หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 004
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 004
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราน้อมเข้าไปสำรวจกายสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง จะลุกจะก้าวจะเดินจิตของเรายังนิ่งอยู่หรือไม่ จิตของเรานิ่งรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เราเข้าไปทำ การเกิดของจิต การเกิดของอาการของขันธ์ห้ากับจิตเข้าไปรวมกันได้อย่างไร
เราหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาหมั่นน้อมเข้าไปดู การสร้างความรู้สึกรับรู้สติความรู้สึกรับรู้ของเรายังมีไม่มากเราก็สร้าง เราก็รู้จักรักษา ให้อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายบ้าง ให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราไปสักกี่เรื่อง เราควบคุมจิตของเราได้ไหม เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน ได้ตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว หรือว่าได้ช่วงครึ่งช่วงกลางช่วงปลาย แม้ตั้งแต่ความรู้สึกตัวเราสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาที 10 นาทีแล้วหรือยัง
ตามความเป็นจริงต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอริยาบถ ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้าเราสร้างได้ถึงขนาดนั้น เวลาจิตจะก่อตัวจิตจะเกิดเราก็รู้เท่าทัน จิตจะเริ่มก่อตัวเริ่มคิด เราก็รู้จักดับตั้งแต่ความคิด ไม่ให้ออกทางกายไม่ให้ออกทางวาจา แม้แต่ความคิดก็ไม่รู้จักระงับไม่รู้จักดับ แม้แต่วาจาก็ไม่รู้จักระงับไม่รู้จักดับ มันจะไปเข้าใจในหลักธรรมได้อย่างไร
ความคิดอะไร เป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล เราก็ต้องตรวจตราดูเสียก่อน ลึกลงไป ไม่ให้จิตของเราคิดเลยแหละ ไม่ให้จิตของเราส่งออกไปภายนอกเลยแหละ เป็นปัญญาเป็นสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่ไปทำหน้าที่แทนไปคิดแทน แม้แต่ความคิดที่เกิดจากสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละให้ดับอีก ให้คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ มองในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
คนทั่วไปสติก็ไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่อง การควบคุมจิตมีได้เป็นบางครั้ง การควบคุมกายควบคุมวาจา แม้ตั้งแต่วาจา บางทีก็เป็นทุกข์เป็นโทษ ไปว่าคนนั้นไปอคติคนนี้ ไปเพ่งโทษคนโน้นไปว่าคนโน้นเสียๆ หายๆ อย่างนี้ก็ไม่ดี เราก็ต้องพยายาม แม้แต่วาจาของเราก็ไม่ให้เป็นวิบากเป็นกรรม ไปทิ่มแทงคนโน้นไปทิ่มแทงคนนี้ เราก็รู้จัก สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์เราก็ค่อยพูด สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด ลึกลงไปสิ่งไหนที่ควรคิดหรือไม่ควรคิด
อะไรคือความสงบ อะไรคือความเป็นกลาง อะไรคือความว่าง ทุกคนก็อยากจะได้รับความสงบความสุขกันหมดทุกคนนั่นแหละ ถึงได้พากันมาฝึกหัดปฏิบัติ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นกิเลสมันเกิดขึ้นมาเยอะ เห็นความคิดเห็นทิฏฐิเห็นมานะสารพัดอย่าง
จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่การดับการละการควบคุมไม่มี มันก็ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะได้ ไปมองตั้งแต่ภายนอก วิ่งวุ่นกันตั้งแต่เรื่องของคนอื่นเขาแทนที่จะมาดูเรื่องของตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ทำภาระหน้าที่การงานให้ดี อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเรามีความรับผิดชอบกับตัวเราเอง มีความเสียสละมีความขยันหมั่นเพียร
ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ทุกคนก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านสุขมากัน เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปิดกั้นตนเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา
ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองไม่แก้ไขตัวเอง จะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ในป่าในเขา อยู่คนเดียว ถ้าไม่รู้จักการสำรวจตรวจตราดูตัวเราเอง ถึงจะปฏิบัติคร่ำเคร่งถึงขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ ก็คงจะปฏิบัติคร่ำเคร่งอยู่ได้เพียงแค่รูปกาย
ทางด้านจิตไม่รู้จักดับไม่รู้จักคลายรู้จักแยก ไม่ลึกซึ้งเข้าถึงธรรมชาติของจิต รอบรู้ในธรรมชาติของจิต รอบรู้ในธรรมชาติของกาย รอบรู้ในธรรมชาติของโลกสมมติ โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญสุขทุกข์เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น
เรามาดูรู้อาการการเกิดการดับ รู้ต้นเหตุ สาวลงไปหาต้นเหตุของเขาเสียแล้วค่อยดับค่อยแก้ แก้ทีละเล็กแก้ทีละน้อย เรารู้ต้นเหตุไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ให้ติดเป็นนิสัย แม้ตั้งแต่การสร้างความระลึกรู้สร้างความรู้สึกรับรู้กายของเรา เราก็พยายามสร้าง แล้วก็รู้จักรักษา เพียงแค่สติตัวนี้แหละเราก็ยังไม่รู้จักรักษาให้ต่อเนื่องกัน
จะไปแสวงหาเอาตั้งแต่ธรรม เอาตั้งแต่ธรรม อะไรคือธรรม ก็ตัวจิตนั่นแหละ เวลานี้เขายังเกิดด้วย เขาก็ยังปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกด้วย แล้วก็หลงด้วย ไม่ใช่ว่าเขาจะคลายได้ง่ายๆ กว่ากําลังสติของเราจะไปหาเหตุหาผลกว่ากําลังสติของเราจะรู้เท่าทัน จนกว่าจิตของเราจะแยกออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนามได้ กว่ากําลังสติของเราจะตามทำความเข้าใจ ละกิเลสได้ จนกว่าเขาจะยอมรับความเป็นจริงได้ เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น
เรามีความเสียสละอย่างเต็มที่ไหม เสียสละออกหมดจากจิตจากใจของเรานั่นแหละ เสียสละกระทั่งทิฏฐิมานะความคิดเห็นที่เกิดจากจิต เสียสละความโลภความโกรธความอยาก แม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นจากจิตของเรา
คนทั่วไปทั้งอยากด้วยทั้งหวังด้วย ไม่รู้การระงับดับความคิด ไม่รู้จักการระงับวาจา มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละมีความอดทน หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาพร่ำสอนตัวเราเองหรอก บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญา ตื่นขึ้นมาเราจะรีบแก้ไขตัวเรา
การสร้างสติการดับการควบคุมเป็นอย่างนี้ จิตที่สงบเป็นอย่างนี้ ภาระหน้าที่การงานของเราราบรื่นไหม เรียบร้อยไหม มันผิดพลาดตรงไหนก็ได้รีบแก้ไขจากน้อยๆ ไปหามากๆ ไม่ได้รอกาลรอเวลา ภายนอกบริบูรณ์ก็ส่งผลถึงข้างใน
อันนี้เราจะไปวิ่งหาตั้งแต่ภายนอกกันก็ยิ่งห่างไกล เราก็น้อมดูภายใน แล้วก็ทำข้างนอกด้วยข้างในด้วย ข้างนอกด้วยข้างในด้วยจนเป็นอัตโนมัติจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริง จนจิตของเรารับรู้รับทราบ แต่ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
จิตนี้ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาจริงๆ เขาก็เกิดด้วยเขาก็วิ่งด้วยเขาก็หลง เพราะว่าเขาอยู่เขาหลงมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์แล้วที่หลงวนเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราศึกษาให้ละเอียดจริงๆ เราจะรู้ความเป็นจริงในชีวิตของเรา ร่างกายของเรา อัตภาพร่างกายของเรานี่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าให้ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ กว่าเขาจะแตกจะดับ เหนื่อยหน่ายอยู่เหมือนกันกับการดูแลรักษาสภาพกายจนกว่าเขาจะแตกจะดับ
แต่เราก็ต้องดูแลรักษาเขา ถึงเวลาเขาก็แตกก็ดับเองนั่นแหละ ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ยากที่จะแตกจะดับ ขณะที่เขายังมีลมหายใจเราก็ต้องดูแลรักษาเขา ทำความเข้าใจกับเขา อันนี้ก็เป็นภาระที่หนักอยู่เหมือนกัน หนักตัวเราเองแล้วก็ไปหนักภาระความรับผิดชอบต่อส่วนรวมส่วนกว้างทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าต่างคนต่างมีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักหน้าที่ของตัวเราเอง อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสงบความสุข พวกเรามีโอกาสก็ได้มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ร่วมกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีมีโอกาสก็ได้มาช่วยกันหมด
ยิ่งเรามาอยู่ร่วมกันก็พยายามรู้จักระงับ รู้จักดับรู้จักควบคุมความคิด ควบคุมจิตควบคุมกายควบคุมวาจา อะไรควรพูดอะไรควรคิดอะไรควรพิจารณา อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ อะไรเป็นทุกข์อะไรเป็นโทษ วาจาเป็นโทษไหมเป็นประโยชน์ไหม
เพียงแค่ระดับทางวาจาก็ยังไม่รู้จักรักษากัน จะไปรักษาจิตได้อย่างไรกัน เราก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างไปสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
เราหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาหมั่นน้อมเข้าไปดู การสร้างความรู้สึกรับรู้สติความรู้สึกรับรู้ของเรายังมีไม่มากเราก็สร้าง เราก็รู้จักรักษา ให้อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายบ้าง ให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราไปสักกี่เรื่อง เราควบคุมจิตของเราได้ไหม เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน ได้ตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว หรือว่าได้ช่วงครึ่งช่วงกลางช่วงปลาย แม้ตั้งแต่ความรู้สึกตัวเราสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาที 10 นาทีแล้วหรือยัง
ตามความเป็นจริงต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอริยาบถ ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้าเราสร้างได้ถึงขนาดนั้น เวลาจิตจะก่อตัวจิตจะเกิดเราก็รู้เท่าทัน จิตจะเริ่มก่อตัวเริ่มคิด เราก็รู้จักดับตั้งแต่ความคิด ไม่ให้ออกทางกายไม่ให้ออกทางวาจา แม้แต่ความคิดก็ไม่รู้จักระงับไม่รู้จักดับ แม้แต่วาจาก็ไม่รู้จักระงับไม่รู้จักดับ มันจะไปเข้าใจในหลักธรรมได้อย่างไร
ความคิดอะไร เป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล เราก็ต้องตรวจตราดูเสียก่อน ลึกลงไป ไม่ให้จิตของเราคิดเลยแหละ ไม่ให้จิตของเราส่งออกไปภายนอกเลยแหละ เป็นปัญญาเป็นสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่ไปทำหน้าที่แทนไปคิดแทน แม้แต่ความคิดที่เกิดจากสติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละให้ดับอีก ให้คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ มองในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
คนทั่วไปสติก็ไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่อง การควบคุมจิตมีได้เป็นบางครั้ง การควบคุมกายควบคุมวาจา แม้ตั้งแต่วาจา บางทีก็เป็นทุกข์เป็นโทษ ไปว่าคนนั้นไปอคติคนนี้ ไปเพ่งโทษคนโน้นไปว่าคนโน้นเสียๆ หายๆ อย่างนี้ก็ไม่ดี เราก็ต้องพยายาม แม้แต่วาจาของเราก็ไม่ให้เป็นวิบากเป็นกรรม ไปทิ่มแทงคนโน้นไปทิ่มแทงคนนี้ เราก็รู้จัก สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์เราก็ค่อยพูด สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด ลึกลงไปสิ่งไหนที่ควรคิดหรือไม่ควรคิด
อะไรคือความสงบ อะไรคือความเป็นกลาง อะไรคือความว่าง ทุกคนก็อยากจะได้รับความสงบความสุขกันหมดทุกคนนั่นแหละ ถึงได้พากันมาฝึกหัดปฏิบัติ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นกิเลสมันเกิดขึ้นมาเยอะ เห็นความคิดเห็นทิฏฐิเห็นมานะสารพัดอย่าง
จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่การดับการละการควบคุมไม่มี มันก็ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะได้ ไปมองตั้งแต่ภายนอก วิ่งวุ่นกันตั้งแต่เรื่องของคนอื่นเขาแทนที่จะมาดูเรื่องของตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ทำภาระหน้าที่การงานให้ดี อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเรามีความรับผิดชอบกับตัวเราเอง มีความเสียสละมีความขยันหมั่นเพียร
ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ ทุกคนก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านสุขมากัน เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปิดกั้นตนเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา
ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองไม่แก้ไขตัวเอง จะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ในป่าในเขา อยู่คนเดียว ถ้าไม่รู้จักการสำรวจตรวจตราดูตัวเราเอง ถึงจะปฏิบัติคร่ำเคร่งถึงขนาดไหนก็ไม่เข้าใจ ก็คงจะปฏิบัติคร่ำเคร่งอยู่ได้เพียงแค่รูปกาย
ทางด้านจิตไม่รู้จักดับไม่รู้จักคลายรู้จักแยก ไม่ลึกซึ้งเข้าถึงธรรมชาติของจิต รอบรู้ในธรรมชาติของจิต รอบรู้ในธรรมชาติของกาย รอบรู้ในธรรมชาติของโลกสมมติ โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญสุขทุกข์เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น
เรามาดูรู้อาการการเกิดการดับ รู้ต้นเหตุ สาวลงไปหาต้นเหตุของเขาเสียแล้วค่อยดับค่อยแก้ แก้ทีละเล็กแก้ทีละน้อย เรารู้ต้นเหตุไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ให้ติดเป็นนิสัย แม้ตั้งแต่การสร้างความระลึกรู้สร้างความรู้สึกรับรู้กายของเรา เราก็พยายามสร้าง แล้วก็รู้จักรักษา เพียงแค่สติตัวนี้แหละเราก็ยังไม่รู้จักรักษาให้ต่อเนื่องกัน
จะไปแสวงหาเอาตั้งแต่ธรรม เอาตั้งแต่ธรรม อะไรคือธรรม ก็ตัวจิตนั่นแหละ เวลานี้เขายังเกิดด้วย เขาก็ยังปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกด้วย แล้วก็หลงด้วย ไม่ใช่ว่าเขาจะคลายได้ง่ายๆ กว่ากําลังสติของเราจะไปหาเหตุหาผลกว่ากําลังสติของเราจะรู้เท่าทัน จนกว่าจิตของเราจะแยกออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนามได้ กว่ากําลังสติของเราจะตามทำความเข้าใจ ละกิเลสได้ จนกว่าเขาจะยอมรับความเป็นจริงได้ เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น
เรามีความเสียสละอย่างเต็มที่ไหม เสียสละออกหมดจากจิตจากใจของเรานั่นแหละ เสียสละกระทั่งทิฏฐิมานะความคิดเห็นที่เกิดจากจิต เสียสละความโลภความโกรธความอยาก แม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นจากจิตของเรา
คนทั่วไปทั้งอยากด้วยทั้งหวังด้วย ไม่รู้การระงับดับความคิด ไม่รู้จักการระงับวาจา มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละมีความอดทน หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาพร่ำสอนตัวเราเองหรอก บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญา ตื่นขึ้นมาเราจะรีบแก้ไขตัวเรา
การสร้างสติการดับการควบคุมเป็นอย่างนี้ จิตที่สงบเป็นอย่างนี้ ภาระหน้าที่การงานของเราราบรื่นไหม เรียบร้อยไหม มันผิดพลาดตรงไหนก็ได้รีบแก้ไขจากน้อยๆ ไปหามากๆ ไม่ได้รอกาลรอเวลา ภายนอกบริบูรณ์ก็ส่งผลถึงข้างใน
อันนี้เราจะไปวิ่งหาตั้งแต่ภายนอกกันก็ยิ่งห่างไกล เราก็น้อมดูภายใน แล้วก็ทำข้างนอกด้วยข้างในด้วย ข้างนอกด้วยข้างในด้วยจนเป็นอัตโนมัติจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริง จนจิตของเรารับรู้รับทราบ แต่ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
จิตนี้ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาจริงๆ เขาก็เกิดด้วยเขาก็วิ่งด้วยเขาก็หลง เพราะว่าเขาอยู่เขาหลงมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์แล้วที่หลงวนเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราศึกษาให้ละเอียดจริงๆ เราจะรู้ความเป็นจริงในชีวิตของเรา ร่างกายของเรา อัตภาพร่างกายของเรานี่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าให้ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ กว่าเขาจะแตกจะดับ เหนื่อยหน่ายอยู่เหมือนกันกับการดูแลรักษาสภาพกายจนกว่าเขาจะแตกจะดับ
แต่เราก็ต้องดูแลรักษาเขา ถึงเวลาเขาก็แตกก็ดับเองนั่นแหละ ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ยากที่จะแตกจะดับ ขณะที่เขายังมีลมหายใจเราก็ต้องดูแลรักษาเขา ทำความเข้าใจกับเขา อันนี้ก็เป็นภาระที่หนักอยู่เหมือนกัน หนักตัวเราเองแล้วก็ไปหนักภาระความรับผิดชอบต่อส่วนรวมส่วนกว้างทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าต่างคนต่างมีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักหน้าที่ของตัวเราเอง อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสงบความสุข พวกเรามีโอกาสก็ได้มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ร่วมกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีมีโอกาสก็ได้มาช่วยกันหมด
ยิ่งเรามาอยู่ร่วมกันก็พยายามรู้จักระงับ รู้จักดับรู้จักควบคุมความคิด ควบคุมจิตควบคุมกายควบคุมวาจา อะไรควรพูดอะไรควรคิดอะไรควรพิจารณา อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ อะไรเป็นทุกข์อะไรเป็นโทษ วาจาเป็นโทษไหมเป็นประโยชน์ไหม
เพียงแค่ระดับทางวาจาก็ยังไม่รู้จักรักษากัน จะไปรักษาจิตได้อย่างไรกัน เราก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างไปสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ