หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 063

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 063
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 063
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สำรวจกายของเรา เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง แล้วยังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่​การเจริญสติลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ เราก็ยังขาดความรู้ตัวนี้มากเลยทีเดียว

หายใจเข้า หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้เป็นลักษณะอย่างไร รู้ที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างไร เราขาดการสนใจตรงนี้มากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่อยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม ตรงนี้นี่ปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด เราถึงได้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์กาย เน้นลงที่กายของเรา การหายใจเข้าหายใจออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ]

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออก ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจมายาวๆ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ส่วนใจนั้นเขาเกิดอยู่แล้ว เขาปรุงเขาแต่งอยู่แล้ว

ตื่นขึ้นมาก็อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ ความอยากนั่นแหละนำพาให้เข้ามาวัด เข้ามาศึกษาเข้ามาค้นคว้า ในหลักธรรมท่านก็ให้ละความอยากเสีย มาสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ว่าการเกิดของใจเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจเกิดกิเลสเมื่อไรเราละได้หรือไม่ เรารู้จักควบคุมกายควบคุมอินทรีย์ของเราได้หรือยัง เรามีหน้าที่อย่างไร ต้องจำแนกแจกแจงรู้ให้ชัดเจนในกายในธาตุในขันธ์ของเรานี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอง หรือว่ามา สร้างขึ้นมา

ภายในกายของเราเรียกว่าภพของมนุษย์ เขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ขันธ์ห้าในกายของเรานี่มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม เขาเกิด​ ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราคลายออกจากความคิด ใจของเราว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสได้สักกี่นาที วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง วันหนึ่งมีกี่นาที ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า หายใจออกเป็นอย่างไร ตาทำหน้าที่อย่างไร หูทำหน้าที่อย่างไร ลึกในกายก้อนเนื้อของเรานี่มันมีกี่ขันธ์ ที่เราสวดเราท่องกันทุกวันที่ว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ทำไมถึงเป็นของหนัก

ทำไมพระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่า อัตตาตัวตน อนัตตาอัตตา สมมติวิมุตติ หลักของอริยสัจเป็นอย่างไร ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องจำแนกแจงด้วยการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ แต่เวลานี้สติรู้ตัวของเรามีกำลังไม่เพียงพอ เพราะว่าเราขาดการสร้างแล้วก็พยายามไม่สร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าจะทำได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ในหลักธรรมท่านต้องให้รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ เน้นสติลงที่กายของเรา แล้วแต่อุบายของแต่ละคน แต่ละท่าน

แต่อยู่ที่นี่หลวงพ่อจะเน้นเรื่องอานาปานสติ มีความรู้สึก​รับรู้อยู่กับการหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเราก็จะเข้าไปรู้เท่าทันใจ ใจปกติใจที่ไม่เกิด รู้เท่าทันกองสังขารหรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาก่อตัวอย่างไร ตัวใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเรารู้เท่าทันตรงนั้นใจของเราก็จะคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละเพียงแค่เริ่มต้นของความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่รู้แค่เห็นแค่แยก ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจให้ใจรับรู้อีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก

มันยาก จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร ง่ายสำหรับบุคคลที่ขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา อย่าไปท้อ พยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขตัวเราใหม่ ตื่นขึ้นมาแต่ละวันๆ สำรวจดูสิว่าสติของเราตั้งมั่นหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบที่เพียงพอหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัวออกจากใจของเรา เรามีความขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นธรรม

ธรรมชาติภายนอกโลกธรรมแปด ธรรมชาติภายในใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่งเขาก็ว่าง ความว่างนั้นมีดวงใจดวงมีวิญญาณอยู่กลางหทัยกลางใจของเรานั่นแหละ ให้สังเกตดูดีๆ เวลาเขาตกใจเขาตกใจตรงไหน เวลาเขาอยากเขาอยากตรงไหน เวลาเขาเริ่มโกรธเขาโกรธแสดงอาการขึ้นที่ตรงไหน เราพยายามหัดสังเกตดู หัดสังเกตแล้วก็หมั่นพร่ำสอน ตัวสังเกตนี่แหละตัวสติตัวปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างความรู้ตัว รู้เท่าทันรู้กันรู้แก้ รู้จักพิจารณาหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนใจของเรารับรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง เขาก็จะคลาย คลายความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็มาละกิเลสออกจากใจของเรา

กิเลสนี้มีมากมายจริงๆ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสฝ่ายดีกิเลสฝ่ายกุศล กิเลสฝ่ายอกุศล ทั้งดีทั้งไม่ดีนี้เป็นกิเลสหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ในหลักธรรมท่านก็ให้ละอกุศลเจริญกุศล แต่ไม่ให้ยึดไม่ให้หลงให้อยู่เหนือ ไม่เข้าไปรวมเข้าไปร่วม ให้รับรู้ อะไรที่เป็นอกุศลก็ละเสีย อะไรที่เป็นกุศลก็เจริญให้มีให้เกิดขึ้น แค่ไม่ให้ยึดทำใจให้เป็นกลาง

ก่อนที่ใจจะเป็นกลางได้เราก็ต้องคลายความหลงแยกรูปแยกนาม ดับความเกิดให้ได้ วางใจของเราให้เป็นอิสระ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีอย่าไปปิดกั้นตัวเรา ตอนนี้เวลานี้เรามีหน้าที่อย่างไรเราก็ช่วยกันทำ ไม่ใช่ว่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ตราบใดที่เราดำเนินอยู่ตราบใดที่เรายังเดินทางอยู่ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ พรหมวิหารความเมตตาของเรา มองโลกในทางที่ดีแล้วก็คิดดี ถึงวันเวลาเขาก็จะเต็ม​ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราปลูกวันนี้เราคอยดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยเขา เขาเติบโตขึ้นมาเขาก็ต้องออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ต้องได้ เพราะการกระทำการดูแลรักษาของเรามี

การประพฤติปฏิบัติกายวาจาใจของเราก็เหมือนกัน ใจของเราแต่ละวันเรารู้จักดับรู้จักควบคุม รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม รู้จักวิเคราะห์พิจารณา กำลังสติปัญญาของเราเต็มเปี่ยม อานิสงส์ผลบุญของเราเต็มเปี่ยม สักวันหนึ่งใจของเราก็จะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว เราจะไปรีบเร่งก็ไม่ได้ ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง

ในหลักธรรมท่านให้โทษตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อะไรที่จะเป็นบุญอะไรที่จะเป็นกุศลก็ให้รีบทำ เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่กายวาจาใจ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนให้รีบทำ อยู่ที่บ้าน​ที่ไร่ที่นา​ ที่ทำการทำงาน เรารู้จักให้อภัยตัวเองให้อภัยคนอื่น มองโลกในทางที่ดี อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ที่วัดของเราก็ทำหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกัน ขณะนี้เวลานี้ก็ร่วมกันช่วยกันสร้างองค์พระศรีอริยเมตไตรย ไปได้เยอะแล้วแหละ

มีโอกาสก็ขอเชิญชวนญาติโยมนะ มาก่อร่างสร้างองค์พระศรีอริยเมตไตรย ช่วยกันมาก่ออิฐถือปูนมาฉาบปูนคนละกระป๋องสองกระป๋อง คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง มีโอกาสมีเวลาก็ขอเชิญมาช่วยกัน ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ทำไปเถอะทำให้เป็นสิริมงคล ฝากเอาไว้ในแผ่นดินฝากเอาไว้ในใจของเรา ถ้าทำเสร็จพวกเราก็หมดโอกาส ตอนนี้ขณะนี้โอกาสยังเปิดให้ บางคนบางท่านก็น้อมกายมาช่วย มาไม่ได้ก็น้อมใจมาช่วย บางคนบางท่านก็ถวายจตุปัจจัยมาช่วย คนละกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์มาช่วยกัน อีกไม่นานก็คงจะเสร็จ

ซึ่งขณะนี้เวลานี้ท่านอาจารย์นิยมก็พาหมู่พาคณะทำอยู่ ญาติโยมท่านใดมีเวลาว่างอยากจะมาร่วมกันมาช่วยกันมาได้ตลอดเวลา มาได้ตลอดเวลาอย่าไปคิดว่าไม่ใช่ไม่ใช่หน้าที่ ถ้ามีโอกาสนะให้มาให้มาเถอะ มาสร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ ไม่ใช่เป็นของคนใดคนหนึ่งเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นทรัพย์ของสมมติ ฝากเอาไว้ในแผ่นดินฝากเอาไว้ในใจของเรา

ในเมื่อเราได้ทำเอาไว้ก็เพื่อความเป็นสิริมงคลของทุกคนของเราเอง ไปที่ไหนก็จะติดตามตัวเราไป ตราบใดที่ใจของเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็จะเป็นเข้าพกเข้าห่อของเรา ยิ่งคนไม่มีโอกาสนะ ยิ่งคนไม่มีเวลา หาโอกาสหาเวลามาเถอะมาช่วยกัน จะได้สร้างอานิสงส์ให้กับตัวของเรา

แต่การเจริญสติการเจริญภาวนา การชำระกิเลสก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนโน้นคนนี้ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากเกิดขึ้นเมื่อไร เรารู้จักละรู้จักดับ อะไรที่จะเป็นอานิสงส์เราก็รีบทำ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์เร็วประโยชน์ช้า ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ในโลกหน้าค่อยว่ากัน ขอทำปัจจุบันให้มันดีก่อนเถอะอนาคตก็จะออกมาดี ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ ไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง