หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 030
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 030
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ทางโรงปูน โรงปูนอะไรนะๆ นครหลวงอินทรีย์ อินทรีย์นครหลวงกับปูนช้าง คนละจุดคนละอันกันเหรอ คู่แข่งกันน่าจะมารวมกันพลังแข่ง ทีนี้ถ้าแข่งให้ถูกวิธีจะสนุกนะ แข่งว่าของใครจะดี ของใครจะดีของใครจะเกิดประโยชน์มาก เร่งทำอะไรขาดตกบกพร่องก็รีบแก้ไข ไม่ต้องไปแข่งกันว่าคนโน้นเก่งคนนี้เก่ง ให้แข่งกับตัวของเรา อะไรขาดตกบกพร่องเรารีบแก้ไข ของใครดีคนนั้นก็ขายได้เท่านั้นเอง
ส่วนมากจะไปแข่งกันตั้งแต่ภายนอก เอาผลงานของเราให้มันดีทำให้มันดี มันขาดตกบกพร่องตรงไหนแก้ไขตรงนี้ ทั้งแจกทั้งแถมทั้งขาย ขายได้เยอะเนอะ ทำให้มันดีไม่ต้องไปกลัวว่าคนอื่นจะได้ดี คนอื่นได้ดีเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ ส่วนมากมีตั้งแต่จะไปกีดกันกัน ส่งเสริมกัน ส่งเสริมกันค้าขายด้วยกัน ของใครดีคนนั้นก็คงขายได้ดีก็เก่ง ส่วนมากจะไปผลักไสกันแทนที่จะเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันในนามแต่จิตใจมันผลักไสกัน ใจมันก็ไม่เป็นกลางแล้ว เราก็ต้องพยายามทุกเรื่อง
ในหลักธรรมท่านให้ดูตั้งแต่ความอยากนิดๆ หน่อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่เกิดจากตัววิญญาณของเราโน่น อยากกับไม่อยากโน่น ลึกลงไปตัววิญญาณมันมาก่อร่างสร้างภพของมนุษย์ขึ้นมา มันก็เอากายเนื้อมาปิดบังอำพรางตัววิญญาณเอาไว้ ลึกลงไปวิญญาณกับอาการของวิญญาณก็ปกปิดเอาไว้ ละเอียดลงไปพวกนิวรณธรรม พวกกิเลสต่างๆ ความอยากความทะเยอทะยานอยาก ความยินดียินร้ายก็ปกปิดเอาไว้
ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปค้นคว้าหาเหตุหาผลข้างในให้เจอเสียก่อนก็ยากที่จะเข้าถึง รู้ธรรมแต่ไม่เห็นธรรม มีภูมิธรรมแต่ไม่มีภูมิจิต เราต้องให้เข้าถึงภูมิจิตที่แท้จริงถึงจะรู้ธรรม ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปัญญาธรรม มันเข้าไม่ถึงฐานของตัววิญญาณ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้มากมายเยอะแยะ เขาหลงมาถึงได้มาเกิด ถ้าไม่หลงไม่ได้เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ก็อยู่ในภพภูมิที่ดี มาสร้างกายเนื้อขึ้นมาปกปิดเอาไว้ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนี้ รู้เห็นเราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์
การเจริญสติ การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกการคลาย ส่วนมากมันจะปิดเอาไว้ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่ภพกี่ชาติแล้ว กว่าจะมาคลายได้ก็ต้องอาศัยบุญบารมี บุญเก่าบุญใหม่มาสร้างมาเสริม ความเสียสละ ความรับผิดชอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความจริงใจ ความขยันหมั่นเพียร แล้วก็รู้จักสำรวมกายวาจาใจของเราให้ลึกลงไปอีก
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณมาอาศัยกายนี้อยู่เขามีหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เยอะแยะ ถ้าไม่ขยันจริงๆ ยากที่จะเข้าใจ มันจะรู้อยู่เป็นบางชิ้นบางส่วน แต่ต้องให้รู้ให้หมดด้วยการมาสร้างความรู้ตัวมาเจริญสติ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันหมดมีกายเนื้อเหมือนกัน มีกายเนื้อมีรูปมีนาม จะไปหาธรรมไปหาที่โน่นหาที่นี่หาไม่เจอหรอก ก็หาที่กายของเรานี่แหละ ไปหาสถานที่ก็เพียงแค่ไปหาอุบายหาแนวทาง เรารู้จักแนวทางแล้วเราก็พยายาม การละกิเลสของเรามีหรือไม่ การทำความเข้าใจพรหมวิหารของเรามีหรือไม่
ตั้งแต่แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์อะไรให้กับตัวเรา ให้กับส่วนรวมให้กับพี่กับน้องให้กับสมมติ เราก็จะอยู่กับธรรมไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข จะไปหาธรรมถ้าไม่เข้าใจเอาตัวไหนไปแสวงหานี่แหละ ส่วนมากก็ใจมันไปแสวงหาใจไปหาใจไม่เจอหรอก ก็ต้องมาสร้างความรู้ตัว จากน้อยๆ จนเป็นมหาสติมหาปัญญาจนเอาไปใช้ทำหน้าที่แทนได้นั่นแหละ
ตั้งแต่เรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหาร กายมันหิวหรือใจมันอยาก เราต้องดู กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ มันต้องดูทุกเรื่อง ดูทุกเรื่อง ใจสงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่แยกคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ เป็นอย่างไร จะไปวิปัสสนาที่โน่นไปวิปัสสนาที่นี่ อันนั้นมันไปวิปัสสนึก ตั้งแต่นึกแล้วตั้งแต่ว่าจะไปแล้ว มันจะไปนึกคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ วิปัสสนึก
ทั้งที่ใจก็อยากได้บุญนั่นแหละใจก็เป็นบุญนั่นแหละ สักวันก็คงจะเข้าใจถ้าเราฝักใฝ่ ตราบใดที่ยังฝักใฝ่ในการแสวงหาอยู่ ไม่เข้าใจในวันนี้ก็ต้องเข้าใจในวันพรุ่งนี้ ไม่เข้าใจวันพรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ ถ้าไม่เข้าใจจริง ๆ สิ่งที่พวกเราทำก็จะไปสานต่อในภพหน้า เพราะว่าจะติดตามตัวเราไปคือวิญญาณของเราไป อย่าไปมองข้ามในการทำบุญ แม้แต่น้อยๆ ทำน้อยก็เป็นของเราทำมากก็เป็นของเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี สำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเอง กายอิสระเป็นอย่างไร ใจอิสระเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ลักษณะของใจ
ใจคือความเป็นกลาง ฐานของเขาอยู่ตรงไหน เราอาจจะควบคุมได้แต่เขายังไม่คลาย เขายังไม่แยก คลายออกจากความคิด การเกิดของเขาก็มีอยู่ พูดง่ายแต่การลงมือจริงๆ ต้องขยันหมั่นเพียรที่ต่อเนื่อง เขาถึงจะยอมเผยตัวออกมาให้ชัดเจน แต่ก็ไม่เหลือวิสัยน่ะไม่เหลือวิสัย
มาเที่ยวนี้มากี่คน มากี่คน ทำไมมาน้อยจัง สมัครใจมาหรือถูกบังคับมา อยากให้สมัครใจมามากกว่า ถ้าถูกบังคับมานี่มันก็จะไปยากต้องสมัครใจมา มาศึกษามาค้นคว้า ถ้าจะเอาจริงๆ ไม่ต้องให้คนอื่นบังคับ เราบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง กลับไปบ้านอย่าไปบ่นนะ ไม่อยู่บ้านแค่วันสองวันบ้านรกรุงรังจัง ไม่ไหวนะไปบ่นให้คนโน้นคนนี้ มันไม่สะอาดก็ทำเอา ทำเอาอดเอาข่มเอา วิเคราะห์เอาอะไรไม่ดีก็แก้ไข ทีนี้ก็ค่อยพูดค่อยจาด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผล เหตุผลภายในทางด้านนามธรรมเขาก็มี
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องปฏิบัติตามคำสอนคำชี้แนะของท่านถึงจะรู้ถึงจะเห็น วิทยาศาสตร์ภายนอกทางด้านวัตถุเขาก็เป็นวิทยาศาสตร์ ทางด้านนามธรรมเขาก็เป็นวิทยาศาสตร์เหมือนกัน ถ้าเราเข้าไปถึงค้นคว้า เพราะว่าเห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ อะไรคือตัววิญญาณ อะไรคืออาการของวิญญาณ ชื่อของมันเป็นอย่างไร หน้าตาของมัน อาการของมันเป็นอย่างไร สมมติภายนอกเราก็มีความรับผิดชอบ สร้างเหตุให้ดีผลก็ออกมาดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกกับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น กายของเราก็มีความรู้สึกรับรู้ว่าสบายขึ้น
ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เวลาหายใจเข้าหายใจออกเราอย่าไปเพ่ง ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่ง สมองก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณไปกำหนดจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เราวางการหายใจให้เป็นธรรมชาติ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับ ความรู้สึกที่รับรู้ที่ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชินก็จะแยกออกมา ส่วนบนคือความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออก ส่วนใจนั้นก็อยู่กลางใจ บางทีเขาก็ปกติบางทีก็ส่งออกไปภายนอก เราก็จะรู้ลักษณะอาการ เราก็จะเห็น เห็นรายละเอียดของจิตของใจของวิญญาณว่าเขาเกิดอย่างไร
ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเป็นอาการของใจอยู่ในขันธ์ห้าของเราซึ่งเป็นนามธรรม เขาก่อตัวอย่างไร เขารวมกันได้อย่างไร นี่แหละเหตุผลตรงนี้แหละ ถ้าเรารู้เท่าทัน ถ้าเขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะเห็นเหตุ เห็นการเกิดการดับ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ของเรา ด้วยสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา
แต่เวลานี้ความรู้ตัวหรือว่าสติของเรามีน้อยนิด อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางคราว อาจจะควบคุมใจได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ไม่ควบคุมไม่ดูแล ไม่สังเกตไม่วิเคราะห์ ไม่หมั่นพร่ำสอนใจให้ได้จนเป็นอัตโนมัติ ในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ในการละ เพียงแค่ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอก เพียงแค่กระดุกกระดิกนิดเดียวเท่านั้น เราก็พยายามระงับยับยั้งตั้งแต่ต้นเหตุ เราดับเราตัดกำลังบั่นทอนของมันมันก็ไม่เกิด เราคลายความหลง แยกรูปแยกนาม ตามดูเราก็เข้าใจ
การพูดง่าย การสำรวจการทำความเข้าใจต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรทุกเรื่อง ทั้งงานสมมติภายนอกเราก็พยายามยังสมมติให้เกิดประโยชน์ครบ สมมติที่เราทำก็จะพลอยส่งถึงด้านจิตใจของเรา สมมติไม่ได้ลำบากก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจ อะไรที่มันถูกมันผิด อะไรผิดเราก็พยายามละ อะไรที่มันถูกเราพยายามเจริญ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราแก้ไขตัวเราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะไปหมด จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่พี่สู่น้องสู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แต่เราต้องพยายามยังทรัพย์ภายในของเราให้บริบูรณ์เสียก่อนให้เต็มเปี่ยมเสียก่อน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาความรู้ตัวของเรามีได้ต่อเนื่องกันไหมสักนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 เป็น 20 เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนเป็นอัตโนมัติ ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักทีเรื่อง เหตุภายนอกทำให้ใจของเราเกิดหรือเกิดขึ้นจากภายใน เราต้องหัดวิเคราะห์หมดเลยทุกเรื่อง ปล่อยปละละเลยไม่ได้ เราก็จะได้ฟังธรรม ถ้าเรามีสติมีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา
ตากระทบรูปใจของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไร คนมาด่ามาว่าใจของเราเป็นอย่างไร เราก็จะได้เห็น เราก็จะได้แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ชนะตัวเราแล้วก็ชนะไปหมด แต่ส่วนมากจะลืมภายในเสียจะไปเอาตั้งแต่ข้างนอก แก้ไขข้างนอกทำข้างนอก ทะเยอทะยานทั้งอยากด้วยหวังด้วยสารพัดอย่าง ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การกระทำด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา ต้องขยันหมั่นเพียรไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ยังขาดการรู้ที่ชำนาญ เพียงแค่เรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหารก็ขาดการสังเกต ร่างกายของเราเป็นอย่างไร กายของเราหิวหรือว่าใจของเราอยาก เราไม่รับประทานด้วยความอยากได้หรือไม่ ลิ้นเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ตาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างทำตามหน้าที่ของเขาหมด แต่ตัววิญญาณยังเกิดยังปิดบังอำพรางตัวเขาอยู่ เราต้องไปแก้ไขเรื่องวิญญาณของเราให้มันจบให้มันเรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ศึกษาเอานะ เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
ส่วนมากจะไปแข่งกันตั้งแต่ภายนอก เอาผลงานของเราให้มันดีทำให้มันดี มันขาดตกบกพร่องตรงไหนแก้ไขตรงนี้ ทั้งแจกทั้งแถมทั้งขาย ขายได้เยอะเนอะ ทำให้มันดีไม่ต้องไปกลัวว่าคนอื่นจะได้ดี คนอื่นได้ดีเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ ส่วนมากมีตั้งแต่จะไปกีดกันกัน ส่งเสริมกัน ส่งเสริมกันค้าขายด้วยกัน ของใครดีคนนั้นก็คงขายได้ดีก็เก่ง ส่วนมากจะไปผลักไสกันแทนที่จะเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันในนามแต่จิตใจมันผลักไสกัน ใจมันก็ไม่เป็นกลางแล้ว เราก็ต้องพยายามทุกเรื่อง
ในหลักธรรมท่านให้ดูตั้งแต่ความอยากนิดๆ หน่อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่เกิดจากตัววิญญาณของเราโน่น อยากกับไม่อยากโน่น ลึกลงไปตัววิญญาณมันมาก่อร่างสร้างภพของมนุษย์ขึ้นมา มันก็เอากายเนื้อมาปิดบังอำพรางตัววิญญาณเอาไว้ ลึกลงไปวิญญาณกับอาการของวิญญาณก็ปกปิดเอาไว้ ละเอียดลงไปพวกนิวรณธรรม พวกกิเลสต่างๆ ความอยากความทะเยอทะยานอยาก ความยินดียินร้ายก็ปกปิดเอาไว้
ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปค้นคว้าหาเหตุหาผลข้างในให้เจอเสียก่อนก็ยากที่จะเข้าถึง รู้ธรรมแต่ไม่เห็นธรรม มีภูมิธรรมแต่ไม่มีภูมิจิต เราต้องให้เข้าถึงภูมิจิตที่แท้จริงถึงจะรู้ธรรม ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปัญญาธรรม มันเข้าไม่ถึงฐานของตัววิญญาณ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้มากมายเยอะแยะ เขาหลงมาถึงได้มาเกิด ถ้าไม่หลงไม่ได้เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ก็อยู่ในภพภูมิที่ดี มาสร้างกายเนื้อขึ้นมาปกปิดเอาไว้ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนี้ รู้เห็นเราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์
การเจริญสติ การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกการคลาย ส่วนมากมันจะปิดเอาไว้ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่ภพกี่ชาติแล้ว กว่าจะมาคลายได้ก็ต้องอาศัยบุญบารมี บุญเก่าบุญใหม่มาสร้างมาเสริม ความเสียสละ ความรับผิดชอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความจริงใจ ความขยันหมั่นเพียร แล้วก็รู้จักสำรวมกายวาจาใจของเราให้ลึกลงไปอีก
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณมาอาศัยกายนี้อยู่เขามีหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เยอะแยะ ถ้าไม่ขยันจริงๆ ยากที่จะเข้าใจ มันจะรู้อยู่เป็นบางชิ้นบางส่วน แต่ต้องให้รู้ให้หมดด้วยการมาสร้างความรู้ตัวมาเจริญสติ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันหมดมีกายเนื้อเหมือนกัน มีกายเนื้อมีรูปมีนาม จะไปหาธรรมไปหาที่โน่นหาที่นี่หาไม่เจอหรอก ก็หาที่กายของเรานี่แหละ ไปหาสถานที่ก็เพียงแค่ไปหาอุบายหาแนวทาง เรารู้จักแนวทางแล้วเราก็พยายาม การละกิเลสของเรามีหรือไม่ การทำความเข้าใจพรหมวิหารของเรามีหรือไม่
ตั้งแต่แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์อะไรให้กับตัวเรา ให้กับส่วนรวมให้กับพี่กับน้องให้กับสมมติ เราก็จะอยู่กับธรรมไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข จะไปหาธรรมถ้าไม่เข้าใจเอาตัวไหนไปแสวงหานี่แหละ ส่วนมากก็ใจมันไปแสวงหาใจไปหาใจไม่เจอหรอก ก็ต้องมาสร้างความรู้ตัว จากน้อยๆ จนเป็นมหาสติมหาปัญญาจนเอาไปใช้ทำหน้าที่แทนได้นั่นแหละ
ตั้งแต่เรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหาร กายมันหิวหรือใจมันอยาก เราต้องดู กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ มันต้องดูทุกเรื่อง ดูทุกเรื่อง ใจสงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่แยกคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ เป็นอย่างไร จะไปวิปัสสนาที่โน่นไปวิปัสสนาที่นี่ อันนั้นมันไปวิปัสสนึก ตั้งแต่นึกแล้วตั้งแต่ว่าจะไปแล้ว มันจะไปนึกคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ วิปัสสนึก
ทั้งที่ใจก็อยากได้บุญนั่นแหละใจก็เป็นบุญนั่นแหละ สักวันก็คงจะเข้าใจถ้าเราฝักใฝ่ ตราบใดที่ยังฝักใฝ่ในการแสวงหาอยู่ ไม่เข้าใจในวันนี้ก็ต้องเข้าใจในวันพรุ่งนี้ ไม่เข้าใจวันพรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ ถ้าไม่เข้าใจจริง ๆ สิ่งที่พวกเราทำก็จะไปสานต่อในภพหน้า เพราะว่าจะติดตามตัวเราไปคือวิญญาณของเราไป อย่าไปมองข้ามในการทำบุญ แม้แต่น้อยๆ ทำน้อยก็เป็นของเราทำมากก็เป็นของเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี สำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเอง กายอิสระเป็นอย่างไร ใจอิสระเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ลักษณะของใจ
ใจคือความเป็นกลาง ฐานของเขาอยู่ตรงไหน เราอาจจะควบคุมได้แต่เขายังไม่คลาย เขายังไม่แยก คลายออกจากความคิด การเกิดของเขาก็มีอยู่ พูดง่ายแต่การลงมือจริงๆ ต้องขยันหมั่นเพียรที่ต่อเนื่อง เขาถึงจะยอมเผยตัวออกมาให้ชัดเจน แต่ก็ไม่เหลือวิสัยน่ะไม่เหลือวิสัย
มาเที่ยวนี้มากี่คน มากี่คน ทำไมมาน้อยจัง สมัครใจมาหรือถูกบังคับมา อยากให้สมัครใจมามากกว่า ถ้าถูกบังคับมานี่มันก็จะไปยากต้องสมัครใจมา มาศึกษามาค้นคว้า ถ้าจะเอาจริงๆ ไม่ต้องให้คนอื่นบังคับ เราบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง กลับไปบ้านอย่าไปบ่นนะ ไม่อยู่บ้านแค่วันสองวันบ้านรกรุงรังจัง ไม่ไหวนะไปบ่นให้คนโน้นคนนี้ มันไม่สะอาดก็ทำเอา ทำเอาอดเอาข่มเอา วิเคราะห์เอาอะไรไม่ดีก็แก้ไข ทีนี้ก็ค่อยพูดค่อยจาด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผล เหตุผลภายในทางด้านนามธรรมเขาก็มี
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องปฏิบัติตามคำสอนคำชี้แนะของท่านถึงจะรู้ถึงจะเห็น วิทยาศาสตร์ภายนอกทางด้านวัตถุเขาก็เป็นวิทยาศาสตร์ ทางด้านนามธรรมเขาก็เป็นวิทยาศาสตร์เหมือนกัน ถ้าเราเข้าไปถึงค้นคว้า เพราะว่าเห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ อะไรคือตัววิญญาณ อะไรคืออาการของวิญญาณ ชื่อของมันเป็นอย่างไร หน้าตาของมัน อาการของมันเป็นอย่างไร สมมติภายนอกเราก็มีความรับผิดชอบ สร้างเหตุให้ดีผลก็ออกมาดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกกับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น กายของเราก็มีความรู้สึกรับรู้ว่าสบายขึ้น
ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เวลาหายใจเข้าหายใจออกเราอย่าไปเพ่ง ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่ง สมองก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณไปกำหนดจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เราวางการหายใจให้เป็นธรรมชาติ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับ ความรู้สึกที่รับรู้ที่ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชินก็จะแยกออกมา ส่วนบนคือความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออก ส่วนใจนั้นก็อยู่กลางใจ บางทีเขาก็ปกติบางทีก็ส่งออกไปภายนอก เราก็จะรู้ลักษณะอาการ เราก็จะเห็น เห็นรายละเอียดของจิตของใจของวิญญาณว่าเขาเกิดอย่างไร
ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเป็นอาการของใจอยู่ในขันธ์ห้าของเราซึ่งเป็นนามธรรม เขาก่อตัวอย่างไร เขารวมกันได้อย่างไร นี่แหละเหตุผลตรงนี้แหละ ถ้าเรารู้เท่าทัน ถ้าเขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะเห็นเหตุ เห็นการเกิดการดับ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ของเรา ด้วยสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา
แต่เวลานี้ความรู้ตัวหรือว่าสติของเรามีน้อยนิด อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางคราว อาจจะควบคุมใจได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ไม่ควบคุมไม่ดูแล ไม่สังเกตไม่วิเคราะห์ ไม่หมั่นพร่ำสอนใจให้ได้จนเป็นอัตโนมัติ ในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ในการละ เพียงแค่ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอก เพียงแค่กระดุกกระดิกนิดเดียวเท่านั้น เราก็พยายามระงับยับยั้งตั้งแต่ต้นเหตุ เราดับเราตัดกำลังบั่นทอนของมันมันก็ไม่เกิด เราคลายความหลง แยกรูปแยกนาม ตามดูเราก็เข้าใจ
การพูดง่าย การสำรวจการทำความเข้าใจต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรทุกเรื่อง ทั้งงานสมมติภายนอกเราก็พยายามยังสมมติให้เกิดประโยชน์ครบ สมมติที่เราทำก็จะพลอยส่งถึงด้านจิตใจของเรา สมมติไม่ได้ลำบากก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจ อะไรที่มันถูกมันผิด อะไรผิดเราก็พยายามละ อะไรที่มันถูกเราพยายามเจริญ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราแก้ไขตัวเราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะไปหมด จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่พี่สู่น้องสู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แต่เราต้องพยายามยังทรัพย์ภายในของเราให้บริบูรณ์เสียก่อนให้เต็มเปี่ยมเสียก่อน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาความรู้ตัวของเรามีได้ต่อเนื่องกันไหมสักนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 เป็น 20 เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนเป็นอัตโนมัติ ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักทีเรื่อง เหตุภายนอกทำให้ใจของเราเกิดหรือเกิดขึ้นจากภายใน เราต้องหัดวิเคราะห์หมดเลยทุกเรื่อง ปล่อยปละละเลยไม่ได้ เราก็จะได้ฟังธรรม ถ้าเรามีสติมีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา
ตากระทบรูปใจของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไร คนมาด่ามาว่าใจของเราเป็นอย่างไร เราก็จะได้เห็น เราก็จะได้แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ชนะตัวเราแล้วก็ชนะไปหมด แต่ส่วนมากจะลืมภายในเสียจะไปเอาตั้งแต่ข้างนอก แก้ไขข้างนอกทำข้างนอก ทะเยอทะยานทั้งอยากด้วยหวังด้วยสารพัดอย่าง ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การกระทำด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา ต้องขยันหมั่นเพียรไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ยังขาดการรู้ที่ชำนาญ เพียงแค่เรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหารก็ขาดการสังเกต ร่างกายของเราเป็นอย่างไร กายของเราหิวหรือว่าใจของเราอยาก เราไม่รับประทานด้วยความอยากได้หรือไม่ ลิ้นเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ตาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างทำตามหน้าที่ของเขาหมด แต่ตัววิญญาณยังเกิดยังปิดบังอำพรางตัวเขาอยู่ เราต้องไปแก้ไขเรื่องวิญญาณของเราให้มันจบให้มันเรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ศึกษาเอานะ เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง