หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 051

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 051
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 051
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ดับหยุดคิด หยุดความกังวล หยุดความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้เกิดความเคยชิน แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราสร้างความรู้ตัวแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เราอย่าปล่อยโอกาสทิ้งอย่าปล่อยเวลาทิ้ง เราพยายามหมั่นสังเกต การสังเกตการสร้างความรู้ตัว สังเกตน้อมเข้าไปรู้ รู้กายรู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย ต่อไปก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิด อาการของความคิดขณะเขาเกิด

ส่วนมากจิตเกิดออกไปแล้วเราถึงรู้ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่ง จิตของเราส่งออกไปภายนอกแล้วเราถึงรู้ เราต้องพยายามรู้ตั้งแต่เกิด ขณะรู้ไม่ทันก็รู้จักควบคุมเอาไว้ ควบคุมการเกิดของความคิด ควบคุมอารมณ์ หรือว่าดับ ใช้สมถะเข้าไปดับ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา

แม้แต่การหายใจเข้าออกของเรา เราก็พยายามสร้างให้เกิดความเคยชิน ทั้งที่เราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิด การหายใจเข้าหายใจออก เพียงแค่ของเล็กๆน้อยๆ เราขาดการน้อมเข้าไปศึกษา เราก็เลยไม่รู้ความเป็นจริงในสิ่งที่ลึกๆ ลงไป

ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีอานิสงส์ ก็มีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามาเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติทุกคนมีกันอยู่ในระดับหนึ่ง ศรัทธาก็เต็มเปี่ยม ความเสียสละ เสียสละกาลเสียสละเวลา เสียสละโอกาส เข้ามาวัดเข้ามาศึกษา ต่อไปข้างหน้าก็เสียสละอารมณ์ เสียสละความนึกคิดปรุงแต่ง ขอให้เรารู้ให้เราเห็น ขอให้เราแยกให้ได้เสียก่อน ตามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน จิตเขาจะปล่อยจะวางโดยเอง ในตัวของเขาโดยธรรมชาติของเขา

ถ้าเขารู้ตามความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่หลงหรอก เขาก็ไม่ยึดหรอก เขาก็จะปล่อย เขาก็จะวางของเขาเอง ธรรมชาติภายในที่แท้จริงของจิต ถ้าจิตไม่เกิด หรือจิตไม่ส่งไปภายนอกไปเป็นทาสของอารมณ์ เขาก็เป็นเอกเขาก็เป็นหนึ่ง แต่แม้แต่ดวงจิตแท้ ๆ เขาก็ยังปกปิดตัวของเขาเอาไว้ เพราะว่าเขาโดนครอบงำด้วยอวิชชาด้วยความหลงไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ หลง มีความทะเยอทะยานอยาก อยากมีอยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากไปไม่อยากมา แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม

เราก็ต้องพยายามสร้างตัวรู้ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวตัวใหม่เข้าไปดับเข้าไปหยุดเข้ายับยั้ง ตั้งแต่ก่อนเรายับยั้งได้ตั้งแต่ไกลๆ ดึงเข้ามาใกล้ๆ จนเข้ามาดับให้อยู่ใกล้ๆ ลึกลงไปใกล้ๆ ให้รู้ฐานของเขาเกิด เราก็จะเห็นลักษณะอาการของจิตที่แท้จริง เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรเอา

เรื่องพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้ เราต้องขยันหมั่นเพียรวิเคราะห์พิจารณาแก้ไขตัวเรา ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์เรา ถ้าเรารู้จักเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์เข้าไปสังเกต รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็เป็นอาจารย์เรา

ทำไมถึงว่าเป็นอาจารย์ เวลาตากระทบรูปเราก็มีความรู้ตัว หรือว่ามีสติคอยรู้จิตของเราว่า จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ผลักไสหรือไม่ เป็นกลางหรือไม่ หรือว่านิ่งหรือไม่ หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส วิญญาณของเรารู้ว่าดวงจิตของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ จิตของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ หรือว่าเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย เราก็จะได้ตรวจสอบเราตลอดเวลา

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสมีเวลาเสมอกันหมดทุกอย่าง แต่การสำรวจการทำความเข้าใจ การสร้างอานิสงส์บารมีจะต่างกัน บางคนก็ขยันหมั่นเพียรบางคนก็ทำอยู่บ้างลุ่มๆ ดอนๆ บางคนบางท่านก็ทำอยู่ แต่อาจจะไม่ถูกทาง บางคนบางท่านก็รู้จักควบคุมจิตได้อยู่ในระดับหนึ่ง ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ ก็ค่อยเป็นค่อยไป จากน้อยๆไปหามากๆ

เราไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ การสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ การดับการควบคุม ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร ขณะปัจจุบันตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่

จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทเราก็รู้จักดับ จิตของเราฟุ้งซ่านเราก็รู้จักควบคุม ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง จิตของเราเกิดความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็รู้จักดับเขาเสีย รู้จักดับรู้จักควบคุม

ลึกลงไปจิตของเรามีมลทินอยู่หรือไม่ จิตของเรามีความอิจฉาริษยา มีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็รู้จักดับรู้จักละ จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็รู้จักละรู้จักเสียสละขัดเกลาด้วยการเอาออก ด้วยการให้ด้วยการบริจาค ทั้งภายนอกภายใน จิตของเรามีความโกรธเราก็ดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี มีความเสียสละ

ทำบุญให้กับตัวเราตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปที่วัดแล้วถึงจะได้ทำบุญ ถ้าคนเรารู้จักบุญ จะทำบุญให้ตัวเองได้ตลอดเวลา ทำบุญให้กับเรา ทำกายของเราให้เป็นบุญ กายของเราก็ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนนั้นคนนี้ วาจาของเราก็พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด สิ่งไหนที่เป็นอกุศลเราก็พยายามละ สิ่งไหนที่เป็นกุศลเราก็เจริญ นี่แหละทำกายวาจา วจีกรรมแล้วก็มโนกรรม

ความนึกคิดปรุงแต่ง นึกคิดเฉพาะในสิ่งที่ดี สิ่งไหนไม่ดีเราก็ไม่นึกไม่คิด ลึกลงไปเป็นการนึกคิดด้วยจิต หรือว่านึกคิดด้วยสติด้วยปัญญา เราก็ต้องวิเคราะห์ออกให้ละเอียดเสียก่อน เราถึงจะมองเห็นทาง รู้เห็นตามความเป็นจริง ทุกคนเป็นผู้รู้อยู่ แต่การดับการแยก การทำความเข้าใจ ไม่รู้ความเป็นจริงก็เลยเป็นทุกข์ หลงความคิดหลงอารมณ์ หรือว่าไม่รับรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง

โลกนี้ทั้งโลก กายของเรานี่แหละก้อนโลก โลกภายในภายนอก เราจะทิ้งโลกไม่ได้หรอก เราเพียงแค่ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเขาก็จะวางโลกแล้ว แล้วไม่ยึดในโลกอยู่เหนือโลก อยู่เหนือสมมติ อยู่เหนือวิมุตติ อยู่เหนือบุญเหนือบาปเหนือกรรม แต่เราก็สร้างแต่ประโยชน์สร้างแต่กุศล แต่เราไม่ยึด

อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข เพราะว่าเราทำกายของเราให้เป็นวัด ทำจิตของเราให้เป็นพระอยู่ตลอดเวลา จิตของเราสะอาดบริสุทธิ์ได้มากเท่าไหร่ จิตของเราก็เข้าถึงองค์พระได้มากขึ้นเท่านั้น ท่านถึงบอกว่า ใครรู้จิตคนนั้นก็รู้ธรรม ใครรู้ธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็จะมาอยู่กับเรา พระพุทธเจ้า พุทธะคือผู้รู้ นั่นแหละก็จะมาอยู่กับเรา

จิตของเราเป็นธาตุรู้ เวลานี้เขายังหลงอยู่ เราอาจว่าเรายังไม่หลง อาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ ตราบใดที่เราจะเจริญสติไปแยกรูปแยกนามได้ นั่นแหละเราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติมีปัญญาอยู่ สติปัญญาที่เรามีอยู่นั้นเป็นแค่เพียงปัญญาของโลกีย์เท่านั้นเอง ถ้าเราสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็ไม่พลั้งเผลอ นั่นแหละเราก็จะรู้ว่าเรา สติความรู้ตัวของเราไม่มีเลย

เราพยายามสร้างความระลึกรู้ตัวให้ได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องปุ๊บ ระลึกรู้ลมหายใจ จะลุกจะก้าวจะเดิน เข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราก็มีสติรู้ว่าจิตของเราปกติ สติของเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบันจิตจะก่อตัวเราก็รู้ทัน จิตจะส่งไปภายนอกเราก็รู้ทัน ความคิดผุดขึ้นมาเราก็รู้ทัน เพียงแค่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ

ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นเขามีอยู่แล้ว การเกิดการดับของความคิดของอารมณ์นั้นก็มีอยู่แล้ว ก็มีมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติแล้วก็หลงกันมา เราพยายามสังเกตให้รู้ทัน รู้ไม่ทันเรารู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ ทุกเรื่องนั่นแหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เวลาจะรับประทานอาหารขบฉันก็เหมือนกัน เราก็พยายามสังเกตดู กายของเราหิว หรือว่าจิตของเราเกิดความอยาก

กายหิวจิตปรุงแต่งร่วมหรือไม่ จิตเกิดความยินดียินร้ายในอาหารหรือไม่ เกิดความอยาก ถ้ากายหิวปุ๊บจิตจะปรุงแต่งร่วมได้เร็วได้ไว เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกัน อันนี้เราต้องเป็นคนละเอียดลออจริงๆ เราถึงจะเข้าใจ พยายามหมั่นเพียรขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ดูเรา แก้ไขเราเรื่องของเราให้ดี เรื่องภายนอกเอาไว้เสียก่อน ถ้าเราเข้าใจแล้ว สติปัญญาของเราก็จะล้นออกไปสู่ภายนอกสู่สังคม สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ให้กับคนหมู่มาก ให้กับความเป็นอยู่แบบโลกๆ ของเรา ก็จะได้อยู่ดีมีความสุขกัน นั่นแหละเขาถึงเรียกว่าทำบุญให้กับตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน

อยู่ที่ไหนถ้าเรามีสติหมั่นคอยตรวจสอบจิตของเรา เราก็จะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ นี่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันมาไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ก็ปฏิบัติธรรมกันมา ทีนี้เรามาสร้างมาสานต่อในภพปัจจุบันนี้ให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถึงไม่ถึงจุดหมายปลายทางเราพยายามบั่นทอนความเกิดให้สั้นลงๆ จนกว่าจิตของเราไม่ได้เกิดไปก่อภพก่อชาติที่ไหนอีก อย่างน้อยๆ ก็ให้จิตของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ก็ยังดี ดีกว่าจิตของเราจะตกไปสู่กองอบาย

เราพยายามศึกษาค้นคว้ากันนะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ พวกท่านก็ไม่เข้าใจ เรามาอาศัยสมมติอยู่ เรามีโอกาสเต็มที่ทุกคน เราเคยสร้างบุญสร้างอานิสงส์มาร่วมกัน ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ ก็เป็นอยู่อย่างนั้น

ขณะที่ธาตุขันธ์ของเรายังไม่แตกไม่ดับ เราพยายามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน รู้แจ้งเห็นจริงในสัจจะในสัจธรรม ความจริงมีอยู่ ให้รู้แจ้งเห็นจริงในความเกิดความดับ ให้รู้แจ้งเห็นจริงในการละในการปล่อยในการวาง ไม่อุปทานเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ถ้าเรารู้จักจุดปล่อยจุดวาง จิตเขาก็จะยอมรับเองนั่นแหละ จะหมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน

วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง