หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 075
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 075
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดระงับยับยั้งลงไป
ความระลึกสัมผัสของลมหายใจที่สัมผัสปลายจมูกของเราเวลาเราหายใจเข้าหายใจออก เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันขณะลมหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ตรงนี้แหละคนเราขาดการสร้างความรู้ตัว มีตั้งแต่จะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างโน้นว่าจะเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็ปรารถนาที่อยากจะรู้ธรรมอยากเห็นธรรม
ตัวใจนั้นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่เขายังหลงอยู่ ในทางปัญญาทางสมมติทางโลกียะเราอาจจะว่าเราไม่ลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้ลักษณะของใจ รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ลักษณะของวิญญาณอยู่ในขันธ์ห้าของตัวเรา ว่าขันธ์ห้าอยู่ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาสร้างเข้ามายึด จนเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฐิเกิดมานะ เกิดความทะเยอทะยานอยาก
ความเกิดนั่นแหละคือความหลง วิญญาณของเราเกิดอยู่ปรุงแต่งอยู่เขายังหลงอยู่ ถ้าเขาไม่หลงเขาก็ไม่เกิด แต่เขาได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างอัตภาพร่างกายขันธ์ห้าซึ่งมีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ แต่ส่วนนามธรรมอีก 4 ส่วนซึ่งเป็นวิญญาณซึ่งเป็นนามกับอาการของวิญญาณ เรารู้อยู่แต่เราไม่เห็นเราเข้าไม่ถึงเพราะว่าเราขาดการเจริญสติ มีศรัทธามีการทำบุญ มีการฝักใฝ่มีการสนใจมีการพัฒนามาตั้งแต่เกิด พัฒนามาหลายภพหลายชาติแล้ว
แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ คําว่าเจริญคือสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเรา ไม่ว่าจะสร้างไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ให้รู้กายเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ลึกลงไปก็เน้นลงให้เข้าถึงตัวจิตตัววิญญาณ รู้ลักษณะของวิญญาณ รู้ลักษณะของใจที่ปกติ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ในอริยมรรคในองค์แปดข้อแรกเลยทีเดียว
ความรู้แจ้งเห็นจริงคือความเห็นถูกๆ เห็นลักษณะของวิญญาณ การเกิดของวิญญาณ เห็นลักษณะอาการของวิญญาณ เห็นการปรุงแต่งอยู่ในขันธ์ห้าของเราตั้งแต่เกิดตั้ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เขารวมกันได้อย่างไร เขาหลงกันได้อย่างไร นั่นแหละถึงจะคลายความหลงได้ เพียงแค่สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงตรงนี้ นอกจากบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเห็น
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง วันหนึ่งมีกี่นาที พวกเรายังสร้างความรู้ตัวกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเลย สร้างความรู้ตัวได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ รู้กายบ้างรู้ใจบ้างแล้วก็ทิ้งไปไม่พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาเก่าปัญญาที่เกิดจากตัววิญญาณหรือว่าตัวจิตซึ่งเรียกว่าปัญญาโลกีย์ เขาก็ปิดกั้นอำพรางตัวเองเขาเอาไว้มากเลยทีเดียว เพียงแค่การเกิดเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ การปรุงการแต่งอาการของขันธ์ห้าอีกเขาก็มาปรุงแต่ง ตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมจะเป็นสิ่งเดียวกัน เรารู้เมื่อเขาเกิดแล้วเรารู้เมื่อเขารวมลงไปแล้วหรือบางทีก็รู้ไปเลยเพราะว่าใจมันเป็นผู้รู้ แต่มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ หลงอยู่ในขันธ์ห้าตรงนั้นอยู่
เราต้องมาเจริญสติเข้าไป รู้จักระงับรู้จักยับยั้ง รู้จักวิเคราะห์รู้จักหาเหตุหาผล จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดได้ ถ้าเราสังเกตเห็นรู้เท่าทันแล้วเขาคลายออกจากกันได้แล้ว ใจของเราถึงจะพลิกใจของเราถึงจะหงายเขาเรียกว่าหงายของพลิกคว่ำ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ แล้วก็ตามดูตามรู้ตามเห็นอาการเกิดดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขารของตัวเรา เห็นการเกิดการดับ เห็นรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรื่องอะไรที่เขาเกิด เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าอกุศล
ทีนี้ใจของเรายังเกิดกิเลสอยู่เราก็รู้จักละกิเลสดับกิเลส แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แม้แต่การเกิด การเกิดการส่งไปภายนอกนั้นแหละเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ แต่ทุกคนทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงขันธ์ห้าด้วย ทั้งมีความทะเยอทะยานอยากด้วย เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา เป็นกิเลสที่ห่อหุ้มดวงจิตของเราไม่ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ แม้ตั้งแต่การเจริญสติก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง อย่าไปเรียกร้องหาอะไรล่ะ จะเอาธรรมที่ไหนล่ะ
การดับการละ การสังเกตการทำความเข้าใจไม่มี แต่การทำบุญการให้ทานศรัทธามีก็เลยเข้าไม่ถึง ก็ยังดีพยายามสร้างอานิสงส์ผลบุญผลทาน แต่คนเราแต่ละบุคคลเกิดมาก็สร้างอานิสงส์ผลบุญมาไม่เท่ากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็ทำมาดี บางคนก็มาสร้างมาทำเอาอยู่ปัจจุบัน เราจะไปบังคับเคี่ยวเข็ญกันไม่ได้ นอกจากตัวเราจะพร่ำสอนตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ลักษณะของการเจริญสติ ลักษณะของการทำความเข้าใจ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์เรื่องการดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงอยู่ที่กายของเรา มีเหตุมีผลทุกอย่าง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยหมดความลังเล ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาจิตจนใจของเราเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์จนดับความเกิดได้ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
คนทั่วไปส่วนมากก็มีตั้งแต่การเกิด ตัววิญญาณเกิดอยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าเกิดอยู่ตลอดเวลา สติปัญญามีน้อย สติปัญญาทางโลกียะนี่มีมากล้นเต็มเปี่ยม แต่สติปัญญาในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักเอาไปใช้ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ยังพากันทำไม่ค่อยจะคล่องแคล่วยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน ภายในตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอสักกี่ครั้ง หรือว่าไม่มีเราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาแล้วก็ทำความเข้าใจ
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร หมดความสงสัยหมดความลังเลมองเห็นหนทางเดิน มีตั้งแต่จะกําจัดกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจดจนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่สมมติคืออัตภาพร่างกายของเรารอวันให้เขาแตกดับ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็อยู่ร่วมกัน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องถูกที่ถูกทางหรือไม่ ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยอะไร พยายามเดินดำเนินตามคําสอนของพระพุทธองค์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจที่กายของเรา หมดความสับสนสงสัยแล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ต้องไปวิ่งไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนตัวเอง
คําสอนนั้นมีอยู่แล้วแนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม เราพร่ำสอนตัวเราสิ ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไร อะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละหรือไม่ ใจของเราเกิดกิเลสเรารู้จักละกิเลสหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร อยู่คนเดียวลองพยายามรู้กายรู้ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้กายรู้ใจของเรา หาความเป็นกลางสร้างความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น
ความว่างนั่นแหละคือความเป็นกลาง ใจที่ไม่เกิด ใจที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่ว่างจากกิเลส เขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ ความปกตินั่นแหละคือศีล ปกติของกายของวาจาแล้วก็ของใจ ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ปกติในระดับไหน สมาธิในระดับไหน สมาธิอยู่ด้วยการข่มเอาไว้ บังคับเอาไว้ สมาธิจากการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลสออกให้หมดจดจากใจของเรา นั่นแหละใจของเรา
ถ้าใจของเราไม่มีกิเลส ใจของเราไม่เกิด ใจของเราไม่เกิดเขาก็จะอยู่ในความบริสุทธิ์อยู่ในความว่างนั่นแหละคือองค์สมาธิ องค์ฌานองค์สมาธิ ว่างจากการเกิดว่างจากกิเลส รู้จักทรงความว่าง วิหารธรรมความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรมของจิต เราก็ต้องพยายามแม้แต่การเกิดของจิตของใจของเรา เราต้องพยายามละออกให้มันหมดจน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส
ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีบุญจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมจะคร่ำเคร่งมากมาย แล้วแต่อุบายวิธีไหนก็ช่าง จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด ถ้าเราละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจดแล้วเราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจนั่นแหละคือบุญ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็จะเป็นบุญ อยู่กับบุญตลอดไป อยู่ที่ไหนก็จะเป็นบุญ อยู่คนเดียวก็เป็นบุญ อยู่หลายคนก็เป็นบุญ อานิสงส์ผลบุญตรงนี้แหละจะช่วยอันนี้หุ้มห่อพวกเราเอาไว้จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ ใครไปใครมาก็อยากจะได้อานิสงส์ผลบุญจากพวกเรา มีโอกาสก็พากันทำ
อย่าไปปิดกั้นตัวเอง อย่าไปลังเลสงสัยอะไร อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากมีอยากเป็นอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา สารพัดอย่าง ในหลักธรรมแล้วท่านต้องละให้หมดถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิตตัววิญญาณ แม้แต่การเกิดการปรุงแต่งต้องดับต้องละ ก่อนที่จะดับละได้เราต้องทำความเข้าใจ ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงเสียก่อน
ถ้าใจเขารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่คนเราทั่วไปมีตั้งแต่ความทะยานทะยานยาก อยากอยากได้บุญอยากได้ธรรม อยากมีอยากเป็นสารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้หมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ปิดกั้นเอาไว้หมด กายเนื้อก็มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ มีความโลภความโกรธก็ไปปิดกั้นดวงใจเอาไว้ พวกนิวรณ์ธรรมมลทินต่างๆ ก็มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ตัวโมหะตัวความหลงอย่างลุ่มลึกก็มาปิดกั้นดวงใจเขาไว้
นอกจากบุคคลที่จะมาเจริญสติให้เร็วให้ไวให้แหลมคม หาเหตุหาผล แล้วก็รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้ใจของเรา แต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราไปยังไงมายังไง ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือไม่ ใจของเราอยู่ในความสะอาดความบริสุทธิ์หรือไม่ จะทำเยาะๆ แหยะๆ เราก็จะไม่เข้าใจ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความจริงใจ มีความเสียสละเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รู้จักสํารวจสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มองตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน
สตินั่นแหละคือตนตัวที่เราสร้างขึ้นมา แต่เวลานี้สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเรามีให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จะต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต มีให้เป็นทำให้เป็น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนเราก็จะได้ทำบุญตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเราทำบุญให้กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา เป็นบุคคลที่จะอยู่ที่จะไปตลอดเวลา รู้เห็นตามความเป็นจริง สัจธรรมมีอยู่ความจริงมีอยู่ เราไม่เข้าใจแนวทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม
นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่ 4 วันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เป็นวันค้นพบตรัสรู้ของพระพุทธองค์แล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเรามีโอกาสมีบุญนะก็ขอเชิญชวนทุกคนทุกท่านมาร่วมกัน มาร่วมกันไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ร่วมกันเวียนเทียนระลึกนึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวโลกของเรา นี่แหละโอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้กาลเวลาเปิดให้ หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างทุกอย่างที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์ บุญใกล้บุญไกล บุญปัจจุบันบุญในโลกนี้บุญในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ดีโลกหน้าค่อยว่ากัน หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างทุกอย่างที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์ ก็ขอเชิญชวนทุกคน ตอนนี้ก็ยังทำสร้างทุกอย่างอยู่ภายในวัด
ฆราวาสญาติโยมทั้งพระทั้งชีเราก็ช่วยกัน มีงานอะไรก็ช่วยกันตั้งแต่ปากทางเข้ามาจนกระทั่งถึงก้นครัว มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา อะไรที่จะติดขัดเราก็รีบแก้ไขเสีย อะไรที่ไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสีย ทำให้ดีอยู่ปัจจุบัน เรามีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันมาสร้างบุญร่วมกันเป็นบุญเป็นอานิสงส์ สร้างบุญบารมีมาร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ถึงวาระเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากการตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ก่อนที่จะหมดลมหายใจเราต้องเข้าใจในชีวิตของเราให้ถ่องแท้ ให้ถึงแก่นแท้ของดวงวิญญาณของดวงใจเสียก่อน ว่าเขาเกิดยังไงเขาหลงอะไร เรารีบพยายามชําระสะสางเสียก่อนที่กําลังกายจะแตกจะดับ ไม่ใช่ว่าไปผลัดวันประกันพรุ่งไปรอวันโน้นรอวันนี้ อย่างนั้นยังเป็นบุคคลที่ประมาท
ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีธรรม เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำความเข้าใจ มีความขยันหมั่นเพียรขจัดกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจดหรือไม่ แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่สร้างกิเลสเข้ามาห่อหุ้มดวงใจของตัวเองเอาไว้ แทนที่จะเป็นคนขัดเกลาเอาออกให้มันหมดจด มันไม่หมดวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องหมด ไม่หมดวันนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่หมดปีหน้าก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าสิ่งที่พวกเราทำนี่เป็นอานิสงส์เป็นเข้าพกเข้าห่อ บุญสมมติเราก็ทำบุญวิมุตติเราก็ทำ ทำทุกสิ่งทุกอย่างในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เราก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี รู้จักบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราเองตลอดเวลา มีตั้งแต่จะไปมองคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ เราต้องพยายามแก้ไขตัวเรา คนอื่นเขาจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราพยายามทำดีคิดดีมองโลกในทางที่ดี แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ถ้าเราทำถูกวิถีเราไม่อยากจะได้เราก็ได้ เราไม่อยากจะถึงเราก็ถึง ถ้าเราละกิเลสออกให้หมดจด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ความบริสุทธิ์ เราแยกรูปแยกนามได้เดินปัญญาได้ทำความเข้าใจได้ เมื่อใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง ไม่อยากปล่อยไม่อยากวางเขาก็ต้องวางเพราะว่าเขามองเห็นตามความเป็นจริง แต่เวลานี้ กําลังสติกําลังกําลังปัญญาที่จะเข้าไปสะสางกิเลสนั้นมีน้อย แต่กําลังบุญนั้นบางคนบางท่านก็มีมาก ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจเอา อันนี้เป็นแค่เล่าให้ฟัง
ความระลึกสัมผัสของลมหายใจที่สัมผัสปลายจมูกของเราเวลาเราหายใจเข้าหายใจออก เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันขณะลมหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ตรงนี้แหละคนเราขาดการสร้างความรู้ตัว มีตั้งแต่จะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างโน้นว่าจะเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็ปรารถนาที่อยากจะรู้ธรรมอยากเห็นธรรม
ตัวใจนั้นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่เขายังหลงอยู่ ในทางปัญญาทางสมมติทางโลกียะเราอาจจะว่าเราไม่ลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้ลักษณะของใจ รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ลักษณะของวิญญาณอยู่ในขันธ์ห้าของตัวเรา ว่าขันธ์ห้าอยู่ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาสร้างเข้ามายึด จนเกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฐิเกิดมานะ เกิดความทะเยอทะยานอยาก
ความเกิดนั่นแหละคือความหลง วิญญาณของเราเกิดอยู่ปรุงแต่งอยู่เขายังหลงอยู่ ถ้าเขาไม่หลงเขาก็ไม่เกิด แต่เขาได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างอัตภาพร่างกายขันธ์ห้าซึ่งมีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ แต่ส่วนนามธรรมอีก 4 ส่วนซึ่งเป็นวิญญาณซึ่งเป็นนามกับอาการของวิญญาณ เรารู้อยู่แต่เราไม่เห็นเราเข้าไม่ถึงเพราะว่าเราขาดการเจริญสติ มีศรัทธามีการทำบุญ มีการฝักใฝ่มีการสนใจมีการพัฒนามาตั้งแต่เกิด พัฒนามาหลายภพหลายชาติแล้ว
แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ คําว่าเจริญคือสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเรา ไม่ว่าจะสร้างไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ให้รู้กายเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ลึกลงไปก็เน้นลงให้เข้าถึงตัวจิตตัววิญญาณ รู้ลักษณะของวิญญาณ รู้ลักษณะของใจที่ปกติ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ในอริยมรรคในองค์แปดข้อแรกเลยทีเดียว
ความรู้แจ้งเห็นจริงคือความเห็นถูกๆ เห็นลักษณะของวิญญาณ การเกิดของวิญญาณ เห็นลักษณะอาการของวิญญาณ เห็นการปรุงแต่งอยู่ในขันธ์ห้าของเราตั้งแต่เกิดตั้ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เขารวมกันได้อย่างไร เขาหลงกันได้อย่างไร นั่นแหละถึงจะคลายความหลงได้ เพียงแค่สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงตรงนี้ นอกจากบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเห็น
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง วันหนึ่งมีกี่นาที พวกเรายังสร้างความรู้ตัวกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเลย สร้างความรู้ตัวได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ รู้กายบ้างรู้ใจบ้างแล้วก็ทิ้งไปไม่พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาเก่าปัญญาที่เกิดจากตัววิญญาณหรือว่าตัวจิตซึ่งเรียกว่าปัญญาโลกีย์ เขาก็ปิดกั้นอำพรางตัวเองเขาเอาไว้มากเลยทีเดียว เพียงแค่การเกิดเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ การปรุงการแต่งอาการของขันธ์ห้าอีกเขาก็มาปรุงแต่ง ตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมจะเป็นสิ่งเดียวกัน เรารู้เมื่อเขาเกิดแล้วเรารู้เมื่อเขารวมลงไปแล้วหรือบางทีก็รู้ไปเลยเพราะว่าใจมันเป็นผู้รู้ แต่มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ หลงอยู่ในขันธ์ห้าตรงนั้นอยู่
เราต้องมาเจริญสติเข้าไป รู้จักระงับรู้จักยับยั้ง รู้จักวิเคราะห์รู้จักหาเหตุหาผล จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดได้ ถ้าเราสังเกตเห็นรู้เท่าทันแล้วเขาคลายออกจากกันได้แล้ว ใจของเราถึงจะพลิกใจของเราถึงจะหงายเขาเรียกว่าหงายของพลิกคว่ำ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ แล้วก็ตามดูตามรู้ตามเห็นอาการเกิดดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขารของตัวเรา เห็นการเกิดการดับ เห็นรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรื่องอะไรที่เขาเกิด เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าอกุศล
ทีนี้ใจของเรายังเกิดกิเลสอยู่เราก็รู้จักละกิเลสดับกิเลส แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แม้แต่การเกิด การเกิดการส่งไปภายนอกนั้นแหละเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ แต่ทุกคนทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงขันธ์ห้าด้วย ทั้งมีความทะเยอทะยานอยากด้วย เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา เป็นกิเลสที่ห่อหุ้มดวงจิตของเราไม่ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ แม้ตั้งแต่การเจริญสติก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง อย่าไปเรียกร้องหาอะไรล่ะ จะเอาธรรมที่ไหนล่ะ
การดับการละ การสังเกตการทำความเข้าใจไม่มี แต่การทำบุญการให้ทานศรัทธามีก็เลยเข้าไม่ถึง ก็ยังดีพยายามสร้างอานิสงส์ผลบุญผลทาน แต่คนเราแต่ละบุคคลเกิดมาก็สร้างอานิสงส์ผลบุญมาไม่เท่ากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็ทำมาดี บางคนก็มาสร้างมาทำเอาอยู่ปัจจุบัน เราจะไปบังคับเคี่ยวเข็ญกันไม่ได้ นอกจากตัวเราจะพร่ำสอนตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ลักษณะของการเจริญสติ ลักษณะของการทำความเข้าใจ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์เรื่องการดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงอยู่ที่กายของเรา มีเหตุมีผลทุกอย่าง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยหมดความลังเล ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาจิตจนใจของเราเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์จนดับความเกิดได้ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
คนทั่วไปส่วนมากก็มีตั้งแต่การเกิด ตัววิญญาณเกิดอยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าเกิดอยู่ตลอดเวลา สติปัญญามีน้อย สติปัญญาทางโลกียะนี่มีมากล้นเต็มเปี่ยม แต่สติปัญญาในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักเอาไปใช้ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ยังพากันทำไม่ค่อยจะคล่องแคล่วยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน ภายในตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอสักกี่ครั้ง หรือว่าไม่มีเราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาแล้วก็ทำความเข้าใจ
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร หมดความสงสัยหมดความลังเลมองเห็นหนทางเดิน มีตั้งแต่จะกําจัดกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจดจนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่สมมติคืออัตภาพร่างกายของเรารอวันให้เขาแตกดับ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็อยู่ร่วมกัน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องถูกที่ถูกทางหรือไม่ ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยอะไร พยายามเดินดำเนินตามคําสอนของพระพุทธองค์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจที่กายของเรา หมดความสับสนสงสัยแล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ต้องไปวิ่งไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนตัวเอง
คําสอนนั้นมีอยู่แล้วแนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม เราพร่ำสอนตัวเราสิ ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไร อะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละหรือไม่ ใจของเราเกิดกิเลสเรารู้จักละกิเลสหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร อยู่คนเดียวลองพยายามรู้กายรู้ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้กายรู้ใจของเรา หาความเป็นกลางสร้างความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น
ความว่างนั่นแหละคือความเป็นกลาง ใจที่ไม่เกิด ใจที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่ว่างจากกิเลส เขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ ความปกตินั่นแหละคือศีล ปกติของกายของวาจาแล้วก็ของใจ ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ปกติในระดับไหน สมาธิในระดับไหน สมาธิอยู่ด้วยการข่มเอาไว้ บังคับเอาไว้ สมาธิจากการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลสออกให้หมดจดจากใจของเรา นั่นแหละใจของเรา
ถ้าใจของเราไม่มีกิเลส ใจของเราไม่เกิด ใจของเราไม่เกิดเขาก็จะอยู่ในความบริสุทธิ์อยู่ในความว่างนั่นแหละคือองค์สมาธิ องค์ฌานองค์สมาธิ ว่างจากการเกิดว่างจากกิเลส รู้จักทรงความว่าง วิหารธรรมความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรมของจิต เราก็ต้องพยายามแม้แต่การเกิดของจิตของใจของเรา เราต้องพยายามละออกให้มันหมดจน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส
ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีบุญจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมจะคร่ำเคร่งมากมาย แล้วแต่อุบายวิธีไหนก็ช่าง จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด ถ้าเราละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจดแล้วเราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจนั่นแหละคือบุญ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็จะเป็นบุญ อยู่กับบุญตลอดไป อยู่ที่ไหนก็จะเป็นบุญ อยู่คนเดียวก็เป็นบุญ อยู่หลายคนก็เป็นบุญ อานิสงส์ผลบุญตรงนี้แหละจะช่วยอันนี้หุ้มห่อพวกเราเอาไว้จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ ใครไปใครมาก็อยากจะได้อานิสงส์ผลบุญจากพวกเรา มีโอกาสก็พากันทำ
อย่าไปปิดกั้นตัวเอง อย่าไปลังเลสงสัยอะไร อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากมีอยากเป็นอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา สารพัดอย่าง ในหลักธรรมแล้วท่านต้องละให้หมดถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิตตัววิญญาณ แม้แต่การเกิดการปรุงแต่งต้องดับต้องละ ก่อนที่จะดับละได้เราต้องทำความเข้าใจ ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงเสียก่อน
ถ้าใจเขารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่คนเราทั่วไปมีตั้งแต่ความทะยานทะยานยาก อยากอยากได้บุญอยากได้ธรรม อยากมีอยากเป็นสารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้หมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ปิดกั้นเอาไว้หมด กายเนื้อก็มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ มีความโลภความโกรธก็ไปปิดกั้นดวงใจเอาไว้ พวกนิวรณ์ธรรมมลทินต่างๆ ก็มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ตัวโมหะตัวความหลงอย่างลุ่มลึกก็มาปิดกั้นดวงใจเขาไว้
นอกจากบุคคลที่จะมาเจริญสติให้เร็วให้ไวให้แหลมคม หาเหตุหาผล แล้วก็รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้ใจของเรา แต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราไปยังไงมายังไง ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือไม่ ใจของเราอยู่ในความสะอาดความบริสุทธิ์หรือไม่ จะทำเยาะๆ แหยะๆ เราก็จะไม่เข้าใจ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความจริงใจ มีความเสียสละเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รู้จักสํารวจสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มองตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน
สตินั่นแหละคือตนตัวที่เราสร้างขึ้นมา แต่เวลานี้สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเรามีให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จะต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต มีให้เป็นทำให้เป็น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนเราก็จะได้ทำบุญตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเราทำบุญให้กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา เป็นบุคคลที่จะอยู่ที่จะไปตลอดเวลา รู้เห็นตามความเป็นจริง สัจธรรมมีอยู่ความจริงมีอยู่ เราไม่เข้าใจแนวทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม
นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่ 4 วันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เป็นวันค้นพบตรัสรู้ของพระพุทธองค์แล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเรามีโอกาสมีบุญนะก็ขอเชิญชวนทุกคนทุกท่านมาร่วมกัน มาร่วมกันไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ร่วมกันเวียนเทียนระลึกนึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวโลกของเรา นี่แหละโอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้กาลเวลาเปิดให้ หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างทุกอย่างที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์ บุญใกล้บุญไกล บุญปัจจุบันบุญในโลกนี้บุญในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ดีโลกหน้าค่อยว่ากัน หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างทุกอย่างที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์ ก็ขอเชิญชวนทุกคน ตอนนี้ก็ยังทำสร้างทุกอย่างอยู่ภายในวัด
ฆราวาสญาติโยมทั้งพระทั้งชีเราก็ช่วยกัน มีงานอะไรก็ช่วยกันตั้งแต่ปากทางเข้ามาจนกระทั่งถึงก้นครัว มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา อะไรที่จะติดขัดเราก็รีบแก้ไขเสีย อะไรที่ไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสีย ทำให้ดีอยู่ปัจจุบัน เรามีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันมาสร้างบุญร่วมกันเป็นบุญเป็นอานิสงส์ สร้างบุญบารมีมาร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ถึงวาระเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากการตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ก่อนที่จะหมดลมหายใจเราต้องเข้าใจในชีวิตของเราให้ถ่องแท้ ให้ถึงแก่นแท้ของดวงวิญญาณของดวงใจเสียก่อน ว่าเขาเกิดยังไงเขาหลงอะไร เรารีบพยายามชําระสะสางเสียก่อนที่กําลังกายจะแตกจะดับ ไม่ใช่ว่าไปผลัดวันประกันพรุ่งไปรอวันโน้นรอวันนี้ อย่างนั้นยังเป็นบุคคลที่ประมาท
ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีธรรม เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำความเข้าใจ มีความขยันหมั่นเพียรขจัดกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจดหรือไม่ แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่สร้างกิเลสเข้ามาห่อหุ้มดวงใจของตัวเองเอาไว้ แทนที่จะเป็นคนขัดเกลาเอาออกให้มันหมดจด มันไม่หมดวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องหมด ไม่หมดวันนี้ก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่หมดปีหน้าก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าสิ่งที่พวกเราทำนี่เป็นอานิสงส์เป็นเข้าพกเข้าห่อ บุญสมมติเราก็ทำบุญวิมุตติเราก็ทำ ทำทุกสิ่งทุกอย่างในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เราก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี รู้จักบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราเองตลอดเวลา มีตั้งแต่จะไปมองคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ เราต้องพยายามแก้ไขตัวเรา คนอื่นเขาจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราพยายามทำดีคิดดีมองโลกในทางที่ดี แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ถ้าเราทำถูกวิถีเราไม่อยากจะได้เราก็ได้ เราไม่อยากจะถึงเราก็ถึง ถ้าเราละกิเลสออกให้หมดจด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ความบริสุทธิ์ เราแยกรูปแยกนามได้เดินปัญญาได้ทำความเข้าใจได้ เมื่อใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง ไม่อยากปล่อยไม่อยากวางเขาก็ต้องวางเพราะว่าเขามองเห็นตามความเป็นจริง แต่เวลานี้ กําลังสติกําลังกําลังปัญญาที่จะเข้าไปสะสางกิเลสนั้นมีน้อย แต่กําลังบุญนั้นบางคนบางท่านก็มีมาก ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจเอา อันนี้เป็นแค่เล่าให้ฟัง