หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 066
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 066
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง วางกายให้สบายแล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ หรือว่าผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นี่เป็นการผ่อนคลายร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เรามีความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าเวลาหายใจออก ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่เกิดเราก็หายใจแล้วแหละแต่เราขาดการสร้างความรู้ตัว ความคิดที่เกิดจากวิญญาณของเรา หรือว่าเกิดจากตัวจิตของเรา ก็เลยเกิดปิดบังอำพรางตัวของเขาเอาไว้ ความคิดก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ กายเนื้อก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ ความทะเยอทะยานอยากต่างๆ สารพัดอย่าง เขาก็มาปกปิดตัวของเขาเอาไว้ เพียงแค่ความเกิดนั่นก็หลงแล้วหลงเกิด ถ้าไม่หลงเขาก็คงไม่เกิด แต่ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์อันประเสริฐ ซึ่งมีสติมีปัญญา เราก็ต้องพยายามมาศึกษามาค้นคว้ามาทำความเข้าใจกับชีวิตของเราตามแนวทางของพระพุทธองค์
การเจริญพรหมวิหาร ความเสียสละ การละกิเลส การทำใจให้สะอาดทำใจให้บริสุทธิ์ เราก็ต้องพยายามเอา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา ปัญญาโลกิยะทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม ปัญญาในทางธรรมเราก็ต้องสร้างขึ้นมา สติความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง
การเกิดของวิญญาณนั้นเขาเกิดอยู่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาน่ะ เขาเกิดเขาคิดเขาปรุงเขาแต่ง เพียงแค่ตัววิญญาณปรุงแต่งส่งออกไป อันนี้สำหรับตัววิญญาณล้วนๆ อาการของวิญญาณ อาการของความคิดอีกซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ในร่างกายของเรานี้ มีอยู่ห้าขันธ์ ขันธ์หนึ่งก็คือกายของเราซึ่งเป็นก้อนรูป ส่วนตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณนั้นอีกสี่ขันธ์ ที่พระพุทธองค์ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ถ้าเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้จักคำว่าความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรมให้ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าไปเห็นการเกิดของวิญญาณ รู้ลักษณะของวิญญาณ รู้ลักษณะอาการของวิญญาณที่เขาเกิดๆ ดับๆ เขารวมกันไปอยู่ อันนี้แหละเขาเรียกว่าความหลงอย่างลุ่มลึก
ถ้าเราหมั่นสังเกตให้ทัน รู้ให้ทันจนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากอาการตรงนี้ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของอาการของวิญญาณชัดเจนว่าเรื่องอะไร หรืออาการของวิญญาณได้ชัดเจนว่าเรื่องอะไรที่เขาเกิด คือทำไมเขาถึงเกิด ทำไมวิญญาณของเราถึงไปหลง เห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้แล้วก็ตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามความเป็นจริง
อันนี้พูดที่หลวงพ่อพูดนี่มันพูดอยู่ในท่ามกลางบั้นปลาย แต่การเจริญสติเราต้องพยายามสร้าง สร้างขึ้นมาเสียก่อนแล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ประคับประคองมัน อดทนอดกลั้น ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ส่วนอานิสงส์บุญบารมีนั้นมีกันเกือบจะเต็มกันหมดทุกคนนั่นแหละ แต่การเจริญสติการเจริญปัญญาตรงนี้มีไม่ค่อยจะต่อเนื่องกระท่อนกระแท่น เราต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งปล่อยเวลาทิ้ง
ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราอย่าเอาความคิดปัญญาเก่าๆ มาโต้แย้ง พยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน แล้วก็เห็นความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ของเรา จำแนกแจกแจงรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วจะหมดความสงสัย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราก็ต้องทำความเข้าใจให้หมด เราค่อยละจากน้อยๆ ไปหามากๆ เดี๋ยวก็จะเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม อยู่ในกายของเราหมดแล้วทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำความเข้าใจให้กระจ่างหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ หรือว่าผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นี่เป็นการผ่อนคลายร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เรามีความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าเวลาหายใจออก ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่เกิดเราก็หายใจแล้วแหละแต่เราขาดการสร้างความรู้ตัว ความคิดที่เกิดจากวิญญาณของเรา หรือว่าเกิดจากตัวจิตของเรา ก็เลยเกิดปิดบังอำพรางตัวของเขาเอาไว้ ความคิดก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ กายเนื้อก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ ความทะเยอทะยานอยากต่างๆ สารพัดอย่าง เขาก็มาปกปิดตัวของเขาเอาไว้ เพียงแค่ความเกิดนั่นก็หลงแล้วหลงเกิด ถ้าไม่หลงเขาก็คงไม่เกิด แต่ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์อันประเสริฐ ซึ่งมีสติมีปัญญา เราก็ต้องพยายามมาศึกษามาค้นคว้ามาทำความเข้าใจกับชีวิตของเราตามแนวทางของพระพุทธองค์
การเจริญพรหมวิหาร ความเสียสละ การละกิเลส การทำใจให้สะอาดทำใจให้บริสุทธิ์ เราก็ต้องพยายามเอา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา ปัญญาโลกิยะทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม ปัญญาในทางธรรมเราก็ต้องสร้างขึ้นมา สติความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง
การเกิดของวิญญาณนั้นเขาเกิดอยู่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาน่ะ เขาเกิดเขาคิดเขาปรุงเขาแต่ง เพียงแค่ตัววิญญาณปรุงแต่งส่งออกไป อันนี้สำหรับตัววิญญาณล้วนๆ อาการของวิญญาณ อาการของความคิดอีกซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ในร่างกายของเรานี้ มีอยู่ห้าขันธ์ ขันธ์หนึ่งก็คือกายของเราซึ่งเป็นก้อนรูป ส่วนตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณนั้นอีกสี่ขันธ์ ที่พระพุทธองค์ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ถ้าเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้จักคำว่าความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรมให้ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าไปเห็นการเกิดของวิญญาณ รู้ลักษณะของวิญญาณ รู้ลักษณะอาการของวิญญาณที่เขาเกิดๆ ดับๆ เขารวมกันไปอยู่ อันนี้แหละเขาเรียกว่าความหลงอย่างลุ่มลึก
ถ้าเราหมั่นสังเกตให้ทัน รู้ให้ทันจนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากอาการตรงนี้ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของอาการของวิญญาณชัดเจนว่าเรื่องอะไร หรืออาการของวิญญาณได้ชัดเจนว่าเรื่องอะไรที่เขาเกิด คือทำไมเขาถึงเกิด ทำไมวิญญาณของเราถึงไปหลง เห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้แล้วก็ตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามความเป็นจริง
อันนี้พูดที่หลวงพ่อพูดนี่มันพูดอยู่ในท่ามกลางบั้นปลาย แต่การเจริญสติเราต้องพยายามสร้าง สร้างขึ้นมาเสียก่อนแล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ประคับประคองมัน อดทนอดกลั้น ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ส่วนอานิสงส์บุญบารมีนั้นมีกันเกือบจะเต็มกันหมดทุกคนนั่นแหละ แต่การเจริญสติการเจริญปัญญาตรงนี้มีไม่ค่อยจะต่อเนื่องกระท่อนกระแท่น เราต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งปล่อยเวลาทิ้ง
ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราอย่าเอาความคิดปัญญาเก่าๆ มาโต้แย้ง พยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน แล้วก็เห็นความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ของเรา จำแนกแจกแจงรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วจะหมดความสงสัย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราก็ต้องทำความเข้าใจให้หมด เราค่อยละจากน้อยๆ ไปหามากๆ เดี๋ยวก็จะเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม อยู่ในกายของเราหมดแล้วทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำความเข้าใจให้กระจ่างหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง