ความว่าง’ เข้าใจในคำว่า ‘สุญญตา’ เข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เข้าใจในความหมายของภาษาธรรมภาษาโลก เราต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ให้ใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราตลอดเวลา ใจของเราก็จะอยู่กับบุญ​ ประกาศด้วยตัวเองด้วยว่าเรามองเห็นทางแล้ว หรือจะไปดำเนินไปอย่างไรมาอย่างไร เราเข้าถึงแล้วมองเห็นหนทางแล้วว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด กิเลสตัวไหนมันยังหลงเหลืออยู่ เราพยายามจัดการออกจากจิตจากใจของเรา อันนี้คือสมมติอันนี้คือวิมุตติ เราอาศัยสมมติอยู่เราจะทิ้งสมมติไม่ได้นอกจากหมดลมหายใจ

เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลง กายของเรานี่แหละเป็นก้อนสมมติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในอาการของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนรูป แต่เราก็ต้องไปทำความเข้าใจกับส่วนนามธรรมทำให้เรียบร้อยให้บริบูรณ์ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ว่าใจของเรายังสงบนิ่งหรือว่าส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันไปปล่อยวันเวลาทิ้งโอกาสเปิดให้กับทุกคน สถานที่กาลเวลาเปิดให้ทุกคน ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนาอีกด้วย ศาสนาก็เน้นลงอยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ท่านไม่ได้ไปสอนที่ไหนหรอก

ครูบาอาจารย์ตำราก็เป็นแค่เพียงแผนที่ ไม่ใช่ว่าไปฝึกหัดปฏิบัติที่นู่นไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ดีหมดทุกที่ ขอให้ดำเนินเถอะขอให้ทำเถอะ ถ้าถึงเวลาแล้วก็เราก็จะเดินปัญญาเข้าใจในชีวิตของเรา ช่วงใดตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจเรายังแยกแยะไม่ได้​ เพราะว่าอานิสงส์บุญบารมีของเรายังไม่ถึงวาระเวลานั้น สมมติยังไม่เปิดสมมติยังไม่คลาย ให้ทำไปเถอะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นา ครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ดีหมด​ ในการทำบุญในการให้ทาน ขอให้ไปเถอะ ถ้าถึงเวลาแล้วอยู่คนเดียวเราย่อมจะเข้าใจ

เอาล่ะวันนี้หลวงพ่อก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนจงมีความสุขความเจริญกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง