หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 054
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 054
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ก่อนที่จะขบจะฉันกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ละความอยาก กายเราหิวใจเกิดความอยากก็รู้จักควบคุมรู้จักพิจารณา มีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก กะประมาณในการขบฉันของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง เราต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเราเอง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราตั้งมั่น จะลุกจะก้าวจะเดินจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา ทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องพยายามฝึกฝนตัวเราแก้ไขตัวเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติให้เป็นอัตโนมัติ มีความเข้มแข็งทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว เราต้องพึ่งตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา
ลักษณะของจิตที่ปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความรู้ตัวหรือว่าสติรู้ตัวเป็นอย่างไร เราได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามทำ ทำให้ต่อเนื่องให้เป็นมหาสติเข้าไปควบคุมใจ จนใจของเราอยู่ในความปกติ ความปกตินั่นแหละคือศีล ศีลห้าศีลแปดศีลสิบก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ ศีลสมมติศีลสังคม ศีลวิมุตติ อธิจิตอธิศีล
เข้าใจความปกติคือสมาธิ ปกติของกายของวาจาของใจ ทีนี้ใจของเราทำไมถึงเกิดทำไมใจของเราถึงหลง กำลังสติของเรามีความเพียรที่เพียงพอที่เขาไปรู้เท่าทัน ทำความเข้าใจหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้หรือไม่ ใจของเราเกิดตั้งแต่เริ่มก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไรเขาหลงอย่างไร เราต้องพยายามศึกษา ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแบบไม่รู้อะไร ถ้าเราปฏิบัติเราฝึกแบบไม่รู้อะไรก็ปฏิบัติแบบหลงๆ งมๆ งายๆ ขอให้ได้ฉันได้ปฏิบัติ ทำอะไรก็ไม่เป็น เหมือนกับชีคนหนึ่งปฏิบัติเก่งปฏิบัติเคร่ง ปฏิบัติไปปฏิบัติมาผูกคอตัวเองตายเพราะว่าปฏิบัติเก่งเกินไป เจอพ่อเจอแม่นี้คุ้มตาเขียวเลย ตีขลุมตาพ่อแม่ว่าพ่อแม่เป็นหมา ปฏิบัติไม่ใช่ไม่ถูกแนวทางของพระพุทธองค์
บอกว่าพระพุทธองค์พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ให้เอาอะไรให้ปล่อยวางหมด แม้แต่น้ำท่าก็ไม่อาบ มาพักที่กุฏินี่เขียนเต็มห้องหมดเลย เขียนรูปหัวกะโหลก เขียนธรรมะระบายธรรม ทานข้าวทานปลาก็เอาถ้วยชามไปตักมากินแล้วก็ทิ้งเต็มเกลื่อนอยู่ในห้องสกปรก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ปล่อยให้วาง นั่นเขาเรียกว่าหลง
เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องทุกอย่าง ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับใจของเรา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมเราทำอะไรก็ไม่เป็น เอาไปเอามาก็เลยปฏิบัติแบบหลงๆ งมงาย ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ลำบากตัวเองลำบากคนอื่น เราต้องพึ่งตัวเราให้ได้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเราทั้งทางสมมติทั้งทางวิมุตติ สมมติเราขาดตกบกพร่องอะไร ทางด้านจิตใจ จิตใจเราเกิดอย่างไร จิตใจของเราหลงอะไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราจำแนกแจกแจงให้ชัดเจนแล้วค่อยละ
โลกธรรมเป็นอย่างไร เขาอยู่กันคนละส่วนอยู่แต่อิงอาศัยกันอยู่ จิตกับกายก็อิงอาศัยกันอยู่ ถ้ากำลังสติปัญญาไม่เข้มแข็งจริงๆ เขาก็ไม่ยอมง่ายเหมือนกัน เพราะว่าเขาชอบคิดชอบเที่ยวชอบเกิด ถ้าคนไม่มีความเพียรจริงๆ ไม่ละกิเลสจริงๆ ก็ยากอยู่ ถ้าเราเดินถึงจุดหมายปลายทางแล้ว รู้ความจริงแล้วดับความเกิด ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิด ไม่รู้กี่เที่ยว เราก็ปล่อยให้มันเกิดอยู่อย่างนั้น มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง เราทำความเข้าใจบ่อยๆ ดับบ่อยๆ มันก็เหือดแห้งไปๆ
อยู่กับสมมุติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ มีให้ได้ใช้ให้เป็น เอาให้เป็นทำให้เป็น อยู่ที่ไหนก็จะไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบากถ้าเรารู้จัก แต่ใจของเราต้องวางต้องคลาย การวางการคลายคือการแยก คลายออกจากรูปออกจากนาม ออกจากความคิดอารมณ์ ดับความเกิด แต่กายสมมติก็มีโยม ยากที่จะเข้าใจถ้าบุคคลที่ไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่อง ก็จะไปหลงตั้งแต่ว่า แม้แต่คำว่าอัตตาของนักปฏิบัติก็เกิดอยู่ตลอดเวลา ฉันเป็นนักปฏิบัตินะ การฝึกหัดปฏิบัติเพื่ออะไร เพื่อที่จะทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกจากใจของเราไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ความไม่เข้าใจนั้นถึงวุ่นวายกัน ความไม่เข้าใจในธรรม ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม มันเกิดทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย ช่วยตัวก็ไม่ได้ เกิดตัวเราเองก็ไม่ได้ ได้เจอพระองค์หนึ่งไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่บนภูกระดึง ต้องมีคนคอยนั่งรับใช้อยู่อย่างนั้น ดูดบุหรี่ทีก็ให้เด็กให้คนมาประเคน ประเคนแล้วก็ไม่นั่นก็มันก็จะแปรงสีฟันบางทีก็ให้คนมาประเคนมาหยอดยาสีฟันให้ โง่ถึงขนาดนั้น ไปที่ไหนก็ทำอะไรไม่เป็น ตัวเองเก่งตัวเองเคร่งที่ไหนได้โง่ทั้งโง่ทั้งหลง
ต้องช่วยเหลือตัวเองแก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง จัดการกับใจของเราให้มันได้ ว่าใจมันเกิดยังไง ใจมันหลงอะไร อะไรคือสติอะไรคือปัญญา การเดินปัญญา การแยกรูปแยกนามการตามดู ความเกิดแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็ต้องพยายามกัน มีตั้งแต่เรื่องของคนอื่นคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนโน้นคิดกับเราอย่างนั้นคนนั้นคิดกับเราอย่างนี้ กิเลสมันหลอกทั้งนั้น มาจัดการละดับความเกิด แม้แต่ตัวใจนี่ก็อย่าให้เกิดให้ไปให้มา เป็นเรื่องของปัญญาการเกิดของปัญญาล้วนๆ
เรื่องของคนอื่นก็คนอื่น เอาเรื่องของเราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา สร้างตัวเราให้เข้มแข็งก็จะล้นออกไปสู่สังคมเอง ถ้าเราเข้าใจในชีวิตของเราก็มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ถ้าไม่เข้าใจก็ปฏิบัติเป็นพวกอยู่กับการปฏิบัติอยู่อย่างนั้นแหละ จะไปไหนมาไหนทีก็เป็นทุกข์อยู่กับการปฏิบัติ อันโน้นก็ผิดอันนี้ก็ผิด อันนั้นก็ทำไม่ได้อันนี้ก็ทำไม่ได้ กิเลสมันเกิดอยู่ที่ใจตลอดเวลา ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา
การฝึกหัดปฏิบัติก็เพื่อที่จะละกิเลสคลายกิเลสออกจากใจของตัวเรา ทุกเรื่องที่เกิดที่ใจของเราด้วย เพียงแค่การเกิด จนอยู่เหนือๆ ทุกอย่าง เหนือสมมติเหนือวิมุตติ ความไม่เข้าใจนี่แหละไปอยู่คนเดียวก็เลยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ต้องปฏิบัติอยู่ที่ให้คนได้บังคับอย่างนั้นอย่างนี้ ปฏิบัติที่ศูนย์ถึงเป็นการปฏิบัติ
เอาถึงกับตื่นขึ้นมาโน่น แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราจนมันเป็นอัตโนมัติ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ ใจของเรามันเกิดเลสหรือไม่เกิดกิเลส เราก็ดับดับจนมันละ ละออกจนมันไม่เกิด ก่อนที่จะละได้คลายได้เราต้องรู้ตัวใจของเราเสียก่อน ใจของเราต้องคลายออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนาม ต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่องเข้มแข็งไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่พูด ใจไม่มีกิเลสใจไม่เกิด เราไม่อยากได้ความสงบ เราไม่อยากได้ความสุขมันก็จะได้เอง
พระเราเหมือนกันชีเราก็เหมือนกัน ได้ฝึกหัดปฏิบัติก็ไปเที่ยวขอ ธรรมะขอ ไม่ธรรมะไม่ใช่ธรรมะที่คลาย ขอธรรมะที่โน่นขอธรรมะที่นี่ จะไปได้ยังไง เราละออกมันหมดเราไม่ได้เราไม่อยากจะได้มันก็ได้เอง มีแต่ความเกียจคร้าน ภาระหน้าที่สมมติก็ไม่มีความรับผิดชอบที่เพียงพอ ไม่มีความเสียสละที่เพียงพอ จิตใจมีแต่ความทะเยอทะยานอยาก ปิดกั้นไว้หมดทุกอย่าง ทั้งอยากทั้งไม่อยาก
การก่อตัว การเกิด ได้ที่ไหนก็เลยหนักตัวเราเอง ขันธ์ห้าเป็นของหนัก หนักตัวยังไม่พอ นักปฏิบัติ อัตตาของนักปฏิบัติเพิ่มเข้าไปอีกหนักเข้าไปอีก ทำอะไรก็ไม่เป็นอีก ก็เลยปฏิบัติแบบหลงงมงาย ปฏิบัติแค่รูปแบบแค่พิธีรีตรอง ไม่ใช่ขัดเกลาให้มันถึงจุดหมาย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวเพียงแค่หยุดเพียงแค่ระงับ เพราะว่าเราเดินปัญญาแยกรูปแยกนามดับความเกิดไม่ได้ทุกเรื่อง ก็ขอให้หยุด ขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี่แหล่ะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องลมหายใจอานาปานสติ พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ไม่ต้องจำเป็นที่จะต้องเข้าไปละกิเลสที่ใจไปดับความเกิดที่ใจเลย เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้ง เหตุการณ์ของข้างนอกมาทำให้ใจเกิดหรือว่าอาการของความคิดอารมณ์ผุดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมไปด้วยกันสักกี่ครั้ง ความรู้ตัวของเราต่อเนื่องสังเกตรู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุหรือไม่ อันนี้ก็คงจะยากเพราะว่าการสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่เข้าใจในคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เพราะใจยังคลายไม่ได้ใจยังเกิดอยู่
นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา สติของเราพลั้งเผลอ จิตของเราเกิดความปกติหรือว่าเกิดความกังวลหรือเกิดความฟุ้งซ่าน เรารู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับรู้จักควบคุมได้ระดับในต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ถ้าเราตามดูรู้เห็นทุกเรื่องเราจะรู้ความจริงในชีวิตของเรา ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาอะไรมากมาย ตื่นขึ้นมาเราก็ดู อันนี้คือส่วนรูปธรรมร่างกายของเรา ส่วนนามธรรมเขาก่อตัวอย่างไรเกิดอย่างไรซึ่งมาอาศัยกายนี้ อยู่ซึ่งวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ดูตั้งแต่เช้าขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ดูรู้เท่าทันตามทำความเข้าใจแล้วก็ละทุกเรื่อง
อันนี้เรื่องของกายเรื่องของจิต เรื่องสมมติวิมุตติ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ทุกเห็นทุกอย่างเป็นตามความเป็นจริง ซึ่งพระพุทธองค์ท่านว่ากองขันธ์ ในร่างกายของเรานี่มีอยู่ห้ากองมีอยู่ห้าขันธ์ ทำยังไงเราถึงจะเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจงรู้เห็นสิ่งพวกนี้ แล้วก็รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จิตของเราถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ ถ้ายังปล่อยยังวางไม่ได้ ก็ให้จิตของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีก็เพื่อที่จะบรรเทาเบาบาง ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจดลงไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหมด จนกว่าจะดับความเกิดได้นั่นแหละ แต่กายก็เป็นก้อนทุกข์อยู่ดีๆ เราก็ต้องทำความเข้าใจ
พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรสร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น ให้ประกาศผลด้วยตนเอง ว่าเราใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร ไปอย่างไรมายังอย่างไร ให้ทดสอบใจของเรา เราจะมีครูบาอาจารย์คอยสอบเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงนี่แหละเป็นอาจารย์ทดสอบเรา มีสติสติที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบ อันนั้นเพียงแค่ระดับของภายนอก ภายในขันธ์ห้าของเรานี่เขาเกิดๆ ดับๆ ตลอดเวลา ลักษณะของวิญญาณที่ปกติเป็นอย่างไร วิญญาณที่เกิดเป็นอย่างไร วิญญาณที่เขาไปหลงไปรวมขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ยากนะถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถ้าไม่เดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ก็ยากอยู่
ธรรมชาติมีอยู่แล้ว ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิดธรรมชาติของใจที่ไม่หลง ธรรมชาติของใจที่ปล่อยวาง เขาก็จะว่างเขาก็บริสุทธิ์ ในความว่างนั้นมีดวงใจมีวิญญาณอยู่อยู่กลางหทัยของเรานั่นแหละไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก เราจัดการให้ถึงรากฐานตรงนั้นเสีย เดินปัญญาทำความเข้าใจ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยอะไร ถ้าวิบากกรรมสมมติไม่คลายก็ยากที่จะเข้าถึง
เราก็ต้องพยายามสร้างบารมีของเราให้เต็มเปี่ยมขึ้นไปเรื่อยๆ ความเสียสละละกิเลสของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเรา สำรวมวาจาสำรวมกายสำรวมใจของเรา หมั่นวิเคราะห์ภายใน ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ภายในนาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี กำลังสติของเรามีต่อเนื่องหรือไม่ เราต้องพยายาม
สติความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักทำความเข้าใจหมั่นพร่ำสอนตัวเราตลอดเวลา เป็นเรื่องของทุกคนนั่นแหละที่ต้องแก้ไขตัวเราเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นเขามาแก้ไข บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นทุกอย่าง ไม่ใช่โยนพันธะโยนภาระไปให้คนโน้นเขาแบกคนนี้เขาแบก กายของเราๆ ก็แบกหนักอยู่แล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะปล่อยวางขันธ์ห้าของเราได้ละขันธ์ห้าของเราได้
งานภายนอกเราก็ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เราก็พลอยได้รับสมมตินั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับสมมตินั้นด้วย พยายามสร้างเครื่องอยู่ภายในให้มีให้เกิดขึ้นเครื่องอยู่ภายใน เครื่องอยู่ภายนอกคือปัจจัยสี่ เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมเราก็ต้องทำความเข้าใจ โน่นแหละหมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางสมมติก้อนนี้จริงๆ แต่เราวางด้วยสติวางด้วยปัญญา รู้เห็นด้วยสติด้วยปัญญา
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม พยายามไปทำนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกเรื่องอย่าให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากคิด อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็นอีกโน่นแหละมันละเอียดมากทีเดียว แม้แต่ตัวจิตตัวใจของเรา ถ้าเราดับเขาเกิดเราต้องวางเขาอีก หลายสิ่งหลายอย่าง
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันนะ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราตั้งมั่น จะลุกจะก้าวจะเดินจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา ทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องพยายามฝึกฝนตัวเราแก้ไขตัวเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติให้เป็นอัตโนมัติ มีความเข้มแข็งทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว เราต้องพึ่งตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา
ลักษณะของจิตที่ปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความรู้ตัวหรือว่าสติรู้ตัวเป็นอย่างไร เราได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามทำ ทำให้ต่อเนื่องให้เป็นมหาสติเข้าไปควบคุมใจ จนใจของเราอยู่ในความปกติ ความปกตินั่นแหละคือศีล ศีลห้าศีลแปดศีลสิบก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ ศีลสมมติศีลสังคม ศีลวิมุตติ อธิจิตอธิศีล
เข้าใจความปกติคือสมาธิ ปกติของกายของวาจาของใจ ทีนี้ใจของเราทำไมถึงเกิดทำไมใจของเราถึงหลง กำลังสติของเรามีความเพียรที่เพียงพอที่เขาไปรู้เท่าทัน ทำความเข้าใจหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้หรือไม่ ใจของเราเกิดตั้งแต่เริ่มก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไรเขาหลงอย่างไร เราต้องพยายามศึกษา ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแบบไม่รู้อะไร ถ้าเราปฏิบัติเราฝึกแบบไม่รู้อะไรก็ปฏิบัติแบบหลงๆ งมๆ งายๆ ขอให้ได้ฉันได้ปฏิบัติ ทำอะไรก็ไม่เป็น เหมือนกับชีคนหนึ่งปฏิบัติเก่งปฏิบัติเคร่ง ปฏิบัติไปปฏิบัติมาผูกคอตัวเองตายเพราะว่าปฏิบัติเก่งเกินไป เจอพ่อเจอแม่นี้คุ้มตาเขียวเลย ตีขลุมตาพ่อแม่ว่าพ่อแม่เป็นหมา ปฏิบัติไม่ใช่ไม่ถูกแนวทางของพระพุทธองค์
บอกว่าพระพุทธองค์พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ให้เอาอะไรให้ปล่อยวางหมด แม้แต่น้ำท่าก็ไม่อาบ มาพักที่กุฏินี่เขียนเต็มห้องหมดเลย เขียนรูปหัวกะโหลก เขียนธรรมะระบายธรรม ทานข้าวทานปลาก็เอาถ้วยชามไปตักมากินแล้วก็ทิ้งเต็มเกลื่อนอยู่ในห้องสกปรก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ปล่อยให้วาง นั่นเขาเรียกว่าหลง
เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องทุกอย่าง ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับใจของเรา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมเราทำอะไรก็ไม่เป็น เอาไปเอามาก็เลยปฏิบัติแบบหลงๆ งมงาย ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ลำบากตัวเองลำบากคนอื่น เราต้องพึ่งตัวเราให้ได้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเราทั้งทางสมมติทั้งทางวิมุตติ สมมติเราขาดตกบกพร่องอะไร ทางด้านจิตใจ จิตใจเราเกิดอย่างไร จิตใจของเราหลงอะไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราจำแนกแจกแจงให้ชัดเจนแล้วค่อยละ
โลกธรรมเป็นอย่างไร เขาอยู่กันคนละส่วนอยู่แต่อิงอาศัยกันอยู่ จิตกับกายก็อิงอาศัยกันอยู่ ถ้ากำลังสติปัญญาไม่เข้มแข็งจริงๆ เขาก็ไม่ยอมง่ายเหมือนกัน เพราะว่าเขาชอบคิดชอบเที่ยวชอบเกิด ถ้าคนไม่มีความเพียรจริงๆ ไม่ละกิเลสจริงๆ ก็ยากอยู่ ถ้าเราเดินถึงจุดหมายปลายทางแล้ว รู้ความจริงแล้วดับความเกิด ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิด ไม่รู้กี่เที่ยว เราก็ปล่อยให้มันเกิดอยู่อย่างนั้น มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง เราทำความเข้าใจบ่อยๆ ดับบ่อยๆ มันก็เหือดแห้งไปๆ
อยู่กับสมมุติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ มีให้ได้ใช้ให้เป็น เอาให้เป็นทำให้เป็น อยู่ที่ไหนก็จะไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบากถ้าเรารู้จัก แต่ใจของเราต้องวางต้องคลาย การวางการคลายคือการแยก คลายออกจากรูปออกจากนาม ออกจากความคิดอารมณ์ ดับความเกิด แต่กายสมมติก็มีโยม ยากที่จะเข้าใจถ้าบุคคลที่ไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่อง ก็จะไปหลงตั้งแต่ว่า แม้แต่คำว่าอัตตาของนักปฏิบัติก็เกิดอยู่ตลอดเวลา ฉันเป็นนักปฏิบัตินะ การฝึกหัดปฏิบัติเพื่ออะไร เพื่อที่จะทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกจากใจของเราไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ความไม่เข้าใจนั้นถึงวุ่นวายกัน ความไม่เข้าใจในธรรม ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม มันเกิดทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย ช่วยตัวก็ไม่ได้ เกิดตัวเราเองก็ไม่ได้ ได้เจอพระองค์หนึ่งไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่บนภูกระดึง ต้องมีคนคอยนั่งรับใช้อยู่อย่างนั้น ดูดบุหรี่ทีก็ให้เด็กให้คนมาประเคน ประเคนแล้วก็ไม่นั่นก็มันก็จะแปรงสีฟันบางทีก็ให้คนมาประเคนมาหยอดยาสีฟันให้ โง่ถึงขนาดนั้น ไปที่ไหนก็ทำอะไรไม่เป็น ตัวเองเก่งตัวเองเคร่งที่ไหนได้โง่ทั้งโง่ทั้งหลง
ต้องช่วยเหลือตัวเองแก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง จัดการกับใจของเราให้มันได้ ว่าใจมันเกิดยังไง ใจมันหลงอะไร อะไรคือสติอะไรคือปัญญา การเดินปัญญา การแยกรูปแยกนามการตามดู ความเกิดแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็ต้องพยายามกัน มีตั้งแต่เรื่องของคนอื่นคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนโน้นคิดกับเราอย่างนั้นคนนั้นคิดกับเราอย่างนี้ กิเลสมันหลอกทั้งนั้น มาจัดการละดับความเกิด แม้แต่ตัวใจนี่ก็อย่าให้เกิดให้ไปให้มา เป็นเรื่องของปัญญาการเกิดของปัญญาล้วนๆ
เรื่องของคนอื่นก็คนอื่น เอาเรื่องของเราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา สร้างตัวเราให้เข้มแข็งก็จะล้นออกไปสู่สังคมเอง ถ้าเราเข้าใจในชีวิตของเราก็มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ถ้าไม่เข้าใจก็ปฏิบัติเป็นพวกอยู่กับการปฏิบัติอยู่อย่างนั้นแหละ จะไปไหนมาไหนทีก็เป็นทุกข์อยู่กับการปฏิบัติ อันโน้นก็ผิดอันนี้ก็ผิด อันนั้นก็ทำไม่ได้อันนี้ก็ทำไม่ได้ กิเลสมันเกิดอยู่ที่ใจตลอดเวลา ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา
การฝึกหัดปฏิบัติก็เพื่อที่จะละกิเลสคลายกิเลสออกจากใจของตัวเรา ทุกเรื่องที่เกิดที่ใจของเราด้วย เพียงแค่การเกิด จนอยู่เหนือๆ ทุกอย่าง เหนือสมมติเหนือวิมุตติ ความไม่เข้าใจนี่แหละไปอยู่คนเดียวก็เลยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ต้องปฏิบัติอยู่ที่ให้คนได้บังคับอย่างนั้นอย่างนี้ ปฏิบัติที่ศูนย์ถึงเป็นการปฏิบัติ
เอาถึงกับตื่นขึ้นมาโน่น แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราจนมันเป็นอัตโนมัติ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ ใจของเรามันเกิดเลสหรือไม่เกิดกิเลส เราก็ดับดับจนมันละ ละออกจนมันไม่เกิด ก่อนที่จะละได้คลายได้เราต้องรู้ตัวใจของเราเสียก่อน ใจของเราต้องคลายออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนาม ต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่องเข้มแข็งไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่พูด ใจไม่มีกิเลสใจไม่เกิด เราไม่อยากได้ความสงบ เราไม่อยากได้ความสุขมันก็จะได้เอง
พระเราเหมือนกันชีเราก็เหมือนกัน ได้ฝึกหัดปฏิบัติก็ไปเที่ยวขอ ธรรมะขอ ไม่ธรรมะไม่ใช่ธรรมะที่คลาย ขอธรรมะที่โน่นขอธรรมะที่นี่ จะไปได้ยังไง เราละออกมันหมดเราไม่ได้เราไม่อยากจะได้มันก็ได้เอง มีแต่ความเกียจคร้าน ภาระหน้าที่สมมติก็ไม่มีความรับผิดชอบที่เพียงพอ ไม่มีความเสียสละที่เพียงพอ จิตใจมีแต่ความทะเยอทะยานอยาก ปิดกั้นไว้หมดทุกอย่าง ทั้งอยากทั้งไม่อยาก
การก่อตัว การเกิด ได้ที่ไหนก็เลยหนักตัวเราเอง ขันธ์ห้าเป็นของหนัก หนักตัวยังไม่พอ นักปฏิบัติ อัตตาของนักปฏิบัติเพิ่มเข้าไปอีกหนักเข้าไปอีก ทำอะไรก็ไม่เป็นอีก ก็เลยปฏิบัติแบบหลงงมงาย ปฏิบัติแค่รูปแบบแค่พิธีรีตรอง ไม่ใช่ขัดเกลาให้มันถึงจุดหมาย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวเพียงแค่หยุดเพียงแค่ระงับ เพราะว่าเราเดินปัญญาแยกรูปแยกนามดับความเกิดไม่ได้ทุกเรื่อง ก็ขอให้หยุด ขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี่แหล่ะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องลมหายใจอานาปานสติ พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ไม่ต้องจำเป็นที่จะต้องเข้าไปละกิเลสที่ใจไปดับความเกิดที่ใจเลย เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้ง เหตุการณ์ของข้างนอกมาทำให้ใจเกิดหรือว่าอาการของความคิดอารมณ์ผุดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมไปด้วยกันสักกี่ครั้ง ความรู้ตัวของเราต่อเนื่องสังเกตรู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุหรือไม่ อันนี้ก็คงจะยากเพราะว่าการสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่เข้าใจในคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เพราะใจยังคลายไม่ได้ใจยังเกิดอยู่
นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา สติของเราพลั้งเผลอ จิตของเราเกิดความปกติหรือว่าเกิดความกังวลหรือเกิดความฟุ้งซ่าน เรารู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับรู้จักควบคุมได้ระดับในต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ถ้าเราตามดูรู้เห็นทุกเรื่องเราจะรู้ความจริงในชีวิตของเรา ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาอะไรมากมาย ตื่นขึ้นมาเราก็ดู อันนี้คือส่วนรูปธรรมร่างกายของเรา ส่วนนามธรรมเขาก่อตัวอย่างไรเกิดอย่างไรซึ่งมาอาศัยกายนี้ อยู่ซึ่งวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ดูตั้งแต่เช้าขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ดูรู้เท่าทันตามทำความเข้าใจแล้วก็ละทุกเรื่อง
อันนี้เรื่องของกายเรื่องของจิต เรื่องสมมติวิมุตติ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ทุกเห็นทุกอย่างเป็นตามความเป็นจริง ซึ่งพระพุทธองค์ท่านว่ากองขันธ์ ในร่างกายของเรานี่มีอยู่ห้ากองมีอยู่ห้าขันธ์ ทำยังไงเราถึงจะเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจงรู้เห็นสิ่งพวกนี้ แล้วก็รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จิตของเราถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ ถ้ายังปล่อยยังวางไม่ได้ ก็ให้จิตของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีก็เพื่อที่จะบรรเทาเบาบาง ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจดลงไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหมด จนกว่าจะดับความเกิดได้นั่นแหละ แต่กายก็เป็นก้อนทุกข์อยู่ดีๆ เราก็ต้องทำความเข้าใจ
พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรสร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น ให้ประกาศผลด้วยตนเอง ว่าเราใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร ไปอย่างไรมายังอย่างไร ให้ทดสอบใจของเรา เราจะมีครูบาอาจารย์คอยสอบเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงนี่แหละเป็นอาจารย์ทดสอบเรา มีสติสติที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบ อันนั้นเพียงแค่ระดับของภายนอก ภายในขันธ์ห้าของเรานี่เขาเกิดๆ ดับๆ ตลอดเวลา ลักษณะของวิญญาณที่ปกติเป็นอย่างไร วิญญาณที่เกิดเป็นอย่างไร วิญญาณที่เขาไปหลงไปรวมขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ยากนะถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถ้าไม่เดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ก็ยากอยู่
ธรรมชาติมีอยู่แล้ว ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิดธรรมชาติของใจที่ไม่หลง ธรรมชาติของใจที่ปล่อยวาง เขาก็จะว่างเขาก็บริสุทธิ์ ในความว่างนั้นมีดวงใจมีวิญญาณอยู่อยู่กลางหทัยของเรานั่นแหละไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก เราจัดการให้ถึงรากฐานตรงนั้นเสีย เดินปัญญาทำความเข้าใจ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยอะไร ถ้าวิบากกรรมสมมติไม่คลายก็ยากที่จะเข้าถึง
เราก็ต้องพยายามสร้างบารมีของเราให้เต็มเปี่ยมขึ้นไปเรื่อยๆ ความเสียสละละกิเลสของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเรา สำรวมวาจาสำรวมกายสำรวมใจของเรา หมั่นวิเคราะห์ภายใน ตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ภายในนาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี กำลังสติของเรามีต่อเนื่องหรือไม่ เราต้องพยายาม
สติความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักทำความเข้าใจหมั่นพร่ำสอนตัวเราตลอดเวลา เป็นเรื่องของทุกคนนั่นแหละที่ต้องแก้ไขตัวเราเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นเขามาแก้ไข บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นทุกอย่าง ไม่ใช่โยนพันธะโยนภาระไปให้คนโน้นเขาแบกคนนี้เขาแบก กายของเราๆ ก็แบกหนักอยู่แล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะปล่อยวางขันธ์ห้าของเราได้ละขันธ์ห้าของเราได้
งานภายนอกเราก็ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เราก็พลอยได้รับสมมตินั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับสมมตินั้นด้วย พยายามสร้างเครื่องอยู่ภายในให้มีให้เกิดขึ้นเครื่องอยู่ภายใน เครื่องอยู่ภายนอกคือปัจจัยสี่ เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมเราก็ต้องทำความเข้าใจ โน่นแหละหมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางสมมติก้อนนี้จริงๆ แต่เราวางด้วยสติวางด้วยปัญญา รู้เห็นด้วยสติด้วยปัญญา
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม พยายามไปทำนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกเรื่องอย่าให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากคิด อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็นอีกโน่นแหละมันละเอียดมากทีเดียว แม้แต่ตัวจิตตัวใจของเรา ถ้าเราดับเขาเกิดเราต้องวางเขาอีก หลายสิ่งหลายอย่าง
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันนะ