หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 010
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 010
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำจิตของเราให้สงบทำกายของเราให้สบาย นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือก็ได้
หยุดคิด ดับความคิดดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ที่เกิดจากจิตของเราด้วยการระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกสัมผัสที่ลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เป็นการสร้างความรู้สึกตัว
ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกอิริยาบถ ตราบใดที่เรายังไม่หลับ สติระลึกรู้ตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น ส่วนจิตของเรานั้นบางทีเขาก็ส่งไปภายนอก บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็มีสติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ ใหม่ๆ กําลังสติของเราอาจจะมีน้อย เพียงแค่เราสร้างความรู้ตัวแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง พวกเรายังไม่มีความเพียรกันตรงนี้
ส่วนการฝักใฝ่การสนใจที่จะแสวงหาความดับทุกข์หาความหลุดพ้น ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ตรงนั้นมีอยู่ แต่เราไม่มีวิธีที่จะเข้าไปเสาะแสวงหาตรงนี้ มีตั้งแต่ใช้ปัญญาเก่า ปัญญาโลกิยะ ปัญญาที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจกับปัญญาตัวนี้ได้
เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาสร้างสติ สร้างความระลึกรู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตเข้าไปรู้ให้ทันการเกิดการดับของจิต เรารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ก่อนที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ วิบากกรรมต่างๆ เขาก็ปิดกั้นเอาไว้เยอะอยู่เหมือนกัน เขาก็ไม่อยากจะให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ กว่าจะปลีกตัวหาเวลา กว่าจะปลีกตัวมาทำความเข้าใจได้ วิบากกรรมต่างๆ ก็ฉุดรั้งเอาไว้ บางทีก็ภาระหน้าที่การงานบ้าง บางทีก็ครอบครัวบ้าง บางทีก็ลูกก็หลานบ้างสารพัดเรื่อง ที่เขาจะมาฉุดรั้งดวงจิตของเราเอาไว้
พวกเรานับว่าเป็นบุคคลที่โชคดี ยังหาโอกาสหาเวลาพากันมาฝึกฝนตนเอง ได้ทำการทำงานผ่านการศึกษาผ่านการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบ ผ่านหนาวผ่านร้อน ผ่านทุกข์ผ่านสุขกันมา มีความรับผิดชอบในภาระหน้าที่การงาน แล้วก็มีโอกาสเสียสละเวลาภายนอกมาศึกษาเรื่องภายใน เรื่องจิตของตัวเรา แล้วก็มีเจ้านายที่ดีที่ฝักใฝ่สนใจในธรรม ชาวคณะโรงปูนท่าหลวง ท่านก็ได้พากันมาศึกษามาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเรา
พากันมาหลายหมู่หลายคณะซึ่งท่านหัวหน้าใหญ่ ท่านธีระ ท่านก็เสียสละเวลาให้ทำบุญให้กับบริวารทำบุญให้กับลูกน้อง ได้มาฝึกหัดได้มาขัดเกลาตัวเอง หาเวลาได้มาพักผ่อน กายก็ได้พักผ่อนจากภาระหน้าที่การงาน
ทีนี้ทางด้านจิตเขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไรมาอย่างไร เรามาหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเรา เรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่ เรามีความเสียสละมีความอดทน มองโลกในทางที่ดีคิดดี เราผิดพลาดตรงไหนเราก็รีบแก้ไขเสีย แก้ไขให้ดี แก้ไขตัวเราแก้ไขสมมติแก้ไขในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่แก้ไขด้วยอารมณ์ แก้ไขด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา จากน้อยๆ ไปหามากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ว่าจะรีบเร่งด้วยจิตที่เกิดจากความทะเยอทะยานอยากเกิดอารมณ์อย่างเดียว เราพยายามทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล
อะไรคือจิต อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกเรายังไม่ค่อยจะได้สร้างกัน จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเรื่องอะไรบ้าง เราขาดการสํารวจ
ตราบใดที่เรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ไม่ได้ เราก็จะว่าเราไม่หลง ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ ถ้าเราสังเกตจนจิตของเราแยกออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถึงเราไม่หลง ถึงเรายังแยกไม่ได้ ก็อย่าเอาทิฏฐิความคิดเห็นที่เกิดจากจิตเกิดจากปัญญาเก่าขึ้นมาโต้แย้ง ให้เราพยายามดับพยายามอดพยายามข่มพยายามฝืน
รู้จักสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักสังเกตรู้จักวิเคราะห์จนกว่ากําลังสติของเราจะมีมาก เข้าไปรู้ตามดู เห็นตามสภาพความเป็นจริงได้นั่นแหละ เราถึงจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ ขณะนี้เราทำอะไร จิตของเรายังนิ่งอยู่ไหม ความปกตินั้นเป็นลักษณะอย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างไร เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าดู
มองน้อมเข้าไปภายในบ่อยๆ มองน้อมเข้าไปดูที่ฐานของจิต เวลาจิตเกิดจิตส่งออกไปข้างนอก ส่วนมากเรื่องใหญ่ๆ เราถึงจะรู้ตัว ไอ้ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาวิ่งไปวิ่งมาที่เขาก่อตัวเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ถ้าเราหมั่นสังเกตดูอยู่บ่อยๆ จะสนุก อยู่คนเดียวก็สนุกอยู่หลายคนก็สนุก สนุกในการทำในการศึกษาในการค้นคว้า เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงมาแสวงหาแนวทาง
แนวทางนั้นมีอยู่มีอยู่ประจำโลก พระพุทธองค์ท่านได้มาค้นพบแล้วก็นำมาเปิดเผยจําแนกแจกแจงให้พวกเราสัตว์โลกได้เดินตามกัน ด้วยการเจริญพรหมวิหารสร้างตบะสร้างบารมี เรามีศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วประพฤติปฏิบัติตามคําสอนของท่าน
ท่านบอกให้ละกิเลสละความโลภละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก จิตใจของเรามีความโลภมีความโกรธหรือไม่ ถ้ามีเราก็รู้จักดับรู้จักละรู้จักให้อภัยทาน จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความเห็นผิด เราก็พยายามละความเห็นผิด สร้างความเห็นถูกขึ้นมา หรือว่าสร้างสัมมาทิฏฐิ ดำริชอบ พูดจาชอบ การงานชอบ สติชอบระลึกชอบในทางที่ชอบ อะไรที่เป็นอกุศลเราก็พยามละ อะไรที่เป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ
เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราต้องสร้างสติเข้าไปพร่ำสอนจิตของเรา แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดอยู่ จิตของเรายังหลงอยู่ เราต้องคลายความหลงคลายโมหะออกจากจิตของเราให้ได้เสียก่อน มองเห็นทางแล้วเราก็จะหมดหนทางที่จะโต้แย้ง ถ้าจิตของเราโล่งโปร่งว่าง ว่างจากขันธ์ห้าว่างจากความคิดว่างจากอารมณ์
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวกับการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังทำไม่ชำนาญกัน แต่การฝักใฝ่ในบุญ ทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญกันหมด อย่าไปปิดกั้นตนเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา เรามีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ กายของเรานี่แหละก้อนกรรม กายของเรานี่แหละก้อนธรรม จิตของเรานี่แหละองค์ธรรม
แต่เวลานี้จิตของเรายังไม่ตกกระแสธรรม จิตของเรายังวิ่งไปกับโลกเขาอยู่ ยังมีความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วยยินดียินร้ายด้วย มีความยึดมั่นถือมั่นเข้าไปอีกด้วย ยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ในส่วนลึกๆ ก็คือยึดมั่นในความคิดยึดมั่นในขันธ์ห้าของตัวเอง
คำว่า ‘ขันธ์ห้า’ นั้นเขาเป็นลักษณะอาการอย่างไร หน้าตาอย่างไร การเกิดการดับเรารู้ตั้งแต่เขาก่อตัว เขาเริ่มต้นเขาตั้งอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่คนขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากเราก็ปล่อยเลยตามเลย เอาความคิดเก่าเอาปัญญาเก่าๆ ถึงอาจจะถูกอยู่ก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ ถูกอยู่ในระดับของกุศล แต่ยังที่จะเข้าไปคลายแล้วก็เข้าไปดับทุกข์ที่จิตไม่ได้เลย เพราะจิตของเรายังเกิดด้วย ยังยึดด้วย ยังหลงด้วยอยู่
ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ความหลงตรงนี้ แต่ก็อย่าไปน้อยใจ เราพยายามขยันหมั่นเพียร ถ้าถึงวาระเวลาเราก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ยังแสวงหาอยู่ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราเริ่มต้นปลูกเราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นรดน้ำหมั่นพรวนดินหมั่นดูแลเขา ถ้าเขาเติบโตขึ้นมา เราไม่อยากได้ดอกได้ผลเราก็ได้
การประพฤติปฏิบัติธรรม หรือประพฤติปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราค่อยทำค่อยเป็น จากวันเป็นเดือนเป็นปี ไปสร้างสะสมบุญสร้างสะสมอานิสงส์บุญบารมีของเรา อะไรควรละอะไรควรเจริญ รู้จักสำรวจรู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา
อยู่คนเดียวก็พิจารณาตัวเราพิจารณาจิตของเรา แก้ไขจิตของเรา ปรับปรุงจิตของเรา อยู่หลายคนแล้วก็ดูเรามีความรับผิดชอบต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบคนโน้นไม่เอารัดเอาเปรียบคนนี้ มองโลกในทางที่ดี เพียงแค่คิด เรารู้จักสำรวมได้ระดับไหน ระดับกายระดับวาจา แล้วก็ระดับจิต ตราบใดที่เราแสวงหา เราก็ย่อมจะรู้ความเป็นจริงในชีวิตของเรา
ญาติโยมที่มาจากสระบุรีมาจากโรงปูน มาถึงที่วัดก็เหมือนกลับมาบ้านของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหมือนกับได้มาบ้านของเรา อะไรขาดตกบกพร่องก็ให้ช่วยกัน อย่าไปกังวลอย่าไปลังเลอย่าไปฟุ้งซ่าน มีอะไรก็ให้ช่วยกันเข้า กับข้าวกับปลาโรงครัวก็ให้ช่วยกัน
เราได้มาพักผ่อนได้วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านแล้วก็วางมาแล้ว ทีนี้ทางด้านจิตเราก็มาดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านออกไปเสีย อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวม มีความรับผิดชอบมีความเสียสละ หัดเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร
ตื่นขึ้นมาเราก็วิเคราะห์ทั้งภายนอกวิเคราะห์ทั้งภายในอยู่ตลอดเวลา อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีค่ามีประโยชน์ ทำไปฝึกไป เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เอาการงานเป็นการฝึก ขณะที่เราทำเราก็น้อมเข้าไปดูจิตของเราว่านิ่งไหมสงบไหม ตากระทบรูปจิตก็ยังปกติอยู่ หูกระทบเสียงจิตก็ยังปกติอยู่
เราต้องเข้าใจความหมายในการฝึก คำว่า ‘สติระลึกรู้ตัว’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ‘จิตปกติ’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ’จิตเกิด จิตก่อตัว’ เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เขาไปอย่างไรมาอย่างไร ถ้าเราฝึกแบบไม่รู้ความหมายเหมือนกับเรือไม่มีคนขับเคว้งคว้างไปทั่ว ก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ใหม่ๆ เราก็อาจจะไม่เข้าใจ เราอาจจะอึดอัดบ้างก็เป็นธรรมดา เพราะว่าจิตถ้าไม่ได้ฝึก ถ้ามาโดนฝึกแล้วเขาจะอึดอัด ยิ่งฝึกมากเข้าไปยิ่งเจริญสติมากเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งทำความเข้าใจแล้ว รู้ความจริงแล้วค่อยละ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเรื่องหาราวมาฉุดมารั้งจนได้นั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
หยุดคิด ดับความคิดดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ที่เกิดจากจิตของเราด้วยการระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกสัมผัสที่ลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เป็นการสร้างความรู้สึกตัว
ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกอิริยาบถ ตราบใดที่เรายังไม่หลับ สติระลึกรู้ตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น ส่วนจิตของเรานั้นบางทีเขาก็ส่งไปภายนอก บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็มีสติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ ใหม่ๆ กําลังสติของเราอาจจะมีน้อย เพียงแค่เราสร้างความรู้ตัวแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง พวกเรายังไม่มีความเพียรกันตรงนี้
ส่วนการฝักใฝ่การสนใจที่จะแสวงหาความดับทุกข์หาความหลุดพ้น ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ตรงนั้นมีอยู่ แต่เราไม่มีวิธีที่จะเข้าไปเสาะแสวงหาตรงนี้ มีตั้งแต่ใช้ปัญญาเก่า ปัญญาโลกิยะ ปัญญาที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจกับปัญญาตัวนี้ได้
เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาสร้างสติ สร้างความระลึกรู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตเข้าไปรู้ให้ทันการเกิดการดับของจิต เรารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ก่อนที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ วิบากกรรมต่างๆ เขาก็ปิดกั้นเอาไว้เยอะอยู่เหมือนกัน เขาก็ไม่อยากจะให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ กว่าจะปลีกตัวหาเวลา กว่าจะปลีกตัวมาทำความเข้าใจได้ วิบากกรรมต่างๆ ก็ฉุดรั้งเอาไว้ บางทีก็ภาระหน้าที่การงานบ้าง บางทีก็ครอบครัวบ้าง บางทีก็ลูกก็หลานบ้างสารพัดเรื่อง ที่เขาจะมาฉุดรั้งดวงจิตของเราเอาไว้
พวกเรานับว่าเป็นบุคคลที่โชคดี ยังหาโอกาสหาเวลาพากันมาฝึกฝนตนเอง ได้ทำการทำงานผ่านการศึกษาผ่านการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบ ผ่านหนาวผ่านร้อน ผ่านทุกข์ผ่านสุขกันมา มีความรับผิดชอบในภาระหน้าที่การงาน แล้วก็มีโอกาสเสียสละเวลาภายนอกมาศึกษาเรื่องภายใน เรื่องจิตของตัวเรา แล้วก็มีเจ้านายที่ดีที่ฝักใฝ่สนใจในธรรม ชาวคณะโรงปูนท่าหลวง ท่านก็ได้พากันมาศึกษามาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเรา
พากันมาหลายหมู่หลายคณะซึ่งท่านหัวหน้าใหญ่ ท่านธีระ ท่านก็เสียสละเวลาให้ทำบุญให้กับบริวารทำบุญให้กับลูกน้อง ได้มาฝึกหัดได้มาขัดเกลาตัวเอง หาเวลาได้มาพักผ่อน กายก็ได้พักผ่อนจากภาระหน้าที่การงาน
ทีนี้ทางด้านจิตเขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไรมาอย่างไร เรามาหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเรา เรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่ เรามีความเสียสละมีความอดทน มองโลกในทางที่ดีคิดดี เราผิดพลาดตรงไหนเราก็รีบแก้ไขเสีย แก้ไขให้ดี แก้ไขตัวเราแก้ไขสมมติแก้ไขในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่แก้ไขด้วยอารมณ์ แก้ไขด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา จากน้อยๆ ไปหามากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ว่าจะรีบเร่งด้วยจิตที่เกิดจากความทะเยอทะยานอยากเกิดอารมณ์อย่างเดียว เราพยายามทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล
อะไรคือจิต อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกเรายังไม่ค่อยจะได้สร้างกัน จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเรื่องอะไรบ้าง เราขาดการสํารวจ
ตราบใดที่เรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ไม่ได้ เราก็จะว่าเราไม่หลง ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ ถ้าเราสังเกตจนจิตของเราแยกออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถึงเราไม่หลง ถึงเรายังแยกไม่ได้ ก็อย่าเอาทิฏฐิความคิดเห็นที่เกิดจากจิตเกิดจากปัญญาเก่าขึ้นมาโต้แย้ง ให้เราพยายามดับพยายามอดพยายามข่มพยายามฝืน
รู้จักสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักสังเกตรู้จักวิเคราะห์จนกว่ากําลังสติของเราจะมีมาก เข้าไปรู้ตามดู เห็นตามสภาพความเป็นจริงได้นั่นแหละ เราถึงจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ ขณะนี้เราทำอะไร จิตของเรายังนิ่งอยู่ไหม ความปกตินั้นเป็นลักษณะอย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างไร เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าดู
มองน้อมเข้าไปภายในบ่อยๆ มองน้อมเข้าไปดูที่ฐานของจิต เวลาจิตเกิดจิตส่งออกไปข้างนอก ส่วนมากเรื่องใหญ่ๆ เราถึงจะรู้ตัว ไอ้ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาวิ่งไปวิ่งมาที่เขาก่อตัวเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ถ้าเราหมั่นสังเกตดูอยู่บ่อยๆ จะสนุก อยู่คนเดียวก็สนุกอยู่หลายคนก็สนุก สนุกในการทำในการศึกษาในการค้นคว้า เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงมาแสวงหาแนวทาง
แนวทางนั้นมีอยู่มีอยู่ประจำโลก พระพุทธองค์ท่านได้มาค้นพบแล้วก็นำมาเปิดเผยจําแนกแจกแจงให้พวกเราสัตว์โลกได้เดินตามกัน ด้วยการเจริญพรหมวิหารสร้างตบะสร้างบารมี เรามีศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วประพฤติปฏิบัติตามคําสอนของท่าน
ท่านบอกให้ละกิเลสละความโลภละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก จิตใจของเรามีความโลภมีความโกรธหรือไม่ ถ้ามีเราก็รู้จักดับรู้จักละรู้จักให้อภัยทาน จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความเห็นผิด เราก็พยายามละความเห็นผิด สร้างความเห็นถูกขึ้นมา หรือว่าสร้างสัมมาทิฏฐิ ดำริชอบ พูดจาชอบ การงานชอบ สติชอบระลึกชอบในทางที่ชอบ อะไรที่เป็นอกุศลเราก็พยามละ อะไรที่เป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ
เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราต้องสร้างสติเข้าไปพร่ำสอนจิตของเรา แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดอยู่ จิตของเรายังหลงอยู่ เราต้องคลายความหลงคลายโมหะออกจากจิตของเราให้ได้เสียก่อน มองเห็นทางแล้วเราก็จะหมดหนทางที่จะโต้แย้ง ถ้าจิตของเราโล่งโปร่งว่าง ว่างจากขันธ์ห้าว่างจากความคิดว่างจากอารมณ์
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวกับการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังทำไม่ชำนาญกัน แต่การฝักใฝ่ในบุญ ทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญกันหมด อย่าไปปิดกั้นตนเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา เรามีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ กายของเรานี่แหละก้อนกรรม กายของเรานี่แหละก้อนธรรม จิตของเรานี่แหละองค์ธรรม
แต่เวลานี้จิตของเรายังไม่ตกกระแสธรรม จิตของเรายังวิ่งไปกับโลกเขาอยู่ ยังมีความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วยยินดียินร้ายด้วย มีความยึดมั่นถือมั่นเข้าไปอีกด้วย ยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ในส่วนลึกๆ ก็คือยึดมั่นในความคิดยึดมั่นในขันธ์ห้าของตัวเอง
คำว่า ‘ขันธ์ห้า’ นั้นเขาเป็นลักษณะอาการอย่างไร หน้าตาอย่างไร การเกิดการดับเรารู้ตั้งแต่เขาก่อตัว เขาเริ่มต้นเขาตั้งอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่คนขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากเราก็ปล่อยเลยตามเลย เอาความคิดเก่าเอาปัญญาเก่าๆ ถึงอาจจะถูกอยู่ก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ ถูกอยู่ในระดับของกุศล แต่ยังที่จะเข้าไปคลายแล้วก็เข้าไปดับทุกข์ที่จิตไม่ได้เลย เพราะจิตของเรายังเกิดด้วย ยังยึดด้วย ยังหลงด้วยอยู่
ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ความหลงตรงนี้ แต่ก็อย่าไปน้อยใจ เราพยายามขยันหมั่นเพียร ถ้าถึงวาระเวลาเราก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ยังแสวงหาอยู่ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราเริ่มต้นปลูกเราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นรดน้ำหมั่นพรวนดินหมั่นดูแลเขา ถ้าเขาเติบโตขึ้นมา เราไม่อยากได้ดอกได้ผลเราก็ได้
การประพฤติปฏิบัติธรรม หรือประพฤติปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราค่อยทำค่อยเป็น จากวันเป็นเดือนเป็นปี ไปสร้างสะสมบุญสร้างสะสมอานิสงส์บุญบารมีของเรา อะไรควรละอะไรควรเจริญ รู้จักสำรวจรู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา
อยู่คนเดียวก็พิจารณาตัวเราพิจารณาจิตของเรา แก้ไขจิตของเรา ปรับปรุงจิตของเรา อยู่หลายคนแล้วก็ดูเรามีความรับผิดชอบต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบคนโน้นไม่เอารัดเอาเปรียบคนนี้ มองโลกในทางที่ดี เพียงแค่คิด เรารู้จักสำรวมได้ระดับไหน ระดับกายระดับวาจา แล้วก็ระดับจิต ตราบใดที่เราแสวงหา เราก็ย่อมจะรู้ความเป็นจริงในชีวิตของเรา
ญาติโยมที่มาจากสระบุรีมาจากโรงปูน มาถึงที่วัดก็เหมือนกลับมาบ้านของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหมือนกับได้มาบ้านของเรา อะไรขาดตกบกพร่องก็ให้ช่วยกัน อย่าไปกังวลอย่าไปลังเลอย่าไปฟุ้งซ่าน มีอะไรก็ให้ช่วยกันเข้า กับข้าวกับปลาโรงครัวก็ให้ช่วยกัน
เราได้มาพักผ่อนได้วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านแล้วก็วางมาแล้ว ทีนี้ทางด้านจิตเราก็มาดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านออกไปเสีย อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวม มีความรับผิดชอบมีความเสียสละ หัดเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร
ตื่นขึ้นมาเราก็วิเคราะห์ทั้งภายนอกวิเคราะห์ทั้งภายในอยู่ตลอดเวลา อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีค่ามีประโยชน์ ทำไปฝึกไป เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เอาการงานเป็นการฝึก ขณะที่เราทำเราก็น้อมเข้าไปดูจิตของเราว่านิ่งไหมสงบไหม ตากระทบรูปจิตก็ยังปกติอยู่ หูกระทบเสียงจิตก็ยังปกติอยู่
เราต้องเข้าใจความหมายในการฝึก คำว่า ‘สติระลึกรู้ตัว’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ‘จิตปกติ’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ’จิตเกิด จิตก่อตัว’ เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เขาไปอย่างไรมาอย่างไร ถ้าเราฝึกแบบไม่รู้ความหมายเหมือนกับเรือไม่มีคนขับเคว้งคว้างไปทั่ว ก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ใหม่ๆ เราก็อาจจะไม่เข้าใจ เราอาจจะอึดอัดบ้างก็เป็นธรรมดา เพราะว่าจิตถ้าไม่ได้ฝึก ถ้ามาโดนฝึกแล้วเขาจะอึดอัด ยิ่งฝึกมากเข้าไปยิ่งเจริญสติมากเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งทำความเข้าใจแล้ว รู้ความจริงแล้วค่อยละ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเรื่องหาราวมาฉุดมารั้งจนได้นั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา