หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 053
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 053
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีดีนะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพยายามเจริญสติรู้กายรู้ใจของเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตื่นขึ้นมาเราก็พยายามสร้างความรู้ตัวสติต้องตั้งมั่นขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาเป็นเรื่องด่วนของทุกคน
รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้การเกิดการดับของใจ จะลุกจะก้าวจะเดินไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา หัดสำรวม สำรวมกายของเรา สำรวมวาจาของเรา ลึกลงไปก็สำรวมใจ คนทั่วไปนี่ยากอยู่นะถ้าไม่ได้ฝึก เพียงแค่วาจาก็ไม่รู้จักควบคุมไม่รู้จักอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด ในเรื่องใจทานของใจนั้นก็ยิ่งอยากเข้าไปอีก เพราะว่าตัววิญญาณหรือว่าใจของเราชอบคิดชอบเที่ยวมีตั้งแต่ไปส่งออกไปเรื่องภายนอก
เรามาฝึกมาหัดมาดับมาขัดมาเกลา ถ้าไม่เอาจริงๆ ก็ยากที่เขาจะอยู่ อยู่นิ่งๆ บางครั้งก็นิ่งบางครั้งก็เกิด เกิดแล้วก็ส่งออกมาทางกายทางวาจา แล้วก็ไปละลานคนนู้นบ้างละลานคนนี้บ้าง เพียงแค่วาจาก็ควบคุมได้น้อย เราก็พยายามควบคุมถึงควบคุมไม่ได้ก็ให้อยู่ในฝ่ายกุศลอย่าให้เป็นฝ่ายอกุศล ทุกเรื่องในชีวิตต้องหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา อะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด พูดออกไปแล้วเกิดประโยชน์หรือไม่เกิดประโยชน์ พูดออกไปแล้วทำให้คนอื่นเขาเสียใจ ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ทำให้เราเป็นทุกข์ เราก็พยายามฝึกฝนเอาแก้ไขเอา นี่แหละตากระทบรูปก็เหมือนกัน หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน
กายหิวๆ ใจจะเกิดความอยาก พยายามปฏิสังขาโยมัตตัญญุตา ไม่ใช่มัตตัญญุตุงนะสามเณร ว่ายังไงสามเณรตุงทุกวันเลย มัตตัญญุตุงทุกวันนะ โดนเจ้าคุณลงโทษนะล้างห้องน้ำทุกวันแล้วมั้ง ฝึกตั้งแต่ตัวน้อยๆ เริ่มเก่งขึ้นเยอะ เริ่มเก่งขึ้นเยอะวันแรกก็เกือบจะครึ่งบ้านวันหลังก็ลดลงมา วันต่อมาก็ค่อยเหลือน้อยๆ ถึงไม่เข้าใจความหมายโตขึ้นไปก็จะรู้เอง โตขึ้นไปก็จะรู้เอง เหมือนกับสมัยก่อน สมัยก่อนหลวงพ่อมาอยู่ใหม่ๆ นี่เกือบจะยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีแล้วแหละ แต่ก่อนป่ามันรกป่ามันรกป่าเพ็กป่าหนามกองกระดูกเผาวางกันเกลื่อน
นี่โยมคนหนึ่งเอาลูกชายมาฝากอายุก็สามสี่ขวบๆ ตัวเล็กๆ เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เอามาฝากหลวงพ่อก็พาเดินพาฝึกตัวเล็กๆนั่นแหละ หกเจ็ดขวบนี่แหละยังไม่เข้าโรงเรียน เอามาฝากเดินไปไหนก็ ดินกลางวันเดินกลางคืนก็จับแขนนะ จับแขนหลวงพ่อไปกลัวว่างั้นนะ เดินห่างก็ไม่เอาเดินข้างหลังก็ไม่เอา เดินข้างๆจับแขนเอา หลวงพ่อพาเดินรอบป่าเดินไปที่นั้นที่นี้ แล้วก็ให้ไปฝึกไปนั่งเจริญสติอยู่กับลมหายใจ แล้วก็ใช้อุบายหลอกเอา หลวงพ่อเดินไปนั่นแป๊บเดียวไปนี่แป๊บเดียวนะ ไปนั่งภาวนาถ้าไม่อยู่กับลมหายใจหรือว่าไม่อยู่กับคําบริกรรมแล้วก็ผีหลอกจะมาหา
เขาก็นั่งอยู่กับลมฝึกอยู่กับลมหายใจ ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ใจไม่ปรุงไม่แต่งก็เลยมีความกล้าหาญมากขึ้นๆ ทีนี้หลวงพ่อก็แกล้ง แกล้งเป็นลืมสิ่งนู้นบ้างสิ่งนี้บ้างเอาไว้ สมมติว่าอยู่ข้างล่างก็ลืมของไว้ข้างบน อยู่ข้างบนก็ลืมของไว้ข้างล่าง ไปเอาของให้หลวงพ่อหน่อยนะ ใหม่ๆ ก็แหยงๆ ไม่กล้าแต่ขัดคำสั่งไม่ได้ ทางก็เล็กๆ พอเดินป่ารกป่าหนาม หลุมศพก็เต็มข้าง ถ้าไม่หนดการเดินไปนี่ผีหลอกนั่งอยู่ข้างทางนะ เขาก็เดินเดินมาเอาของข้างล่าง ทั้งเดินทั้งร้องไห้นั่นแหละ ฝึกสติอยู่กับการเดิน ใจไม่วอกแวกใจก็เลยสงบ
เขาก็ไปฟ้องวัดชอบแกล้งตั้งแต่ผม ชอบแกล้งตั้งแต่ผมเขาว่างั้นนะ ฝึกไปฝึกมาๆ ไปอยู่กลางป่าได้เลย ไปอยู่กับไปนั่งภาวนาอยู่ตามหลุมศพได้เลยไม่กลัว เด็กๆ เขายังไม่รู้ความหมายหรอก พอโตขึ้นเป็นหนุ่มก็ถึงรู้ว่าหลวงพ่อฝึกเขา มีผลไม้ขนุนมะม่วงอยู่หน้าบ้านเขา ถ้าขนุนมะม่วงต้นไหนออกลูกเขาจะเก็บมาให้หลวงพ่อก่อนมาให้หลวงพ่อฉันก่อน โตขึ้นเขาถึงรู้ว่าหลวงพ่อฝึกเขา นั่นแหละไปทำการทำงาน เขาก็พยายามรู้ใจรู้ลม รู้จักพิจารณา เขาถึงรู้คุณค่าถ้าไม่ฝึกมันก็ยาก
จากคนเราไม่ฝึกตัวเองนี่ก็ลําบาก พยายามฝึกฝนตนเองสำรวมกายของเราสำรวมวาจาของเรา ยิ่งเป็นพระยิ่งเป็นชียิ่งสำรวมหนักเข้าไปอีก อือแม้แต่คําพูดคําจาเราก็ไม่ได้ไปพูดให้ร้ายใคร ให้วาจาส่อเสียดเพ้อเจ้อ ไม่มีประโยชน์ อือเพียงแค่วาจาก็ไม่รู้จักควบคุมมันก็ใช้การไม่ได้ ยิ่งใจยิ่งมีกิเลสอีก เราพยายามละกิเลสขัดเกลากิเลสออกให้หมดจด ความเป็นอยู่สมัยก่อนยิ่งลําบากมากกว่านี้ เรื่องอาหารการขบการฉันก็เหมือนกันให้พิจารณาปฏิสังขาโย อาหารก็สักแต่ว่าอาหาร เราไปบิณฑบาตมาได้อย่างไรเราก็ขบฉันอย่างงั้น ไม่ใช่เรื่อง อาหารก็มองให้เห็นเป็นสักแต่ว่าอาหาร อะไรควรเอาหรือไม่ควรเอา เราก็คอยพิจารณาตัวเอง
มีมากมีน้อยเราก็ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก จะมากก็ไม่ให้เกิดความอยากจะน้อยก็ไม่ให้เกิดความอยาก กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา แต่ละวันเราต้องเป็นคนที่ขยันทุกอย่าง ขยันหมั่นเพียรขัดเกลาตัวเราแก้ไขตัวเรา ใจของเราเป็นอย่างไรมายังไง ทำไมเราถึงลําบาก เราจะเพิ่มอะไร เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบ เพิ่มความเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่าง คนเราทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจ จะไปเอาตั้งแต่เวลาเกิดความทุกข์มากๆ แล้วถึงจะไปจัดการไม่ทันหรอก อยู่ปกติธรรมดานี่แหละเราก็พยายามดู ใจของเราเกิดกิเลสเมื่อไหร่เราก็ดับ เกิดปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ดับเราก็หยุด ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ใจเกิดได้อย่างไร
เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ อยู่คนเดียวแล้วก็สนุก มีความรับผิดชอบ มีความขยันไม่ใช่เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงํา อะไรก็ไม่เป็นช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ใช้ตัวเองก็ไม่เป็น จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงํามันจะไปได้อะไร เราก็ต้องพยายาม ให้ขยันหมั่นเพียรเป็นคนมีระเบียบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ พยายาม กายของเราให้เป็นพระใจของเราให้เป็นพระ ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวอยู่หลายคน ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องแก้ไข ถ้าใจของเราดีเราก็มองโลกในทางที่ดี ใจเราไม่ดีเราก็มองเห็นภายนอกไม่ดีหมด ไม่ค่อยจะสำรวมวาจา วาจาก็ไปใส่ร้ายคนโน้นคนนี้ อคติคนโน้นคนนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารเนอะ
เราพยายามเอา ทุกชีวิตทุกวิญญาณก็ปรารถนาหาความสุขใส่ตัวเราเอง ญาติโยมเข้ามาก็ให้ได้มีความสุขกัน เพียงแค่ก้าวเข้ามาวัดก็ให้ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น สบายตาแล้วก็สบายใจ เราพยายามประคับประคองช่วยกัน เข้ามาแล้วก็เข้ามาวัดแล้วก็มาได้มาแทนที่จะมีความสุข
เอาใส่ถ้วยชามมา เอาใส่ถ้วยชามมาเอาล้อเลื่อนมา เอ้าเจ้าคุณรับหน่อย
เพราะว่าคนเราสร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน กำลังสติปัญญาก็ไม่เท่าทันกัน บางคนก็อยู่ในอำนาจของกิเลส บางคนก็อยู่ปัญญาทางสมมติก็เต็มเปี่ยม ในหลักธรรมแล้วต้องให้พร้อมมูล ต้องให้พร้อมมูลสติปัญญา สมาธิต้องเสมอภาค แต่ส่วนมากก็ถ้าสติปัญญามากไม่เอาไปพิจารณาไปแยกไปคลายก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ เราต้องรู้ต้นตอของวิญญาณของเรา รู้จุดเกิดจุดดับของวิญญาณของเรา เป็นเรื่องเร่งด่วนของทุกคน ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ทำบุญอย่างเดียว แต่ส่วนมากก็อยากจะได้บุญอย่างเดียว ทำตั้งแต่บุญอย่างเดียว ตัวอื่นก็เลยมองข้าม กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร วาจาของเราเป็นอย่างไร ก่อนที่จะคิดก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะทำ มันก็เลยปกปิดตัวเราเองเอาไว้หมดเสียก็เลยยากอยู่ แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญแล้วดีที่สุด ทำไปเถอะ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา พากันทำ
วันนี้พระเราที่เราช่วยกันรวมพลังไปเอาดินเข้าไอ้ฐานแท่นให้หน่อยนะทางฝั่งลีลา เมื่อวานนี้ก็ช่วยกันทำอยู่จนสองสามทุ่มก็ได้แท่นนั่งแท่นนอน ต่อไปข้างหน้าก็จะได้เป็นที่พักที่หลับที่นอน ที่ปักกลดที่บําเพ็ญกลางคืน ก็จะได้เอากลดเอาเต็นท์ไปกางกัน ทำไว้ให้ทุกคนได้มีความสุข ใครไปใครมาก็มีความสุข มีที่นั่งร้อนๆมาก็มีที่นั่ง อย่าไปเกียจคร้าน เราพยายามสร้างให้เกิดประโยชน์ รวมพลังกันหลายๆคนก็ไม่นาน เอาดินเข้าแท่น มีอะไรเราก็ช่วยกันทำก็จะเกิดประโยชน์ ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม ได้ความขยันละความเกียจคร้านได้ประโยชน์ ประโยชน์ของทุกคน ประโยชน์ไว้กับแผ่นดิน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มซะนะ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย หยุดดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ภาระหน้าที่การงานต่างๆ เราก็วางเอาไว้แล้วแหละ วางแล้วเราถึงได้มา ค่อยไปทำต่อ ขณะนี้เวลานี้เรามาหยุดความนึกคิดของเรา ด้วยการเจริญสติสร้างความรู้ตัวแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ใหม่ๆก็อาจจะเป็นการอดการทน อดทนอดกลั้น เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว เราไม่ให้เขาคิดเราไม่ให้เขาส่งไปภายนอก เขาเรียกว่าอดและก็ทนเขาเรียกว่า ‘ตบะ’ อดที่นั่นอดทีนี้เขาก็นิ่งขึ้นๆ ความกล้าหาญเขาก็จะมีมากขึ้น สติก็จะมีมากขึ้น ต่อไปข้างหน้าสติก็จะไปวิเคราะห์ไปสอดส่องหาเหตุหาผล จนกว่าเขาจะคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ เราไม่จําเป็นต้องไปแยกเขายาก
ถ้ากำลังสติของเรารู้เห็น เห็นตั้งแต่เขาเกิดเขาเคลื่อน เขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดนั้นภาษาธรรมเขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ อาการของขันธ์ห้า เขาจะแยกจะคลายออกจากกันโดยปริยาย แยกคลายทั้งที่อยู่ด้วยกันนั่นแหละ เหมือนกับพลิกฝ่ามือ ฝ่ามืออยู่ข้างล่างหลังมืออยู่ข้างบน ถ้าเขาแยกออกปุ๊บฝ่ามือก็จะกลับไปอยู่ข้างบนหลังหลังมือก็จะกลับไปอยู่ข้างล่าง แต่เขาก็ยังเป็นฝ่ามืออยู่ ถ้าใจคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์เขาก็จะว่างโล่งโปร่งเบาสบาย กายสมมติก็มีอยู่ ความคิดสติปัญญาของเราก็จะเห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า เรื่องต่างๆ ที่เกิดเกิดดับดับ ใจก็จะว่างรับรู้ อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่เจริญสติที่แหลมคมเร็วไว แล้วก็รู้จักลักษณะของสติอยู่ปัจจุบัน ไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา
บางครั้งบางคราวใจก็เต็มเปี่ยมอิ่มอยู่ในบุญ อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญมีความสุข นั่นแหละตัวใจของเรา มันมีความสุขฐานของเขาก็อยู่ตรงนั้นแหละ ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ตลอดพยายามประคับประคอง ถ้าเขาเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับตรงนั้นแหละ ดับบ่อยๆ ตกใจตรงไหน ความอยากเขาเริ่มก่อตัวตรงไหน ถ้าเราดับบ่อยๆ ก็จะสั้นลงไปๆ ถึงตัวของจิต จิตของเราส่วนมากก็เมื่อเขาเกิดแล้วเราถึงรู้ เขารวมแล้วเราถึงรู้ หลงหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้องหัดสังเกตจนแยกจนคลาย สติปัญญาตามดู ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วค่อยละ ความรู้ตัวพลั้งเผลอ สติพลั้งเผลอ นิวรณ์เข้าครอบงํา ความเกียจคร้านเข้าครอบงําได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามกระตุ้นความรู้ตัว สร้างความขยันให้เต็มเปี่ยม
ใจเกิดกิเลสเมื่อไหร่เราก็รู้จักดับรู้จักระงับ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราเกิดความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระเหนียวแน่น ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ก็ต้องพยายาม พยายามสร้างสะสมคุณงามความดีให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ในการดําเนินชีวิตจนถึงวาระเวลากายของเรา เราบริหารกายของเราได้อย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข บริหารใจของเราอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ เกิดมาเป็นมนุษย์ก็สนุกในการสร้างอานิสงส์สร้างประโยชน์ สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ให้ใจของเราเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้ใจของเราเป็นทาสของอารมณ์
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลมีเหตุมีผลอยู่ในตัวหมด ส่วนนามธรรมเขาก็มีเหตุมีผล ส่วนรูปธรรมเขาก็มีเหตุมีผล เพียงแค่เราเจริญสติเข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ท่านสอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจในกายของเรานี้แหละ ขันธ์ห้าในกายของเรานี่แหละซึ่งมีวิญญาณมาก่อร่างสร้างภพภพของมนุษย์ ก็มีการเกิดแก่เจ็บตาย
แต่การเกิดของตัวจิตหรือตัวนามธรรม เขาเกิดๆดับๆตลอดเวลา นาทีหนึ่งเขาอาจจะเกิดหลายเรื่อง ห้านาทีสิบนาทีจนกระทั่งเป็นวันเป็นเดือนเป็นชั่วโมง เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เรามาดับมาหยุดมาสังเกตมาวิเคราะห์ จนกำลังสติของเราเป็นมหาสติเข้าไปประหัตประหารกิเลสได้เด็ดขาดนั่นแหละก็เป็นเรื่องของทุกคน ก็ต้องพยายามนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทำได้เท่าไรก็ทำอย่าไปทิ้งในการบุญในการเข้าวัด ทำกายของเรานี่แหละให้เป็นวัด ทำใจของเรานี่แหละให้เป็นพระ มีโอกาสเราก็ได้เข้ามาวัดภายนอกซึ่งเป็นวัดทางสมมติ วัดทางวิมุตติทางด้านจิตใจเราต้องพยายามเข้าให้ได้ตลอดเวลา หาความบริสุทธิ์ทำความบริสุทธิ์ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรจะมาอย่างไรกัน
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนสักระยะนะ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมพร้อมกันค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ
รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้การเกิดการดับของใจ จะลุกจะก้าวจะเดินไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา หัดสำรวม สำรวมกายของเรา สำรวมวาจาของเรา ลึกลงไปก็สำรวมใจ คนทั่วไปนี่ยากอยู่นะถ้าไม่ได้ฝึก เพียงแค่วาจาก็ไม่รู้จักควบคุมไม่รู้จักอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด ในเรื่องใจทานของใจนั้นก็ยิ่งอยากเข้าไปอีก เพราะว่าตัววิญญาณหรือว่าใจของเราชอบคิดชอบเที่ยวมีตั้งแต่ไปส่งออกไปเรื่องภายนอก
เรามาฝึกมาหัดมาดับมาขัดมาเกลา ถ้าไม่เอาจริงๆ ก็ยากที่เขาจะอยู่ อยู่นิ่งๆ บางครั้งก็นิ่งบางครั้งก็เกิด เกิดแล้วก็ส่งออกมาทางกายทางวาจา แล้วก็ไปละลานคนนู้นบ้างละลานคนนี้บ้าง เพียงแค่วาจาก็ควบคุมได้น้อย เราก็พยายามควบคุมถึงควบคุมไม่ได้ก็ให้อยู่ในฝ่ายกุศลอย่าให้เป็นฝ่ายอกุศล ทุกเรื่องในชีวิตต้องหัดวิเคราะห์หัดพิจารณา อะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด พูดออกไปแล้วเกิดประโยชน์หรือไม่เกิดประโยชน์ พูดออกไปแล้วทำให้คนอื่นเขาเสียใจ ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ทำให้เราเป็นทุกข์ เราก็พยายามฝึกฝนเอาแก้ไขเอา นี่แหละตากระทบรูปก็เหมือนกัน หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน
กายหิวๆ ใจจะเกิดความอยาก พยายามปฏิสังขาโยมัตตัญญุตา ไม่ใช่มัตตัญญุตุงนะสามเณร ว่ายังไงสามเณรตุงทุกวันเลย มัตตัญญุตุงทุกวันนะ โดนเจ้าคุณลงโทษนะล้างห้องน้ำทุกวันแล้วมั้ง ฝึกตั้งแต่ตัวน้อยๆ เริ่มเก่งขึ้นเยอะ เริ่มเก่งขึ้นเยอะวันแรกก็เกือบจะครึ่งบ้านวันหลังก็ลดลงมา วันต่อมาก็ค่อยเหลือน้อยๆ ถึงไม่เข้าใจความหมายโตขึ้นไปก็จะรู้เอง โตขึ้นไปก็จะรู้เอง เหมือนกับสมัยก่อน สมัยก่อนหลวงพ่อมาอยู่ใหม่ๆ นี่เกือบจะยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีแล้วแหละ แต่ก่อนป่ามันรกป่ามันรกป่าเพ็กป่าหนามกองกระดูกเผาวางกันเกลื่อน
นี่โยมคนหนึ่งเอาลูกชายมาฝากอายุก็สามสี่ขวบๆ ตัวเล็กๆ เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เอามาฝากหลวงพ่อก็พาเดินพาฝึกตัวเล็กๆนั่นแหละ หกเจ็ดขวบนี่แหละยังไม่เข้าโรงเรียน เอามาฝากเดินไปไหนก็ ดินกลางวันเดินกลางคืนก็จับแขนนะ จับแขนหลวงพ่อไปกลัวว่างั้นนะ เดินห่างก็ไม่เอาเดินข้างหลังก็ไม่เอา เดินข้างๆจับแขนเอา หลวงพ่อพาเดินรอบป่าเดินไปที่นั้นที่นี้ แล้วก็ให้ไปฝึกไปนั่งเจริญสติอยู่กับลมหายใจ แล้วก็ใช้อุบายหลอกเอา หลวงพ่อเดินไปนั่นแป๊บเดียวไปนี่แป๊บเดียวนะ ไปนั่งภาวนาถ้าไม่อยู่กับลมหายใจหรือว่าไม่อยู่กับคําบริกรรมแล้วก็ผีหลอกจะมาหา
เขาก็นั่งอยู่กับลมฝึกอยู่กับลมหายใจ ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ใจไม่ปรุงไม่แต่งก็เลยมีความกล้าหาญมากขึ้นๆ ทีนี้หลวงพ่อก็แกล้ง แกล้งเป็นลืมสิ่งนู้นบ้างสิ่งนี้บ้างเอาไว้ สมมติว่าอยู่ข้างล่างก็ลืมของไว้ข้างบน อยู่ข้างบนก็ลืมของไว้ข้างล่าง ไปเอาของให้หลวงพ่อหน่อยนะ ใหม่ๆ ก็แหยงๆ ไม่กล้าแต่ขัดคำสั่งไม่ได้ ทางก็เล็กๆ พอเดินป่ารกป่าหนาม หลุมศพก็เต็มข้าง ถ้าไม่หนดการเดินไปนี่ผีหลอกนั่งอยู่ข้างทางนะ เขาก็เดินเดินมาเอาของข้างล่าง ทั้งเดินทั้งร้องไห้นั่นแหละ ฝึกสติอยู่กับการเดิน ใจไม่วอกแวกใจก็เลยสงบ
เขาก็ไปฟ้องวัดชอบแกล้งตั้งแต่ผม ชอบแกล้งตั้งแต่ผมเขาว่างั้นนะ ฝึกไปฝึกมาๆ ไปอยู่กลางป่าได้เลย ไปอยู่กับไปนั่งภาวนาอยู่ตามหลุมศพได้เลยไม่กลัว เด็กๆ เขายังไม่รู้ความหมายหรอก พอโตขึ้นเป็นหนุ่มก็ถึงรู้ว่าหลวงพ่อฝึกเขา มีผลไม้ขนุนมะม่วงอยู่หน้าบ้านเขา ถ้าขนุนมะม่วงต้นไหนออกลูกเขาจะเก็บมาให้หลวงพ่อก่อนมาให้หลวงพ่อฉันก่อน โตขึ้นเขาถึงรู้ว่าหลวงพ่อฝึกเขา นั่นแหละไปทำการทำงาน เขาก็พยายามรู้ใจรู้ลม รู้จักพิจารณา เขาถึงรู้คุณค่าถ้าไม่ฝึกมันก็ยาก
จากคนเราไม่ฝึกตัวเองนี่ก็ลําบาก พยายามฝึกฝนตนเองสำรวมกายของเราสำรวมวาจาของเรา ยิ่งเป็นพระยิ่งเป็นชียิ่งสำรวมหนักเข้าไปอีก อือแม้แต่คําพูดคําจาเราก็ไม่ได้ไปพูดให้ร้ายใคร ให้วาจาส่อเสียดเพ้อเจ้อ ไม่มีประโยชน์ อือเพียงแค่วาจาก็ไม่รู้จักควบคุมมันก็ใช้การไม่ได้ ยิ่งใจยิ่งมีกิเลสอีก เราพยายามละกิเลสขัดเกลากิเลสออกให้หมดจด ความเป็นอยู่สมัยก่อนยิ่งลําบากมากกว่านี้ เรื่องอาหารการขบการฉันก็เหมือนกันให้พิจารณาปฏิสังขาโย อาหารก็สักแต่ว่าอาหาร เราไปบิณฑบาตมาได้อย่างไรเราก็ขบฉันอย่างงั้น ไม่ใช่เรื่อง อาหารก็มองให้เห็นเป็นสักแต่ว่าอาหาร อะไรควรเอาหรือไม่ควรเอา เราก็คอยพิจารณาตัวเอง
มีมากมีน้อยเราก็ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก จะมากก็ไม่ให้เกิดความอยากจะน้อยก็ไม่ให้เกิดความอยาก กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา แต่ละวันเราต้องเป็นคนที่ขยันทุกอย่าง ขยันหมั่นเพียรขัดเกลาตัวเราแก้ไขตัวเรา ใจของเราเป็นอย่างไรมายังไง ทำไมเราถึงลําบาก เราจะเพิ่มอะไร เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบ เพิ่มความเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่าง คนเราทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจ จะไปเอาตั้งแต่เวลาเกิดความทุกข์มากๆ แล้วถึงจะไปจัดการไม่ทันหรอก อยู่ปกติธรรมดานี่แหละเราก็พยายามดู ใจของเราเกิดกิเลสเมื่อไหร่เราก็ดับ เกิดปรุงแต่งเมื่อไหร่เราก็ดับเราก็หยุด ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ใจเกิดได้อย่างไร
เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ อยู่คนเดียวแล้วก็สนุก มีความรับผิดชอบ มีความขยันไม่ใช่เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงํา อะไรก็ไม่เป็นช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ใช้ตัวเองก็ไม่เป็น จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงํามันจะไปได้อะไร เราก็ต้องพยายาม ให้ขยันหมั่นเพียรเป็นคนมีระเบียบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ พยายาม กายของเราให้เป็นพระใจของเราให้เป็นพระ ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวอยู่หลายคน ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องแก้ไข ถ้าใจของเราดีเราก็มองโลกในทางที่ดี ใจเราไม่ดีเราก็มองเห็นภายนอกไม่ดีหมด ไม่ค่อยจะสำรวมวาจา วาจาก็ไปใส่ร้ายคนโน้นคนนี้ อคติคนโน้นคนนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารเนอะ
เราพยายามเอา ทุกชีวิตทุกวิญญาณก็ปรารถนาหาความสุขใส่ตัวเราเอง ญาติโยมเข้ามาก็ให้ได้มีความสุขกัน เพียงแค่ก้าวเข้ามาวัดก็ให้ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น สบายตาแล้วก็สบายใจ เราพยายามประคับประคองช่วยกัน เข้ามาแล้วก็เข้ามาวัดแล้วก็มาได้มาแทนที่จะมีความสุข
เอาใส่ถ้วยชามมา เอาใส่ถ้วยชามมาเอาล้อเลื่อนมา เอ้าเจ้าคุณรับหน่อย
เพราะว่าคนเราสร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน กำลังสติปัญญาก็ไม่เท่าทันกัน บางคนก็อยู่ในอำนาจของกิเลส บางคนก็อยู่ปัญญาทางสมมติก็เต็มเปี่ยม ในหลักธรรมแล้วต้องให้พร้อมมูล ต้องให้พร้อมมูลสติปัญญา สมาธิต้องเสมอภาค แต่ส่วนมากก็ถ้าสติปัญญามากไม่เอาไปพิจารณาไปแยกไปคลายก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ เราต้องรู้ต้นตอของวิญญาณของเรา รู้จุดเกิดจุดดับของวิญญาณของเรา เป็นเรื่องเร่งด่วนของทุกคน ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่ทำบุญอย่างเดียว แต่ส่วนมากก็อยากจะได้บุญอย่างเดียว ทำตั้งแต่บุญอย่างเดียว ตัวอื่นก็เลยมองข้าม กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร วาจาของเราเป็นอย่างไร ก่อนที่จะคิดก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะทำ มันก็เลยปกปิดตัวเราเองเอาไว้หมดเสียก็เลยยากอยู่ แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญแล้วดีที่สุด ทำไปเถอะ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา พากันทำ
วันนี้พระเราที่เราช่วยกันรวมพลังไปเอาดินเข้าไอ้ฐานแท่นให้หน่อยนะทางฝั่งลีลา เมื่อวานนี้ก็ช่วยกันทำอยู่จนสองสามทุ่มก็ได้แท่นนั่งแท่นนอน ต่อไปข้างหน้าก็จะได้เป็นที่พักที่หลับที่นอน ที่ปักกลดที่บําเพ็ญกลางคืน ก็จะได้เอากลดเอาเต็นท์ไปกางกัน ทำไว้ให้ทุกคนได้มีความสุข ใครไปใครมาก็มีความสุข มีที่นั่งร้อนๆมาก็มีที่นั่ง อย่าไปเกียจคร้าน เราพยายามสร้างให้เกิดประโยชน์ รวมพลังกันหลายๆคนก็ไม่นาน เอาดินเข้าแท่น มีอะไรเราก็ช่วยกันทำก็จะเกิดประโยชน์ ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม ได้ความขยันละความเกียจคร้านได้ประโยชน์ ประโยชน์ของทุกคน ประโยชน์ไว้กับแผ่นดิน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มซะนะ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย หยุดดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ภาระหน้าที่การงานต่างๆ เราก็วางเอาไว้แล้วแหละ วางแล้วเราถึงได้มา ค่อยไปทำต่อ ขณะนี้เวลานี้เรามาหยุดความนึกคิดของเรา ด้วยการเจริญสติสร้างความรู้ตัวแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ใหม่ๆก็อาจจะเป็นการอดการทน อดทนอดกลั้น เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว เราไม่ให้เขาคิดเราไม่ให้เขาส่งไปภายนอก เขาเรียกว่าอดและก็ทนเขาเรียกว่า ‘ตบะ’ อดที่นั่นอดทีนี้เขาก็นิ่งขึ้นๆ ความกล้าหาญเขาก็จะมีมากขึ้น สติก็จะมีมากขึ้น ต่อไปข้างหน้าสติก็จะไปวิเคราะห์ไปสอดส่องหาเหตุหาผล จนกว่าเขาจะคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ เราไม่จําเป็นต้องไปแยกเขายาก
ถ้ากำลังสติของเรารู้เห็น เห็นตั้งแต่เขาเกิดเขาเคลื่อน เขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดนั้นภาษาธรรมเขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ อาการของขันธ์ห้า เขาจะแยกจะคลายออกจากกันโดยปริยาย แยกคลายทั้งที่อยู่ด้วยกันนั่นแหละ เหมือนกับพลิกฝ่ามือ ฝ่ามืออยู่ข้างล่างหลังมืออยู่ข้างบน ถ้าเขาแยกออกปุ๊บฝ่ามือก็จะกลับไปอยู่ข้างบนหลังหลังมือก็จะกลับไปอยู่ข้างล่าง แต่เขาก็ยังเป็นฝ่ามืออยู่ ถ้าใจคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์เขาก็จะว่างโล่งโปร่งเบาสบาย กายสมมติก็มีอยู่ ความคิดสติปัญญาของเราก็จะเห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า เรื่องต่างๆ ที่เกิดเกิดดับดับ ใจก็จะว่างรับรู้ อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่เจริญสติที่แหลมคมเร็วไว แล้วก็รู้จักลักษณะของสติอยู่ปัจจุบัน ไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา
บางครั้งบางคราวใจก็เต็มเปี่ยมอิ่มอยู่ในบุญ อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญมีความสุข นั่นแหละตัวใจของเรา มันมีความสุขฐานของเขาก็อยู่ตรงนั้นแหละ ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ตลอดพยายามประคับประคอง ถ้าเขาเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับตรงนั้นแหละ ดับบ่อยๆ ตกใจตรงไหน ความอยากเขาเริ่มก่อตัวตรงไหน ถ้าเราดับบ่อยๆ ก็จะสั้นลงไปๆ ถึงตัวของจิต จิตของเราส่วนมากก็เมื่อเขาเกิดแล้วเราถึงรู้ เขารวมแล้วเราถึงรู้ หลงหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้องหัดสังเกตจนแยกจนคลาย สติปัญญาตามดู ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วค่อยละ ความรู้ตัวพลั้งเผลอ สติพลั้งเผลอ นิวรณ์เข้าครอบงํา ความเกียจคร้านเข้าครอบงําได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามกระตุ้นความรู้ตัว สร้างความขยันให้เต็มเปี่ยม
ใจเกิดกิเลสเมื่อไหร่เราก็รู้จักดับรู้จักระงับ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราเกิดความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระเหนียวแน่น ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ก็ต้องพยายาม พยายามสร้างสะสมคุณงามความดีให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ในการดําเนินชีวิตจนถึงวาระเวลากายของเรา เราบริหารกายของเราได้อย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข บริหารใจของเราอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ เกิดมาเป็นมนุษย์ก็สนุกในการสร้างอานิสงส์สร้างประโยชน์ สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ให้ใจของเราเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้ใจของเราเป็นทาสของอารมณ์
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลมีเหตุมีผลอยู่ในตัวหมด ส่วนนามธรรมเขาก็มีเหตุมีผล ส่วนรูปธรรมเขาก็มีเหตุมีผล เพียงแค่เราเจริญสติเข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ท่านสอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจในกายของเรานี้แหละ ขันธ์ห้าในกายของเรานี่แหละซึ่งมีวิญญาณมาก่อร่างสร้างภพภพของมนุษย์ ก็มีการเกิดแก่เจ็บตาย
แต่การเกิดของตัวจิตหรือตัวนามธรรม เขาเกิดๆดับๆตลอดเวลา นาทีหนึ่งเขาอาจจะเกิดหลายเรื่อง ห้านาทีสิบนาทีจนกระทั่งเป็นวันเป็นเดือนเป็นชั่วโมง เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เรามาดับมาหยุดมาสังเกตมาวิเคราะห์ จนกำลังสติของเราเป็นมหาสติเข้าไปประหัตประหารกิเลสได้เด็ดขาดนั่นแหละก็เป็นเรื่องของทุกคน ก็ต้องพยายามนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทำได้เท่าไรก็ทำอย่าไปทิ้งในการบุญในการเข้าวัด ทำกายของเรานี่แหละให้เป็นวัด ทำใจของเรานี่แหละให้เป็นพระ มีโอกาสเราก็ได้เข้ามาวัดภายนอกซึ่งเป็นวัดทางสมมติ วัดทางวิมุตติทางด้านจิตใจเราต้องพยายามเข้าให้ได้ตลอดเวลา หาความบริสุทธิ์ทำความบริสุทธิ์ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรจะมาอย่างไรกัน
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนสักระยะนะ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมพร้อมกันค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ