หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 008
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 008
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คำว่าปัจจุบันขณะทุกลมหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เรารู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ใจของเรา ขณะนี้ใจของเราปกติ ขณะนี้ใจของเราสงบ ขณะนี้ใจของเราไม่มีกิเลส อาการของใจเวลาใจปรุงแต่งเป็นอย่างไร เวลากระทบ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นใจของเราเป็นอย่างไร สติเราต้องหมั่นความรู้ตัวเราต้องหมั่นวิเคราะห์ใจของเรา รู้จักควบคุมใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ใหม่ๆ ก็รู้จักการเจริญสติเสียก่อน รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้จักควบคุมใจ ควบคุมใจแล้วก็รู้จักสังเกต สังเกตว่าใจปกติ การเกิดการก่อตัวของใจเราควบคุม เวลาใจเกิดเราควบคุมใจของเราได้ในระดับไหน หรือเวลาเขาเกิดแล้ว ขณะเขาเกิดเขาส่งออกไปทางกายทางวาจาแล้วหรือยัง ถ้าส่งออกไปทางกายทางวาจาเราก็ระงับกายระงับวาจา ลึกลงไประงับต้นเหตุตั้งแต่ตัวใจ พอระงับได้เขาก็สงบ อันนี้เพียงแค่ความรู้ตัวกับใจ หรือว่าสติกับใจ
ในส่วนลึกๆ ใจกับอาการของใจ เขาไปรวมกันได้อีกอย่างไรอีก เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดซึ่งเรียกว่าอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เราก็ต้องดูว่าเขาก่อตัวอย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร แต่ละวันเขามีอยู่แล้วเขาเกิดอยู่แล้ว แต่เราขาดการสังเกตที่ต่อเนื่องเราก็เลยไม่รู้เท่าทันตรงนั้น เพราะว่ากำลังความรู้ตัวของเรามีน้อย ช่วงใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัดสารพัดอย่าง เพราะว่าใจของคนเราชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่ง ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ หลายสิ่งหลายอย่าง
ทุกคนต้องวิเคราะห์ วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเรา แล้วก็ยังสมมติทำความเข้าใจสมมติให้ดี สมมติคือภาระหน้าที่ต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว กายของเรานี่ก็เป็นก้อนสมมติ มีศรัทธา ศรัทธาเต็มเปี่ยมแต่ขาดกำลังสติกำลังปัญญาที่เราจะเข้าไปทำความเข้าใจ ตรงนี้แหละสำคัญมากทีเดียว ทุกคนก็ปรารถนาอยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ ความอยากก็เลยปิดกั้นเอาไว้ ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสังเกตการวิเคราะห์การกระทำของเราด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลให้เต็มเปี่ยม ตรงนี้แหละเอาไปใช้ มีแต่ความขยันหมั่นเพียร ละความเกียจคร้าน ละนิวรณ์
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความปกติ มีความสงบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เสียสละ อดทนอดกลั้น จากเหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้เกิดหรืออดทนอดกลั้นจากภายใน ข้างนอกสมมติต่างๆ ยังไม่บริบูรณ์เราก็ทำให้บริบูรณ์เสีย ภายในเราก็รู้จักละรู้จักดับรู้จักขัดเกลาตลอดเวลา ลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ คำว่านิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง หรือว่ามีความฟุ้งซ่านหรือว่ามีความลังเล ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร
เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วไปทำจนรู้แจ้งเห็นจริงนั่นแหละ จนใจของเราคลายออกจากอาการของใจได้นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ ทีนี้เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวไหนมันจะมาเล่นงานเรา เราก็จะเห็นยิ่งสนุกตามดูตามรู้ตามเห็นลักษณะของใจ
ใจคือความเป็นกลาง ถ้าใจคลายออกใจก็จะว่างก็จะโล่งก็จะโปร่งกายก็จะเบา กายสมมติของเราก็มีอยู่ หมดความสงสัยหมดความลังเล สติก็จะตามค้นคว้าหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา ใจเกิดเราก็รู้จักดับ แล้วก็หนุนกำลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปใช้ อดทนอดกลั้น สติจะช้าเราก็ต้องอดทนอดกลั้น รู้จักสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้
อย่าไปเลือกกาล เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเราต้องเต็มเปี่ยม เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยใจนิ่งรับรู้ไปด้วย ผิดพลาดแก้ไข มีความสุข ประโยชน์สมมติเราก็ทำ ยังประโยชน์สมมติให้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่บ้านที่เรือนที่ทำการที่ทำงาน อยู่ทุกสถานการณ์ทุกที่ ถ้าเรามีสติเป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ถ้าใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ
ถ้าเราชนะใจของเราเราจะชนะได้ทุกอย่าง จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปบริหารสมมติเข้าไปแก้ไขสมมติ มีความสุข ภายในก็มีความสุขสมมติก็มีความสุข จนล้นออกไปสู่สังคมสู่สมมติต่างๆ ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นบุคคลที่ไม่เสียทีเสียเที่ยว ไม่เสียเวลาในการเกิดมาเป็นมนุษย์ พยายามนะ พยายามพากันสร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์สร้างคุณงามความดี
ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย การละกิเลสก็อยู่ที่เรา การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกรูปแยกนามก็อยู่ที่เรา เน้นลงอยู่ที่กายแล้วก็เน้นลงเข้าให้ถึงตัวใจ จุดมุ่งหมายก็อยู่ที่ใจ กายกับใจเขาก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ถ้าเรารู้แนวทางรู้หนทางแล้ว อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดเราก็รู้ใจของเราแก้ไขใจของเรา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้
ช่วงใหม่ๆ สติรู้ตัวของเราของอาจจะพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดินสร้างความรู้ตัว จะทำกับข้าวกับปลา รับประทานข้าวปลาอาหาร ซักเสื้อซักผ้า ประคับประคองสติให้ได้เสียก่อน ถ้าเราประคับประคองสติได้แล้ว ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่แล้ว
ช่วงใหม่ๆ เราก็อาจจะหยุดระงับดับเอาไว้ ก็เป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ใจของเราคลายออกเมื่อไรนั่นแหละใจของเราถึงจะตกกระแสธรรม ทีนี้การทำความเข้าใจก็จะง่ายขึ้นไม่อึดอัด เขาจะต่อสู้กันฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศลอะไรจะมากกว่ากัน ถ้าฝ่ายกุศลมากหนทางธรรมก็จะเปิดทางให้ ถ้าฝ่ายอกุศลยังมากกว่าเขาก็ชนะ เราก็จะเป็นทาสของกิเลสอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องพยายามนะ ทุกๆ คนนั่นแหละ พยายามกัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่าไปทิ้งในการสร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ในโลกนี้ เราทำโลกนี้ให้ดีก็จะส่งผลถึงโลกหน้า วันพรุ่งนี้มี วันมะรืนนี้มีเมื่อวานนี้ก็มี วันนี้ก็จะไปเป็นวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็จะกลายเป็นเมื่อวาน วันนี้มี ภพนี้มีภพหน้ามี ขอให้เรารู้แจ้งเห็นจริงภายในเราก็จะมองเห็นหนทางเดิน
เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงก็จะหมดความสงสัย พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา สอนเรื่องการเกิดการดับ สอนเรื่องไตรลักษณ์ มีหมดนั่นแหละ ถ้าเราเดินให้ถูกวิธีแล้วใจของเราคลายแล้ว เราจะหมดความสงสัย มีตั้งแต่จะทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน พระเราชีเรามาอยู่ด้วยกันก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ยังประโยชน์ให้เต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
เรารู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ใจของเรา ขณะนี้ใจของเราปกติ ขณะนี้ใจของเราสงบ ขณะนี้ใจของเราไม่มีกิเลส อาการของใจเวลาใจปรุงแต่งเป็นอย่างไร เวลากระทบ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นใจของเราเป็นอย่างไร สติเราต้องหมั่นความรู้ตัวเราต้องหมั่นวิเคราะห์ใจของเรา รู้จักควบคุมใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ใหม่ๆ ก็รู้จักการเจริญสติเสียก่อน รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่องแล้วก็รู้จักควบคุมใจ ควบคุมใจแล้วก็รู้จักสังเกต สังเกตว่าใจปกติ การเกิดการก่อตัวของใจเราควบคุม เวลาใจเกิดเราควบคุมใจของเราได้ในระดับไหน หรือเวลาเขาเกิดแล้ว ขณะเขาเกิดเขาส่งออกไปทางกายทางวาจาแล้วหรือยัง ถ้าส่งออกไปทางกายทางวาจาเราก็ระงับกายระงับวาจา ลึกลงไประงับต้นเหตุตั้งแต่ตัวใจ พอระงับได้เขาก็สงบ อันนี้เพียงแค่ความรู้ตัวกับใจ หรือว่าสติกับใจ
ในส่วนลึกๆ ใจกับอาการของใจ เขาไปรวมกันได้อีกอย่างไรอีก เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดซึ่งเรียกว่าอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เราก็ต้องดูว่าเขาก่อตัวอย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร แต่ละวันเขามีอยู่แล้วเขาเกิดอยู่แล้ว แต่เราขาดการสังเกตที่ต่อเนื่องเราก็เลยไม่รู้เท่าทันตรงนั้น เพราะว่ากำลังความรู้ตัวของเรามีน้อย ช่วงใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัดสารพัดอย่าง เพราะว่าใจของคนเราชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่ง ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ หลายสิ่งหลายอย่าง
ทุกคนต้องวิเคราะห์ วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเรา แล้วก็ยังสมมติทำความเข้าใจสมมติให้ดี สมมติคือภาระหน้าที่ต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว กายของเรานี่ก็เป็นก้อนสมมติ มีศรัทธา ศรัทธาเต็มเปี่ยมแต่ขาดกำลังสติกำลังปัญญาที่เราจะเข้าไปทำความเข้าใจ ตรงนี้แหละสำคัญมากทีเดียว ทุกคนก็ปรารถนาอยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ ความอยากก็เลยปิดกั้นเอาไว้ ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสังเกตการวิเคราะห์การกระทำของเราด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลให้เต็มเปี่ยม ตรงนี้แหละเอาไปใช้ มีแต่ความขยันหมั่นเพียร ละความเกียจคร้าน ละนิวรณ์
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความปกติ มีความสงบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เสียสละ อดทนอดกลั้น จากเหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้เกิดหรืออดทนอดกลั้นจากภายใน ข้างนอกสมมติต่างๆ ยังไม่บริบูรณ์เราก็ทำให้บริบูรณ์เสีย ภายในเราก็รู้จักละรู้จักดับรู้จักขัดเกลาตลอดเวลา ลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ คำว่านิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างไร ใจของเรามีความกังวล มีความหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง หรือว่ามีความฟุ้งซ่านหรือว่ามีความลังเล ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร
เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วไปทำจนรู้แจ้งเห็นจริงนั่นแหละ จนใจของเราคลายออกจากอาการของใจได้นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ ทีนี้เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวไหนมันจะมาเล่นงานเรา เราก็จะเห็นยิ่งสนุกตามดูตามรู้ตามเห็นลักษณะของใจ
ใจคือความเป็นกลาง ถ้าใจคลายออกใจก็จะว่างก็จะโล่งก็จะโปร่งกายก็จะเบา กายสมมติของเราก็มีอยู่ หมดความสงสัยหมดความลังเล สติก็จะตามค้นคว้าหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา ใจเกิดเราก็รู้จักดับ แล้วก็หนุนกำลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปใช้ อดทนอดกลั้น สติจะช้าเราก็ต้องอดทนอดกลั้น รู้จักสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้
อย่าไปเลือกกาล เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเราต้องเต็มเปี่ยม เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยใจนิ่งรับรู้ไปด้วย ผิดพลาดแก้ไข มีความสุข ประโยชน์สมมติเราก็ทำ ยังประโยชน์สมมติให้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่บ้านที่เรือนที่ทำการที่ทำงาน อยู่ทุกสถานการณ์ทุกที่ ถ้าเรามีสติเป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ถ้าใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ
ถ้าเราชนะใจของเราเราจะชนะได้ทุกอย่าง จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปบริหารสมมติเข้าไปแก้ไขสมมติ มีความสุข ภายในก็มีความสุขสมมติก็มีความสุข จนล้นออกไปสู่สังคมสู่สมมติต่างๆ ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นบุคคลที่ไม่เสียทีเสียเที่ยว ไม่เสียเวลาในการเกิดมาเป็นมนุษย์ พยายามนะ พยายามพากันสร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์สร้างคุณงามความดี
ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย การละกิเลสก็อยู่ที่เรา การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกรูปแยกนามก็อยู่ที่เรา เน้นลงอยู่ที่กายแล้วก็เน้นลงเข้าให้ถึงตัวใจ จุดมุ่งหมายก็อยู่ที่ใจ กายกับใจเขาก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ถ้าเรารู้แนวทางรู้หนทางแล้ว อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดเราก็รู้ใจของเราแก้ไขใจของเรา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้
ช่วงใหม่ๆ สติรู้ตัวของเราของอาจจะพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดินสร้างความรู้ตัว จะทำกับข้าวกับปลา รับประทานข้าวปลาอาหาร ซักเสื้อซักผ้า ประคับประคองสติให้ได้เสียก่อน ถ้าเราประคับประคองสติได้แล้ว ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่แล้ว
ช่วงใหม่ๆ เราก็อาจจะหยุดระงับดับเอาไว้ ก็เป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ใจของเราคลายออกเมื่อไรนั่นแหละใจของเราถึงจะตกกระแสธรรม ทีนี้การทำความเข้าใจก็จะง่ายขึ้นไม่อึดอัด เขาจะต่อสู้กันฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศลอะไรจะมากกว่ากัน ถ้าฝ่ายกุศลมากหนทางธรรมก็จะเปิดทางให้ ถ้าฝ่ายอกุศลยังมากกว่าเขาก็ชนะ เราก็จะเป็นทาสของกิเลสอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องพยายามนะ ทุกๆ คนนั่นแหละ พยายามกัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่าไปทิ้งในการสร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ในโลกนี้ เราทำโลกนี้ให้ดีก็จะส่งผลถึงโลกหน้า วันพรุ่งนี้มี วันมะรืนนี้มีเมื่อวานนี้ก็มี วันนี้ก็จะไปเป็นวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็จะกลายเป็นเมื่อวาน วันนี้มี ภพนี้มีภพหน้ามี ขอให้เรารู้แจ้งเห็นจริงภายในเราก็จะมองเห็นหนทางเดิน
เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงก็จะหมดความสงสัย พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา สอนเรื่องการเกิดการดับ สอนเรื่องไตรลักษณ์ มีหมดนั่นแหละ ถ้าเราเดินให้ถูกวิธีแล้วใจของเราคลายแล้ว เราจะหมดความสงสัย มีตั้งแต่จะทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน พระเราชีเรามาอยู่ด้วยกันก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ยังประโยชน์ให้เต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ