หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 037

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 037
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 037
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยก่อนที่จะขบจะฉัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาให้เราพยายามรู้ใจของเราให้เร็วให้ไว รู้ฐานของใจของเรา ใจของเราปกติสงบ เราต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ หัดทำความเข้าใจ รู้จักควบคุมจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดออกจากอาการของความคิด ออกจากอารมณ์ต่างๆ ถึงจะรู้ชัดเจน รู้แล้วเห็นแล้วก็พยายามควบคุม พยายามละพยายามดับพยายามหยุด ถ้าเราไม่ดำเนินเขาก็จะเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เกิดทั้งที่รู้ๆ

วันนี้ก็เป็นวันพระวันพระน้อยอากาศก็ปลอดโปร่งดี แต่ละวันแต่ละเดือนผ่านพ้นไปเร็วไวจัง อีกสักหน่อยก็จะเข้าสงกรานต์แล้ว เผลอแป๊บเดียววันเดือนปีผ่านไปๆ อายุขัยของมนุษย์นี่มีไม่นาน ไม่ถึงหมื่นสองหมื่นวัน นับวันนับปี นับปีนับวัน นับเดือนนับวันแล้วก็นับปี เดินเข้าไปหาความชราคร่ำคร่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ แล้วก็ความตายอยู่ตลอดเวลา กายเนื้อตายแต่วิญญาณไม่ตาย เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปแก้ไขวิญญาณของเราก่อนที่กายเนื้อจะแตกจะดับ แต่คนทั่วไปก็ไม่ค่อยจะเข้าถึงตัววิญญาณเท่าไรทั้งที่รู้ๆ เพราะว่ากำลังสติมีไม่เพียงพอเพราะว่าไม่ได้เจริญ

วันนี้ก็เห็นว่าได้ยินข่าวทราบข่าวว่า อสม.หนูสินบ้านเพี้ยฟานหมดลมหายใจตั้งแต่เที่ยงคืน นอนตาย นอนตายเฉยๆ เห็นไปเที่ยวมาพากันไปเที่ยว อสม. พากันไปเที่ยวกลับมา ถึงวาระเวลาก็คงจะถึงเวลา ถึงเวลาก็ได้ไป พวกเราก็อย่าพากันประมาท พยายาม พยายามวิเคราะห์ใจของเรา รู้จักควบคุมใจของตัวเอง เห็นรู้ใจ รู้เท่าทันใจของเรา รู้มองเห็นหนทางเดินว่าจะเดินอย่างไรไปอย่างไร

ใจของเราขณะนี้ปกติสงบ สะอาด สว่าง ถ้าใจไม่คลายออกจากความคิด คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นสมมติก็ยังครอบงำอยู่ ถึงใจเราคลายออกถ้าเราดับความเกิดไม่ได้ละกิเลสไม่ได้ ใจของเราก็ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้พลิกยังไม่ได้หงาย หลายชั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์พิจารณามองเห็นเหตุเห็นผลภายใน เห็นการเกิดการดับ เห็นการคลายการแยก เราก็จัดการกับตัววิญญาณ

เพียงแค่การเกิด การก่อตัวการเกิดให้มันสนิท วิญญาณนี้เขาแปลกเขาหลงมาตั้งนาน ถ้ากำลังสติของเราแหลมคมจริงๆ เขาก็ยอมแพ้เหมือนกัน เขาก็เปิดเผยตัวเอง แต่วิญญาณทั่วไปนั้นท่านทะเยอทะยานอยากด้วย ทั้งอยากด้วยทั้งยึดด้วย เพียงแค่การเกิดนั้นเขาก็ปิดบังอำพรางตัวของเขาเอง เราถึงดับ ความคลาย คลายคลายออกจากความคิดแล้วก็ดับความเกิด ให้สั้นลงๆ จนถึงฐานของเขาขณะก่อตัว มันเกิดเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้น เกิดเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้นจนเขานิ่ง คลาย คลายความยึดคลายความหลง แล้วก็ดับความเกิดแล้วก็ละกิเลส แล้วก็จำแนกแจกแจง อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร มันก็จะชัดเจนหมดทุกเรื่อง

รู้แล้วเห็นแล้วทำความเข้าใจได้แล้วยิ่งสนุกเลย กายของเรานี่มีกี่กองกี่ขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาสร้างภพสร้างชาติ อันนี้เรื่องของสมมติเรื่องของวิมุตติ เรื่องของกาย กายนี่เป็นส่วนของก้อนสมมติ ตัวใจยังหลงเข้าไปอีกในส่วนนามอีก ถ้าคนไม่มีความเพียรยากที่จะเข้าถึงยากที่จะเข้าใจ มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

แม้ถึงวาระถึงเวลาก็ไม่เข้าใจอีกนั่นแหละเพราะว่ามีวิบากกรรมปิดกั้นเอาไว้อยู่ บางทีสมมติก็ลำบาก อันโน้นก็ขาดอันนี้ก็ขาด อันนั้นก็พร่องอันนี้ก็ยังไม่พอ ก็ต้องดิ้นรนที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง แสวงหาไปตามกาลตามวัย วัยเด็กนั่นก็เกิดขึ้นมาก็เปลี่ยนแปลง ได้รับการศึกษารับการเล่าเรียน จากตัวน้อยๆ ก็เติบโตขึ้นมา ได้ทำการทำงาน เรียนจบทำการทำงาน สร้างภาระ สร้างครอบครัว สร้างฐานะความเป็นอยู่

บางคนก็สมมติก็ไม่ได้ลำบากบางคนก็สมมติลำบาก บางทีค้นหาสาเหตุไม่เจอก็มี ก็ยกให้เป็นกรรม ความเป็นอยู่ระดับของสมมติก็ยังลำบากเพราะว่าเราไม่เคย สมัยก่อนอาจตั้งแต่เกิดมาหรืออาจจะย้อนเข้าไปหลายภพ เราไม่ได้เคยสร้างบุญสร้างอานิสงส์เอาไว้มาก ความเป็นอยู่สมมติก็เลยลำบาก เราก็มาสร้างเอาขณะที่เรายังมีกำลังมีลมหายใจอยู่ สร้างเหตุให้ดีผลก็จะออกมาดีในระดับของสมมติ สูงขึ้นไปก็ให้วางหมด สร้างประโยชน์แต่ไม่ให้ยึด สร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ แต่ส่วนมากระดับของสมมตินี่ก็ยังลำบากอยู่

หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องเข้าไปแก้ไข ต้องขยันหมั่นเพียรเอาจริงๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีความเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ มีความจริงใจต่อตัวเรา เขาเรียกว่า ‘สัจจะ’ ตามทำความเข้าใจจนหมดหมดทุกอย่าง จนใจของเราหายสงสัยหมด จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละถึงจะหมดงานภายใน แต่กายเนื้อก็มีอยู่จะต้องทำความเข้าใจกับเขาไป

กายเนื้อตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหมดลมหายใจเมื่อไรก็กลับคืนสู่สภาพเดิม กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟเหมือนเดิม วิญญาณก็ไปต่อ ถ้ายังเกิดอยู่จะไปเกิดในสภาวะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรม แต่เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับกรรมเสียก่อน ก็ขันธ์ห้าของเรานี่แหละเป็นก้อนกรรมที่มาปรุงแต่งใจ แล้วก็การเกิดของใจนี่แหละที่จะไปเกิดต่อ

เราจะสร้างกรรมอะไรล่ะ กุศลกรรมอกุศลกรรม เราเห็นตัวเราเห็นตัววิญญาณเราก็ละหมด ละหมด ดับหมดละวางหมด สร้างประโยชน์เลยเลยอยู่เหนือบุญเหนือบาปเหนือกรรม อยู่กับบุญ ทำเอานะ พากันทำเอา ตื่นขึ้นมาก็รีบแก้ไขตัวเรา ควบคุมตัวเรา อะไรที่จะเป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ทำ ของพวกนี้ไปโทษกันไม่ได้ ต้องโทษตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เรามีโอกาสได้อยู่ร่วมกัน ได้สร้างอานิสงส์สร้างประโยชน์ของสมมติร่วมกัน แต่ระดับตัววิญญาณเราต้องแก้ไขเอา ปรับปรุงตัวเรา คนอื่นเขาทำให้ไม่ได้เราต้องทำเอา

พระพุทธองค์ก็ชี้แนะแนวทางให้เราจะเดินตามหรือไม่ การละกิเลสก็อยู่ที่เรา การเจริญสติก็อยู่ที่เรา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็ดับเราก็ละ ทำความเข้าใจ กิเลสเกิดขึ้นที่กายเกิดขึ้นที่ใจ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาทำหน้าที่ของเขาหมดนั่นแหละ แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสำรวจเขา เอาตั้งแต่สติปัญญาของโลกิยะเข้าไปแก้ไขมันยิ่งปิดบังอำพรางตัวเอง

สติในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา เข้าไปทำความเข้าใจหาเหตุหาผลให้ใจ รู้เห็นตามความเป็นจริงจนใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยถึงจะวางได้ ถ้าวางไม่ได้หมดจดก็ไปวาง ถ้าวันข้างหน้ามันวางไม่ได้ก็ไปต่อเอาภพหน้า ต้องพูดคุยกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา สติพูดคุยกับใจหมั่นพร่ำสอนใจ อะไรผิดอะไรถูก แต่เวลานี้เรายังไม่เห็นใจ เรารู้อยู่แต่ยังไม่เห็นฐานของเขา เพราะว่าใจนี่มันเร็วไวเหมือนลิงเร็วยิ่งกว่าลิง เผลอแป๊บเดียวโน่นไปขั้วโลกโน่น ไม่รู้ไปที่ไหน คิดว็อบแว็บๆ กำลังสติก็ดึงฉุดมันมา เพียงแค่ดึงแค่ฉุด แค่ดับแค่ควบคุมก็ยังมีกันไม่มากก็เลยไม่ทันเหตุผลของเขา

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องเหตุเรื่องผล เหตุผลภายใน เหตุผลของสมมติเหตุผลของโลกธรรม ท่านสอนทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ตอนในการดำเนินในการปล่อยในการวาง ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีหมด ก็ต้องพยายามเอา

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแล้วก็ชี้แนะอุบายวิธีแนวทาง พวกท่านจงพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้ละไม่ได้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เพราะความเคยชินเก่าๆ ความคิดเก่า ปัญญาเก่าของเราพุ่งไปอย่างเดียว ตั้งแต่ตื่น ตื่นขึ้นมาปุ๊บความคิดก็ผุดขึ้นมาปั๊บสั่งกาย ตัวใจสั่งกายไปทำโน่นทำนี่ แล้วก็ทำตามความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ตรงนี้แหละ ความหลงตรงนี้แหละมันปิดกั้นเอาไว้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ เราจะมารื้อค้นตรงนี้มันก็เลยยาก ก็เลยยากนอกจากบุคคลที่มีความเพียร

การสร้างความรู้ตัว การเจริญสติ เพียงแค่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องก็ไม่ค่อยจะทำกันเท่าไร มีแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา การสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจของเราจะเกิดวิญญาณของเราจะเกิดเราก็จะรู้เท่าทัน แล้วก็เห็น เห็นตั้งแต่เขาเกิดเราก็รู้จักควบคุม ก็เห็นเป็น 2 ส่วนแล้ว ต่อไปอีกถ้าใจของเรา ถ้าความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา ถ้าใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าความรู้ตัวของเราเห็นเท่าทันตรงนั้น ใจของเราก็จะคลายออกดีดออกแยกออกซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความเพียรหมั่นสังเกตอยู่บ่อยๆ อยู่ตลอดเวลา บางทีก็อาจจะเห็นตรงนี้ ถ้าเห็นแล้วเราก็จะเข้าใจในความหมายของภาษาธรรมภาษาโลก เราก็จะรู้ความว่างเห็นความว่าง เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเป็นกองเป็นขันธ์ แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ใจของเราก็จะว่างรับรู้ ถ้าใจของเราเกิดเราก็จะดับเราก็ละ พยายามทำบ่อยๆ ศึกษาบ่อยๆ หาความเป็นกลาง ความเป็นกลางคือความว่างเป็นเครื่องตัดสิน รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ดับเอาไว้ เพียงแค่ระงับดับเอาไว้ก็มีกันอยู่บ้างเป็นบางช่วงบางครั้งบางครา มันต้องทุกเรื่องเลยทีเดียวต้องทุกเรื่อง

ต้องค้นคว้าเข้าไปหาเหตุหาผล หาต้นตอของตัววิญญาณของตัวใจ เขาเกิดอย่างไร เขาเกิดกิเลสอย่างไร เขาเกิดความยินดียินร้ายอย่างไร เขาไปเสวยอย่างไร เขาปรุงแต่งอย่างไร อะไรคือส่วนสติ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมามีกำลังเพียงพอหรือไม่ ใจของเราน้อมเข้ามาในกองบุญกองกุศลหรือไม่ ใจของเรามีความเสียสละหรือไม่ มันต้องพิจารณาหมดทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าปล่อยเลยตามเลย

จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ถ้าไม่รู้ใจก็สอนใจของตัวเองไม่ได้ เหตุตั้งแต่ใจมันหลอกมันปิดกั้นเอาไว้ มันก็เอาสิ่งดีๆ นั่นแหละมาปิดกั้นเอาไว้ ก็ยังดียังอยู่ในคุณงามความดี ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละออกให้มันหมด ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องของคนอื่น จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ ตายไปแล้วจะไปไหนทันทีเลย ถ้าเราแยกกายใจของเราไม่ได้มันก็ไปตามแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมตัวไหนมันจะแรง ถ้าคนรู้จักเราก็อยู่เหนือกรรมไม่ยึดมั่นถือมั่น สร้างกุศลกรรม มีแต่สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ มองเห็นหนทางเดิน รอกายแตกดับ

ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้สงบทำใจให้นิ่ง ถ้าความว่างจริงๆ นั้น ใจต้องปราศจากความยึดมั่นถือมั่น แยกรูปแยกนาม ละกิเลส ดับความเกิด จนใจไม่เกิดนั่นแหละเขาถึงจะว่างจริงๆ เพียงแค่ทำใจให้สงบให้ได้เสียก่อน

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง