หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 042
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 042
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง หยุดความนึกคิดต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ดับความคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ไม่ต้องพนมมือก็ได้นะ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่พวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ในชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งจะถึงวันตาย เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นสำรวจหมั่นทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือกุศลอะไรคืออกุศล อะไรควรเจริญหรืออะไรควรละ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ใจที่สงบ ใจที่ไม่มีความกังวล ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร เราจะเอาอะไรเข้าไปรู้ใจของเรา ตรงนี้แหละที่พากันแสวงหาดิ้นรน
การเจริญสติ ลักษณะของคำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน อย่างรู้ลมหายใจเข้าออกนี่เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราจะรู้อยู่ในภาพรวม อาจจะทำถูกอยู่ในภาพรวมอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ ในส่วนลึกๆ ยังหลงอยู่ หลงอะไร หลงขันธ์ห้าของเรานี่แหละ หลงกายของเรานี่แหละ หลงในขันธ์ห้าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยังหลงอยู่ ในส่วนตัววิญญาณตัวนามธรรมอีก การเกิดอีกก็ยังหลงอยู่
ในหลักธรรมนั้นการเกิดก็ยังหลงอยู่นะ เพราะว่าความไม่เที่ยงความเปลี่ยนแปลง ตัววิญญาณเขามีอยู่เดิม ตัวเดิมแท้นั้นหลายภพหลายชาติหลายกัปหลายกัลป์นั้นเขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่เข้าใจ เขาถึงเกิดอยู่ในภพน้อยเกิดในภพใหญ่ เกิดเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นมนุษย์เป็นเทวดา เป็นอินทร์เป็นพรหม เป็นสัตว์นรกเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เราต้องพยายามอาศัยกายของมนุษย์ อาศัยกายของมนุษย์มาเจริญสติเข้าไปควบคุมจิตควบคุมวิญญาณ แล้วก็สังเกตวิเคราะห์ให้วิญญาณของเราอยู่ในความปกครองของสติของปัญญา อยู่ในอำนาจของสติปัญญา จนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากอาการของวิญญาณอีกในส่วนลึกๆ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ เพียงแค่คลายเพียงแค่เริ่มต้นของการรู้แจ้งเห็นจริง แต่การละกิเลสอีกหลาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
กายเนื้ออันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนรูป ส่วนนามธรรมเราต้องพยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ว่าเขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร เพราะว่าทุกคนก็มีวิญญาณ ทุกคนก็มีความคิด ความคิดเก่าวิญญาณเก่าของเก่าแต่สติตัวใหม่ เราต้องมาสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องเอาไปอบรมใจ เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
การเจริญพรหมวิหาร การชำระสะสางกิเลส ตัววิญญาณของเราสะสมกิเลสมานาน เขาก็หาวิธีหาอุบาย ไม่ใช่ว่าเขาจะเปิดเผยตัวออกมาให้ง่ายๆ เหมือนกัน กำลังสติของเราต้องแหลมคม มองหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากอาการของขันธ์ห้าได้ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ทำไมใจของเราถึงไปหลง
ที่เราสวดเราท่องกันทุกวันขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้อ ขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้ออยู่อย่างนั้น แต่เราไม่เห็นสักที เราต้องเห็น เราต้องจำแนกแจกแจงในกายของเราเสียก่อน แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา จิตใจของเราเกิดกิเลสเมื่อไรเราก็ดับ ความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น มันเป็นเรื่องของละเอียด เรื่องจิตเรื่องวิญญาณ แต่คนทั่วไปนั้น ทั้งอยากด้วยทั้งหวังด้วยทั้งทะเยอทะยานอยากด้วย อัดเข้าไปด้วยอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความยินดียินร้ายสารพัดอย่าง อัดมามันไม่รู้จะเท่าไร บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมาได้ไม่บริบูรณ์เท่าไร เราก็ต้องพยายามมาศึกษามาค้นคว้า หมั่นอบรมใจของเรา
ถ้าการประพฤติปฏิบัติไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องใจ ไม่รู้จะไปสอนใจได้อย่างไร มีตั้งแต่จะไปเที่ยวให้คนโน้นคนนี้ช่วยสอนทีคนนี้เขาช่วยสอนที เราต้องพยายามสอนตัวเองหมั่นพร่ำสอนตัวเอง อะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตัวหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบในตัวหรือไม่ เรามีความเสียสละละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากใจของเราหรือไม่ หรือว่าเรามีความเห็นแก่ตัว
เรามีความรับผิดชอบ มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับทุกคน ไม่เห็นแก่ตัวไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น กิเลสภายในของเราเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาการได้ค้นคว้า ทุกคนทำความเข้าใจตรงนี้มาดี แต่จะรู้เหตุรู้ผลต้นเหตุของเขาจริงๆ หรือไม่ ก็ต้องพยายามกัน อย่าพยายามปล่อยวันเวลาทิ้ง
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องความจริงของชีวิต ท่านได้ค้นพบความจริงของชีวิต อาศัยกายเนื้อของมนุษย์นี่แหละที่จะเข้าถึงกลับคืนสู่สภาพเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ถึงท่านก็เคยประกาศเอาไว้ ว่าตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดธรรมะก็มีอยู่ทั่วโลก แต่ท่านค้นพบเอามาเปิดเผยและก็วิธีแนวทางนี่สิ ท่านถึงได้เป็นบรมครู องสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดาทั้งหลายถึงยกเอาไว้เหนือหัว เหมือนกับยกพ่อเอาไว้สู่ที่สูง เราก็ต้องพยายาม
ของดีอยู่ในกายของเรา ไม่ใช่ไปหาที่อื่นหาที่กายของเรา เน้นลงอยู่ที่กายของเรา ลึกลงไปเน้นลงให้ถึงใจ รู้ให้ถึงใจ ความปกติเป็นอย่างไร ความสงบเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ที่เรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ สัมมาทิฏฐิข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด คือรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เราอาจจะรู้จริงอยู่ระดับสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่หลักธรรมแล้วเราต้องแยกต้องคลาย ต้องตามดูจนจิตยอมรับความเป็นจริง เราถึงจะรู้จักจุดปล่อยจุดวาง อยากจะวางได้ ใจของเรายังแยกไม่ได้คลายไม่ได้ มันก็วางไม่ได้ ก็เพียงแค่อดแค่ข่ม อันนี้ก็ยังฝืน เขาเรียกว่าฝืน
การฝึกหัดปฏิบัติจิตนี่เอาให้เต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่เขาก็ไม่คลาย ยากที่เขาจะคลายถ้าไม่เอาให้เต็มที่จริงๆ จิตเขาก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวง่ายๆ เพราะว่าเขาอยู่กับขันธ์ห้ามาตั้งนาน เขาเกิดเขาดับ เขาเกิดเขาดับ เขารวมเขาร่วมเขายินดี แม้แต่กายของเราหรอกเราไปหลงว่าเป็นกายของเรา เป็นกายของเราจริงๆ ในทางสมมติ แต่เราต้องจำแนกแจกแจง แต่เราต้องเคารพสมมติทำหน้าที่ของสมมติให้ดี หมดลมหายใจเมื่อไรนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งสมมติก้อนนี้
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกคุณค่าทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาลมากเลยทีเดียว อย่าพากันไปทิ้งบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ในการสังเกตในการวิเคราะห์ ถ้าเราเข้าใจในเรื่องการทำบุญเราจะอยู่กับบุญตลอดเวลา ใจของเราเป็นบุญอิ่มในบุญ แม้แต่การพูดการจาการนั่นก็เป็นบุญ ต้องพยายามทำ ทำบุญมากทำบุญน้อย ทำอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้พ่อให้แม่ให้พี่ให้น้อง
วันนี้ก็มีโอกาส วันนี้ก็มีโอกาสก็ขอเชิญชวนญาติโยมทุกคนมาร่วมบวชนาคด้วยกันหลายคนหลายท่าน ซึ่งเป็นได้มีโอกาสได้เข้ามาบวช บวชทั้งครอบครัวเลยก็มี ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูก ยกทีมมาบวช ตระกูลบุญ ทั้งสติปัญญาเต็มเปี่ยมหมด อานิสงส์แห่งบุญ มีโอกาสได้มาร่วมกันมาร่วมอนุโมทนาสาธุในการบวชครั้งนี้ ก็ประมาณสักสามโมงเช้าก็จะเริ่มพิธีบวชนาคกัน ก็ขอเชิญนะมีโอกาสมาบวชนาคด้วยกันมาบวชให้เป็นพระ กายก็เป็นพระ ใจก็ต้องพยายามชำระสะสางกิเลสให้เข้าถึงองค์พระอีก อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุขกัน
วันนี้ ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่พวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ในชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งจะถึงวันตาย เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นสำรวจหมั่นทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือกุศลอะไรคืออกุศล อะไรควรเจริญหรืออะไรควรละ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ใจที่สงบ ใจที่ไม่มีความกังวล ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร เราจะเอาอะไรเข้าไปรู้ใจของเรา ตรงนี้แหละที่พากันแสวงหาดิ้นรน
การเจริญสติ ลักษณะของคำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน อย่างรู้ลมหายใจเข้าออกนี่เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราจะรู้อยู่ในภาพรวม อาจจะทำถูกอยู่ในภาพรวมอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ ในส่วนลึกๆ ยังหลงอยู่ หลงอะไร หลงขันธ์ห้าของเรานี่แหละ หลงกายของเรานี่แหละ หลงในขันธ์ห้าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยังหลงอยู่ ในส่วนตัววิญญาณตัวนามธรรมอีก การเกิดอีกก็ยังหลงอยู่
ในหลักธรรมนั้นการเกิดก็ยังหลงอยู่นะ เพราะว่าความไม่เที่ยงความเปลี่ยนแปลง ตัววิญญาณเขามีอยู่เดิม ตัวเดิมแท้นั้นหลายภพหลายชาติหลายกัปหลายกัลป์นั้นเขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่เข้าใจ เขาถึงเกิดอยู่ในภพน้อยเกิดในภพใหญ่ เกิดเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นมนุษย์เป็นเทวดา เป็นอินทร์เป็นพรหม เป็นสัตว์นรกเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เราต้องพยายามอาศัยกายของมนุษย์ อาศัยกายของมนุษย์มาเจริญสติเข้าไปควบคุมจิตควบคุมวิญญาณ แล้วก็สังเกตวิเคราะห์ให้วิญญาณของเราอยู่ในความปกครองของสติของปัญญา อยู่ในอำนาจของสติปัญญา จนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากอาการของวิญญาณอีกในส่วนลึกๆ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ เพียงแค่คลายเพียงแค่เริ่มต้นของการรู้แจ้งเห็นจริง แต่การละกิเลสอีกหลาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
กายเนื้ออันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนรูป ส่วนนามธรรมเราต้องพยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ว่าเขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร เพราะว่าทุกคนก็มีวิญญาณ ทุกคนก็มีความคิด ความคิดเก่าวิญญาณเก่าของเก่าแต่สติตัวใหม่ เราต้องมาสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องเอาไปอบรมใจ เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
การเจริญพรหมวิหาร การชำระสะสางกิเลส ตัววิญญาณของเราสะสมกิเลสมานาน เขาก็หาวิธีหาอุบาย ไม่ใช่ว่าเขาจะเปิดเผยตัวออกมาให้ง่ายๆ เหมือนกัน กำลังสติของเราต้องแหลมคม มองหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากอาการของขันธ์ห้าได้ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ทำไมใจของเราถึงไปหลง
ที่เราสวดเราท่องกันทุกวันขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้อ ขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้ออยู่อย่างนั้น แต่เราไม่เห็นสักที เราต้องเห็น เราต้องจำแนกแจกแจงในกายของเราเสียก่อน แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา จิตใจของเราเกิดกิเลสเมื่อไรเราก็ดับ ความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น มันเป็นเรื่องของละเอียด เรื่องจิตเรื่องวิญญาณ แต่คนทั่วไปนั้น ทั้งอยากด้วยทั้งหวังด้วยทั้งทะเยอทะยานอยากด้วย อัดเข้าไปด้วยอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความยินดียินร้ายสารพัดอย่าง อัดมามันไม่รู้จะเท่าไร บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมาได้ไม่บริบูรณ์เท่าไร เราก็ต้องพยายามมาศึกษามาค้นคว้า หมั่นอบรมใจของเรา
ถ้าการประพฤติปฏิบัติไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องใจ ไม่รู้จะไปสอนใจได้อย่างไร มีตั้งแต่จะไปเที่ยวให้คนโน้นคนนี้ช่วยสอนทีคนนี้เขาช่วยสอนที เราต้องพยายามสอนตัวเองหมั่นพร่ำสอนตัวเอง อะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตัวหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบในตัวหรือไม่ เรามีความเสียสละละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากใจของเราหรือไม่ หรือว่าเรามีความเห็นแก่ตัว
เรามีความรับผิดชอบ มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับทุกคน ไม่เห็นแก่ตัวไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น กิเลสภายในของเราเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาการได้ค้นคว้า ทุกคนทำความเข้าใจตรงนี้มาดี แต่จะรู้เหตุรู้ผลต้นเหตุของเขาจริงๆ หรือไม่ ก็ต้องพยายามกัน อย่าพยายามปล่อยวันเวลาทิ้ง
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องความจริงของชีวิต ท่านได้ค้นพบความจริงของชีวิต อาศัยกายเนื้อของมนุษย์นี่แหละที่จะเข้าถึงกลับคืนสู่สภาพเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ถึงท่านก็เคยประกาศเอาไว้ ว่าตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดธรรมะก็มีอยู่ทั่วโลก แต่ท่านค้นพบเอามาเปิดเผยและก็วิธีแนวทางนี่สิ ท่านถึงได้เป็นบรมครู องสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดาทั้งหลายถึงยกเอาไว้เหนือหัว เหมือนกับยกพ่อเอาไว้สู่ที่สูง เราก็ต้องพยายาม
ของดีอยู่ในกายของเรา ไม่ใช่ไปหาที่อื่นหาที่กายของเรา เน้นลงอยู่ที่กายของเรา ลึกลงไปเน้นลงให้ถึงใจ รู้ให้ถึงใจ ความปกติเป็นอย่างไร ความสงบเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ที่เรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ สัมมาทิฏฐิข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด คือรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เราอาจจะรู้จริงอยู่ระดับสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่หลักธรรมแล้วเราต้องแยกต้องคลาย ต้องตามดูจนจิตยอมรับความเป็นจริง เราถึงจะรู้จักจุดปล่อยจุดวาง อยากจะวางได้ ใจของเรายังแยกไม่ได้คลายไม่ได้ มันก็วางไม่ได้ ก็เพียงแค่อดแค่ข่ม อันนี้ก็ยังฝืน เขาเรียกว่าฝืน
การฝึกหัดปฏิบัติจิตนี่เอาให้เต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่เขาก็ไม่คลาย ยากที่เขาจะคลายถ้าไม่เอาให้เต็มที่จริงๆ จิตเขาก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวง่ายๆ เพราะว่าเขาอยู่กับขันธ์ห้ามาตั้งนาน เขาเกิดเขาดับ เขาเกิดเขาดับ เขารวมเขาร่วมเขายินดี แม้แต่กายของเราหรอกเราไปหลงว่าเป็นกายของเรา เป็นกายของเราจริงๆ ในทางสมมติ แต่เราต้องจำแนกแจกแจง แต่เราต้องเคารพสมมติทำหน้าที่ของสมมติให้ดี หมดลมหายใจเมื่อไรนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งสมมติก้อนนี้
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกคุณค่าทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาลมากเลยทีเดียว อย่าพากันไปทิ้งบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ในการสังเกตในการวิเคราะห์ ถ้าเราเข้าใจในเรื่องการทำบุญเราจะอยู่กับบุญตลอดเวลา ใจของเราเป็นบุญอิ่มในบุญ แม้แต่การพูดการจาการนั่นก็เป็นบุญ ต้องพยายามทำ ทำบุญมากทำบุญน้อย ทำอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้พ่อให้แม่ให้พี่ให้น้อง
วันนี้ก็มีโอกาส วันนี้ก็มีโอกาสก็ขอเชิญชวนญาติโยมทุกคนมาร่วมบวชนาคด้วยกันหลายคนหลายท่าน ซึ่งเป็นได้มีโอกาสได้เข้ามาบวช บวชทั้งครอบครัวเลยก็มี ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูก ยกทีมมาบวช ตระกูลบุญ ทั้งสติปัญญาเต็มเปี่ยมหมด อานิสงส์แห่งบุญ มีโอกาสได้มาร่วมกันมาร่วมอนุโมทนาสาธุในการบวชครั้งนี้ ก็ประมาณสักสามโมงเช้าก็จะเริ่มพิธีบวชนาคกัน ก็ขอเชิญนะมีโอกาสมาบวชนาคด้วยกันมาบวชให้เป็นพระ กายก็เป็นพระ ใจก็ต้องพยายามชำระสะสางกิเลสให้เข้าถึงองค์พระอีก อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุขกัน
วันนี้ ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ