หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 014
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 014
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน วางดับหยุด ดับความนึกปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราดับไม่ได้ละไม่ได้เราก็พยายามหยุดเอาไว้ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็ลองน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดไป ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
อันนี้เป็นสิ่งจำเป็นของทุกคนเลยทีเดียว เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัว ในภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ‘เจริญสติ’ ความรู้สึกตัวรับรู้ รู้การสัมผัสของลมหายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า รู้อยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ปรารถนาที่จะอยากได้บุญ อยากรู้ธรรมอยากเห็นธรรม ความปรารถนาที่เกิดจากตัวใจนั้น การเกิดของใจก็เลยปิดกั้นตัวของเขาเองเอาไว้เสีย เขาก่อตัวเขาเกิด เขาเกิดเกิดแล้วก็ยังไม่พอ ยังมีความคิดที่มาแทรกเข้ามาปรุงแต่งใจ หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ในภาษาธรรมชื่อภาษาสมมติเขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยใจเคลื่อนเข้าไปรวม จนเป็นสิ่งเดียวกันแนบแน่นแล้วก็ไปด้วยกันนั่นแหละ ‘ความหลง’ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน หลงความคิดหลงอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขาร แม้แต่ตัวใจก็ยังมีความทะเยอทะยานอยาก อยากได้บุญ อยากรู้ธรรมอยากโน่นอยากนี่ แล้วก็ความโลภความยินดียินร้ายเข้ามาผสมโรง สารพัดอย่าง เรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปรู้ให้เท่าทัน รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ช่วงใหม่ๆ เขาเรียกว่า ‘การฝืน’ เพราะว่าจิตของทุกคนนั้นหลงมานาน หลงเกิดมานาน ชอบคิดชอบเที่ยวไปในที่ต่างๆ ไปในรูป ไปในรส ไปในกลิ่น ไปในเสียง ไปในที่ต่างๆ
เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัวเน้นลงอยู่ที่กาย ไปควบคุมใจควบคุมจิต ใหม่ๆ ก็อึดอัด ความอึดอัดจนถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละ จนแยกได้คลายได้ ถึงจะถึงความโล่งโปร่งถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ รู้แจ้งเห็นจริง รู้ลักษณะของใจ รู้ฐานของใจ รู้การแยกการคลาย อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นในการเข้าสู่วิปัสสนา เราก็ตามดูความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่เลย ให้รู้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ส่วนใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า ‘รู้อนิจจังทุกขังอนัตตา’ในขันธ์ห้า เป็นเรื่องอะไรที่เขาเกิด
ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกมลทินต่างๆ พวกนิวรณธรรมต่างๆ ขณะนี้ใจของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะ มีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง เราก็พยายามหัดรู้จักรู้พิจารณา รู้จักดับรู้จักละ ใจของเราอคติ เพ่งโทษคนโน้นเพ่งโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนั้นว่าเราอย่างนั้นคนนั้นว่าเราอย่างนี้สารพัดอย่าง มลทินต่างๆ ก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็น ยิ่งขุดค้นไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผลเหมือนกับไม่มี ยิ่งเจริญสติเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งขุดค้นไปยิ่งเห็นเยอะ
ลักษณะของใจที่ดิ้นรนเป็นอย่างไร ลักษณะของใจที่ปกติ ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่คลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจของเราปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือว่ากิเลสเกิดขึ้นที่ใจ หรือว่าเหตุจากภายนอกมาทำให้เกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน ทุกเรื่องที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้าในกายของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
เป็นเรื่องสำคัญของทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง เราอย่ายกกายของเราอย่ายกใจของเราไปเป็นภาระให้คนอื่น แม้แต่กายของเราก็เป็นภาระให้กับตัวเรา เราก็ต้องพยายามแก้ไข แก้ไขตัวเรา จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ของความเป็นอยู่ ให้อยู่ดีมีความสุข มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทน มองโลกในทางที่ดี
แนวทางมีอยู่แล้ว ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นมีอยู่แล้ว ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย หลักของอริยสัจเป็นอย่างไร จิตที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร การไปการมาของจิต การไม่ไปการไม่มาของจิต เพียงแค่ความอยากกับไม่อยากกับความเป็นกลาง การคลาย การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนเข้าสู่วิปัสสนา
การทำความเข้าใจ เขาจะเป็นช่วงๆ ของเขาอยู่ ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่องให้เป็นลูกโซ่ เหมือนกับการขึ้นบันไดจนถึงตัวเรือน การเข้าถึงตัวใจของเรา ทีนี้เราจะละกิเลสออกจากใจของเราได้หมดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา การแสวงหาธรรมถ้าหานอกกายไม่เจอ ถ้าจิตยังดิ้นรนแสวงหาอยู่มันก็ปกปิดตัวของเขาเองเอาไว้ เพียงแค่การเกิดเขาก็ปิดบังอำพรางตัวของเขา
เราดับความเกิด ส่วนมากมีตั้งแต่ส่งเสริม จะยินดียินร้ายหรือว่าส่งเสริม อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักของธรรมของความเป็นจริงแล้ว เราต้องคลายใจออกจากความคิด ดับความเกิดของใจ ตามดูขันธ์ห้าละขันธ์ห้า เหลือตั้งแต่สติปัญญาไปใช้ล้วนๆ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข
อยู่กับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ เราจะทิ้งสมมติก็ต่อเมื่อหมดลมหายใจนั่นแหละ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ แต่ก็พยายามน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาให้อยู่ในกองบุญอยู่ในกองกุศล คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็พยายามยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ ถึงจะมีไม่มากเราพยายามยังสมมติของเราให้อยู่ในความบริบูรณ์ ไม่ให้ลำบาก ก็จะส่งผลถึงตัวใจ
หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องค้นคว้าที่จะต้องศึกษา เราพยายามทำไปเรื่อยๆ ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ต้องถึงมะรืนนี้ อย่าไปมองข้ามในบุญในอานิสงส์ ในการสร้างคุณงามความดีแม้แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ
อันนี้เป็นสิ่งจำเป็นของทุกคนเลยทีเดียว เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัว ในภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ‘เจริญสติ’ ความรู้สึกตัวรับรู้ รู้การสัมผัสของลมหายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า รู้อยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ปรารถนาที่จะอยากได้บุญ อยากรู้ธรรมอยากเห็นธรรม ความปรารถนาที่เกิดจากตัวใจนั้น การเกิดของใจก็เลยปิดกั้นตัวของเขาเองเอาไว้เสีย เขาก่อตัวเขาเกิด เขาเกิดเกิดแล้วก็ยังไม่พอ ยังมีความคิดที่มาแทรกเข้ามาปรุงแต่งใจ หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ในภาษาธรรมชื่อภาษาสมมติเขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยใจเคลื่อนเข้าไปรวม จนเป็นสิ่งเดียวกันแนบแน่นแล้วก็ไปด้วยกันนั่นแหละ ‘ความหลง’ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน หลงความคิดหลงอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขาร แม้แต่ตัวใจก็ยังมีความทะเยอทะยานอยาก อยากได้บุญ อยากรู้ธรรมอยากโน่นอยากนี่ แล้วก็ความโลภความยินดียินร้ายเข้ามาผสมโรง สารพัดอย่าง เรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปรู้ให้เท่าทัน รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ช่วงใหม่ๆ เขาเรียกว่า ‘การฝืน’ เพราะว่าจิตของทุกคนนั้นหลงมานาน หลงเกิดมานาน ชอบคิดชอบเที่ยวไปในที่ต่างๆ ไปในรูป ไปในรส ไปในกลิ่น ไปในเสียง ไปในที่ต่างๆ
เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัวเน้นลงอยู่ที่กาย ไปควบคุมใจควบคุมจิต ใหม่ๆ ก็อึดอัด ความอึดอัดจนถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละ จนแยกได้คลายได้ ถึงจะถึงความโล่งโปร่งถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ รู้แจ้งเห็นจริง รู้ลักษณะของใจ รู้ฐานของใจ รู้การแยกการคลาย อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นในการเข้าสู่วิปัสสนา เราก็ตามดูความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่เลย ให้รู้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ส่วนใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า ‘รู้อนิจจังทุกขังอนัตตา’ในขันธ์ห้า เป็นเรื่องอะไรที่เขาเกิด
ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกมลทินต่างๆ พวกนิวรณธรรมต่างๆ ขณะนี้ใจของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะ มีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง เราก็พยายามหัดรู้จักรู้พิจารณา รู้จักดับรู้จักละ ใจของเราอคติ เพ่งโทษคนโน้นเพ่งโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนั้นว่าเราอย่างนั้นคนนั้นว่าเราอย่างนี้สารพัดอย่าง มลทินต่างๆ ก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็น ยิ่งขุดค้นไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผลเหมือนกับไม่มี ยิ่งเจริญสติเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งขุดค้นไปยิ่งเห็นเยอะ
ลักษณะของใจที่ดิ้นรนเป็นอย่างไร ลักษณะของใจที่ปกติ ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่คลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจของเราปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือว่ากิเลสเกิดขึ้นที่ใจ หรือว่าเหตุจากภายนอกมาทำให้เกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน ทุกเรื่องที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้าในกายของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
เป็นเรื่องสำคัญของทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง เราอย่ายกกายของเราอย่ายกใจของเราไปเป็นภาระให้คนอื่น แม้แต่กายของเราก็เป็นภาระให้กับตัวเรา เราก็ต้องพยายามแก้ไข แก้ไขตัวเรา จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ของความเป็นอยู่ ให้อยู่ดีมีความสุข มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทน มองโลกในทางที่ดี
แนวทางมีอยู่แล้ว ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นมีอยู่แล้ว ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย หลักของอริยสัจเป็นอย่างไร จิตที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร การไปการมาของจิต การไม่ไปการไม่มาของจิต เพียงแค่ความอยากกับไม่อยากกับความเป็นกลาง การคลาย การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนเข้าสู่วิปัสสนา
การทำความเข้าใจ เขาจะเป็นช่วงๆ ของเขาอยู่ ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่องให้เป็นลูกโซ่ เหมือนกับการขึ้นบันไดจนถึงตัวเรือน การเข้าถึงตัวใจของเรา ทีนี้เราจะละกิเลสออกจากใจของเราได้หมดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา การแสวงหาธรรมถ้าหานอกกายไม่เจอ ถ้าจิตยังดิ้นรนแสวงหาอยู่มันก็ปกปิดตัวของเขาเองเอาไว้ เพียงแค่การเกิดเขาก็ปิดบังอำพรางตัวของเขา
เราดับความเกิด ส่วนมากมีตั้งแต่ส่งเสริม จะยินดียินร้ายหรือว่าส่งเสริม อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักของธรรมของความเป็นจริงแล้ว เราต้องคลายใจออกจากความคิด ดับความเกิดของใจ ตามดูขันธ์ห้าละขันธ์ห้า เหลือตั้งแต่สติปัญญาไปใช้ล้วนๆ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข
อยู่กับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ เราจะทิ้งสมมติก็ต่อเมื่อหมดลมหายใจนั่นแหละ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ แต่ก็พยายามน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาให้อยู่ในกองบุญอยู่ในกองกุศล คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็พยายามยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ ถึงจะมีไม่มากเราพยายามยังสมมติของเราให้อยู่ในความบริบูรณ์ ไม่ให้ลำบาก ก็จะส่งผลถึงตัวใจ
หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องค้นคว้าที่จะต้องศึกษา เราพยายามทำไปเรื่อยๆ ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ต้องถึงมะรืนนี้ อย่าไปมองข้ามในบุญในอานิสงส์ ในการสร้างคุณงามความดีแม้แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ