หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 050
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 050
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน
ญาติโยมที่มาทีหลังเอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยมาถวาย เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยเอามาถวาย ก็นั่งก่อนก็ได้ นั่งเจริญสติ นั่งเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน
หยุดคิดดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ภายในจิตของเราด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความคิดความกังวลที่เกิดจากจิตของเราก็จะหยุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้เป็นศาสตร์ของการหยุดความคิดเลยทีเดียว
กายของเราก็รู้สึกว่าตั้งมั่นขึ้นสบายขึ้น ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาให้เป็นปกติธรรมดา แล้วเราก็พยายามหมั่นสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จิตของเราจะส่งออกไปภายนอก เราก็พยายามดึงเข้ามา สูดลมหายใจจิตก็กลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจ
ยิ่งฝึกใหม่ๆ จะฝืนกัน เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว เราก็ดึงเข้ามา ทำบ่อยๆ จิตก็จะสั้นลงๆ ช้าลงๆ ความรู้สึกตัวก็จะมากขึ้นๆ จนรู้เท่าทันการเกิดของจิต เราก็พยายามดับตั้งแต่จิตก่อตัว รู้เท่าทันอาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ซึ่งในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
เขาจะก่อตัว ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ เขาจะผุดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยสารพัดเรื่อง บางทีทำงานอยู่ก็คิดเรื่องนั้นบ้าง คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตเข้าไปรวมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะว่าเราไม่ได้สร้างผู้รู้ เราไม่ได้สร้างสติ หรือสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง บางครั้งจิตก็ปกติอยู่ แต่เราไม่มีความรู้ตัวว่าจิตปกติ เวลาจิตเกิดเราก็รู้อยู่ว่าเราคิด เราก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ นั่นแหละจิตของเราก็ไปหลงอยู่ในขันธ์ห้า หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่
บางทีความคิดตัวนั้น อาจจะเป็นกุศล หรือว่าจะเป็นประโยชน์ก็ช่างเถอะ แต่ก็ยังหลงอยู่ จิตของเราเข้าไปรวมเข้าไปร่วมไปหลงอยู่ ตราบใดที่เราสังเกตรู้ทันจนจิตแยกออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ นั่นแหละเราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้ายังแยกไม่ได้ก็จะว่าตัวเราไม่หลง อันนี้เป็นของละเอียดอ่อน ทุกคนก็ต้องพยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ดูตัวเราให้มากๆ
การสังเกตการวิเคราะห์ ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ วิปัสสนาสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ กายว่างกายโล่งโปร่ง จิตว่าง เดินเหินเหมือนกับจะเหาะเลยทีเดียว
เราก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากจิตที่เกิดจากจิตของเรา จิตเกิดความโลภความโกรธเกิดความอิจฉาริษยา จิตของเราเกิดความยินดียินร้าย เข้าไปรวมเข้าไปร่วมหรือเข้าไปเสวย ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ‘ไปเสวย’ หรือว่า ‘เข้าไปรวม’ บางทีก็ทุกข์บ้างบางทีก็สุขบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง สารพัดเรื่อง
อวิชชาโมหะกิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็จะมาฉุดกระชากลากจิตของเรา นี่แหละหมุนไปอยู่อย่างนั้นเป็นวงกลม เขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ ถ้าเราอยากจะรู้กรรมต้องแยกตรงนี้ให้ชัดเจน เราก็จะเห็นวิบากกรรมคือ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตกับความคิดจะหมุนเป็นวงกลม หมุนไปเรื่อยๆ คิดปรุงแต่งไปแต่ละเรื่อง เรื่องนี้จบเรื่องใหม่เข้ามาๆ ทั้งที่จิตของเราก็ไปหลงไปเลยรวมกันไปเลย นั่นแหละก็เลยเป็นทาสของกิเลสทาสของอารมณ์ วนเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจบไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเราแยกได้เหมือนกับเราตัดวงกลมได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็รวมกันเข้าไปอีก พอแยกได้ก็ทำความเข้าใจรู้ความเป็นจริง จนอบรมหมั่นพร่ำสอนจิตของเราจนรู้เห็นรู้แจ้งเห็นจริง จริงๆ นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยเขาถึงจะวางได้ เราก็ค่อยละกิเลสละขันธ์ห้าตั้งแต่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ
ละขันธ์ห้า อะไรคือขันธ์ห้า กายของเรานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในอาการของขันธ์ห้า ส่วนนามธรรมคืออาการของความคิด จะดวงวิญญาณหรือว่าดวงจิตตัวสุดท้ายนั่นแหละเข้าไปหลง ก็ต้องพยายาม อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมาจนเหลืออยู่นิดๆ หน่อยๆ ก็มาสะสางต่อ มาทำความเข้าใจต่อ
แต่ละวันตื่นขึ้นมาอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งเด็ดขาด ตั้งแต่รู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราต้องมีความรู้กายรู้จิต รู้ความปกติ จะลุกจะก้าวจะเดินจิตก็นิ่งรับรู้ จิตจะเกิดกิเลสปุ๊บเราก็รู้จักดับจะสนุก ถ้าเราเข้าใจแล้วจะสนุกในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ สนุกในการทำการทำงาน ทำการทำงานไปด้วยจิตนิ่งรับรู้ไปด้วย
จิตของเราเกิดกิเลสไหม จิตของเราได้พักผ่อนหรือไม่ จิตของเราอยู่ในความว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่น ว่างจากความโลภความโกรธ ทำงานไป เราอยากจะได้มากเราขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาให้สูง
คนส่วนมากก็มีสติปัญญาในทางโลกเป็นอัจฉริยะอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว เพียงแค่เรามาน้อมมาศึกษาทำความเข้าใจกับภายในให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่เป็นทาสของกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ กิเลสเราก็รู้จักหน้าตาของเขา รู้จักอาการของเขา หรือเรารู้จักตั้งแต่ชื่อของเขา ถ้าชื่อความโลภเป็นอย่างนั้น ความโกรธเป็นอย่างนี้ ความอิจฉาริษยาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เรารู้จักตั้งแต่ชื่อของเขา แต่เราต้องให้รู้ลักษณะอาการเวลาเขาเกิด เราต้องรู้ด้วยดับได้ด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วยแล้วก็ดับได้ด้วย
ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองทั้งนั้น เราต้องเป็นคนมีระเบียบ มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง เป็นคนมีความเสียสละ มีสัจจะมีความจริงใจต่อตัวเราเอง แล้วก็จริงใจต่อคนอื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่อิจฉาริษยาคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดี
แต่ละวันจิตของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จนสติปัญญาของเราไปทำหน้าที่ทำงานแทนจิตของเราได้นั่นแหละ จนจิตของเราอยู่ในความว่างในความบริสุทธิ์ ความว่างนั่นแหละ คือองค์ฌานคือสมาธิความว่าง นั่นแหละคือดวงจิตของเรา ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ จิตของเราอยู่ตรงไหนเราก็พยายามดูรู้ให้ชัดเจน
บางครั้งบางคราวเราจะเห็น เห็นจิตของเราชัดเจน บางทีเราเดินไปเดินไปไปเจองูสักตัวหนึ่ง จิตก็จะเกิดผวาวาบตกใจ แล้วมันตกใจตรงไหนเราก็ดูตรงนั้นแหละ มันเกิดตรงไหนที่มันก่อตัวตรงไหนมันเริ่มตรงไหนเราก็ดูตรงนั้น รู้จักควบคุม บางคนก็ควบคุมได้อยู่ แต่เป็นการควบคุมได้เป็นบางครั้ง แต่ไม่ควบคุมได้ตลอด เราต้องพยายามควบคุมจนเป็นอัตโนมัติ จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ บางครั้งบางคราวจิตก็อิ่มอยู่ในบุญตลอด ทำการทำงานในการกุศล ในความเสียสละสร้างประโยชน์จิตก็อิ่ม แต่ไม่รู้จักรักษาบุญ
หลวงพ่อจะเล่าให้ฟัง บางครั้งอย่างเช่น จะยกตัวอย่างให้ดู พ่อแม่ของเราอยู่กับเราท่านก็เสียชีวิตไป ก็อยากทำบุญให้พ่อให้แม่ แต่ละปีๆ รวบรวมพี่รวบรวมน้อง ปีนั้นปีนี้ก็ยังไม่ได้ทำ ก็เลยเกิดความกังวลว่าตัวเราเองไม่ได้ทำบุญให้พ่อให้แม่ พอปีที่รวบรวมกันได้รวบรวมพี่รวบรวมน้องกันได้ว่าจะทำบุญ แล้วก็อุทิศส่วนบุญให้พ่อให้แม่ ก็รู้สึกว่าพอรู้สึกว่ารู้ว่าตัวเองได้ทำบุญแน่นอนแล้ว ก็เกิดความอิ่มเกิดปิติเกิดสุข นั่นแหละจิตมันเป็นบุญ
ขณะที่ทำบุญ วันทำบุญนั้นข้าวปลาก็ไม่หิว มีตั้งแต่อยากจะหาเลี้ยงกับข้าวกับปลาให้ญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน ตัวเองไม่มีความหิวโหยอะไร มีตั้งแต่ความอิ่มความอิ่มความเอิบ วันแล้วงานวันแรกผ่านไปก็ยังไม่มีความหิว มีความอิ่มจิตเกิดความอิ่มกายก็เลยไม่หิว วันที่สองผ่านไปก็ยังไม่มีความหิว ไม่มีความอยากไม่มีความหิว จิตยังอิ่มอยู่ในบุญอยู่
เอาล่ะวันที่สาม กายต้องการอาหารจิตเริ่มเกิดความหิวแล้ว นั่นแหละก็เลยเกิดความอยากเกิดปรุงเกิดแต่ง ถ้าเรารู้จักดับความอยาก บริหารด้วยสติด้วยปัญญา รักษาความอิ่มเอมเต็มเอี่ยมเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา เราก็จะอยู่กับบุญ
ถ้าคนเรารู้จักบุญ เราจะเห็นบุญเป็นตัวเลยทีเดียว บุญคือความสงบความสุข ถ้าเราเข้าใจในเรื่องศีล ในเรื่องสมาธิ ในเรื่องปัญญา เข้าใจในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทันที เข้าใจศีลเป็นลักษณะอย่างไร ศีลคือความปกติของกายของวาจา ลึกลงไปก็ปกติของจิตอีก
สมาธิก็ความสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น รู้จักสำรวมกายวาจาอินทรีย์ของตัวเรา กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็เป็นบุญ จะไปแสวงหาที่ไหนถ้าไม่แสวงหาอยู่ในกายของตัวเราเอง ถ้าหานอกกายหาไม่เจอเด็ดขาด หาจิตของตัวเรา ยิ่งจิตไปแสวงหาจิตยิ่งไม่เจอ เราต้องมาสร้างสติมาสร้างความรู้สึกตัวเข้าไปทำความเข้าใจเข้าไปสำรวจจิตของเรา
จิตของเราใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ฝึก เขาทั้งเกิดทั้งวิ่งทั้งหลงสารพัดอย่าง เพราะเขายังเป็นทาสของอารมณ์ทาสของกิเลสอยู่ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จะมาดับมาแยกมาคลายแค่นาที 2 นาที เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างคุณงามความดี หมั่นสร้างตบะบารมี
แต่ละวันเราก็สำรวจตรวจตราดูตัวเรา เราทำได้เท่าไหร่ก็เป็นของเรา ทำเล็กทำน้อยทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา ดีหมด พยายามฝึกฝนตนเองตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เราไปทำบุญที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ดีหมด แม้ตั้งแต่เอาข้าวปลาอาหารให้สัตว์ให้ไก่ให้หมูให้หมา จิตใจของเราก็อิ่มเป็นบุญ ถ้าเรารู้จักให้รู้จักเอา กายของเราก็เป็นบุญ วาจาใจก็เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธองค์ท่านเป็นองค์ค้นพบเปิดเผย เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ตามธรรมชาตินั้นธรรมะก็มีอยู่ประจำโลกมีอยู่แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้เกิด ท่านเกิดขึ้นมาแล้วก็มาเปิดเผย ท่านค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย เพราะว่าธรรมะมีอยู่แล้ว
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติภายนอกของโลกธรรมแปดก็เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติภายในของจิต ถ้าจิตของเราไม่เป็นทาสของอารมณ์ จิตของเราไม่มีความหลง จิตของเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความอยาก เขาก็สงบสะอาดสว่างว่างอยู่อย่างนั้นนี่เอง แต่เราเข้าไม่ถึงๆ เราไม่เข้าไม่ถึง เพราะว่าอำนาจของกิเลสมันมาเป็นนายเหนือเราเสียก่อน ก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปกำจัดกิเลส เข้าไปคลายความหลง แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้มากๆ
จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธเสีย ให้อภัยทานอโหสิกรรม กิเลสมากน้อยเท่าไหร่ เราก็พยายามกำจัดออกให้มันหมด สักวันหนึ่งก็จะถึงแก่นแท้ของจิตคือความสะอาดความบริสุทธิ์
แสวงหาสิ่งไหนเราก็ย่อมจะได้สิ่งนั้น แสวงหาธรรมย่อมจะรู้ธรรม จะรู้เร็วรู้ช้าก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ขณะที่เราก็ยังมีกำลังอยู่นี่แหละให้รีบทำเสีย ไม่ต้องไปวิ่งนั่นวิ่งนี่หรอก หยุดนิ่งพิจารณาดู นิ่ง กายของเรานิ่ง จิตของเรานิ่งไหม เราก็พิจารณาดูว่าการเกิดของเขามันมีแล้ว จิตเขาเกิดอยู่แล้ว ขันธ์ห้าก็เข้ามาปรุงแต่งจิตอยู่แล้ว เราเพียงสร้างสติให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าจะวิ่งไปหาที่นั่นวิ่งไปหาที่นี่ ถึงแม้จะวิ่งไปหาที่นั่นวิ่งไปหาที่นี่ ถ้าเราไม่มีสติเข้าไปสังเกตดูก็ยากที่จะเข้าใจ
ไม่ใช่ว่าไม่ดี ช่วงที่เราไปนั้น ถ้าเรายังเดินปัญญาไม่ได้ ก็เป็นการสร้างบารมี เป็นการสร้างบุญสร้างบารมี ไปแสวงหาที่นั่นที่นี่ไปหาประสบการณ์ ถ้ากำลังสติมีมากขึ้น กำลังกุศลมีมากขึ้น เขาก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เอง ขณะมีกำลังให้รีบสร้างขวนขวายเอาเถิด ถ้าหมดกำลังแล้วเราก็จะหมดโอกาส ก็ต้องพยายามกันนะ
หลวงพ่อก็ไม่มีอะไรมาก ก็ขออนุภาพแห่งบุญแห่งกุศล ขอให้ทุกคนจงพบประสบแต่ความสุขความเจริญกันนะ ก็ขอเจริญธรรม พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
ญาติโยมที่มาทีหลังเอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยมาถวาย เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยเอามาถวาย ก็นั่งก่อนก็ได้ นั่งเจริญสติ นั่งเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน
หยุดคิดดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ภายในจิตของเราด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ความคิดความกังวลที่เกิดจากจิตของเราก็จะหยุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้เป็นศาสตร์ของการหยุดความคิดเลยทีเดียว
กายของเราก็รู้สึกว่าตั้งมั่นขึ้นสบายขึ้น ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาให้เป็นปกติธรรมดา แล้วเราก็พยายามหมั่นสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จิตของเราจะส่งออกไปภายนอก เราก็พยายามดึงเข้ามา สูดลมหายใจจิตก็กลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจ
ยิ่งฝึกใหม่ๆ จะฝืนกัน เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว เราก็ดึงเข้ามา ทำบ่อยๆ จิตก็จะสั้นลงๆ ช้าลงๆ ความรู้สึกตัวก็จะมากขึ้นๆ จนรู้เท่าทันการเกิดของจิต เราก็พยายามดับตั้งแต่จิตก่อตัว รู้เท่าทันอาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ซึ่งในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
เขาจะก่อตัว ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ เขาจะผุดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยสารพัดเรื่อง บางทีทำงานอยู่ก็คิดเรื่องนั้นบ้าง คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตเข้าไปรวมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะว่าเราไม่ได้สร้างผู้รู้ เราไม่ได้สร้างสติ หรือสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง บางครั้งจิตก็ปกติอยู่ แต่เราไม่มีความรู้ตัวว่าจิตปกติ เวลาจิตเกิดเราก็รู้อยู่ว่าเราคิด เราก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ นั่นแหละจิตของเราก็ไปหลงอยู่ในขันธ์ห้า หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่
บางทีความคิดตัวนั้น อาจจะเป็นกุศล หรือว่าจะเป็นประโยชน์ก็ช่างเถอะ แต่ก็ยังหลงอยู่ จิตของเราเข้าไปรวมเข้าไปร่วมไปหลงอยู่ ตราบใดที่เราสังเกตรู้ทันจนจิตแยกออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ นั่นแหละเราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้ายังแยกไม่ได้ก็จะว่าตัวเราไม่หลง อันนี้เป็นของละเอียดอ่อน ทุกคนก็ต้องพยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ดูตัวเราให้มากๆ
การสังเกตการวิเคราะห์ ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ วิปัสสนาสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ กายว่างกายโล่งโปร่ง จิตว่าง เดินเหินเหมือนกับจะเหาะเลยทีเดียว
เราก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากจิตที่เกิดจากจิตของเรา จิตเกิดความโลภความโกรธเกิดความอิจฉาริษยา จิตของเราเกิดความยินดียินร้าย เข้าไปรวมเข้าไปร่วมหรือเข้าไปเสวย ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ‘ไปเสวย’ หรือว่า ‘เข้าไปรวม’ บางทีก็ทุกข์บ้างบางทีก็สุขบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง สารพัดเรื่อง
อวิชชาโมหะกิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็จะมาฉุดกระชากลากจิตของเรา นี่แหละหมุนไปอยู่อย่างนั้นเป็นวงกลม เขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ ถ้าเราอยากจะรู้กรรมต้องแยกตรงนี้ให้ชัดเจน เราก็จะเห็นวิบากกรรมคือ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตกับความคิดจะหมุนเป็นวงกลม หมุนไปเรื่อยๆ คิดปรุงแต่งไปแต่ละเรื่อง เรื่องนี้จบเรื่องใหม่เข้ามาๆ ทั้งที่จิตของเราก็ไปหลงไปเลยรวมกันไปเลย นั่นแหละก็เลยเป็นทาสของกิเลสทาสของอารมณ์ วนเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจบไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเราแยกได้เหมือนกับเราตัดวงกลมได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็รวมกันเข้าไปอีก พอแยกได้ก็ทำความเข้าใจรู้ความเป็นจริง จนอบรมหมั่นพร่ำสอนจิตของเราจนรู้เห็นรู้แจ้งเห็นจริง จริงๆ นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยเขาถึงจะวางได้ เราก็ค่อยละกิเลสละขันธ์ห้าตั้งแต่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ
ละขันธ์ห้า อะไรคือขันธ์ห้า กายของเรานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในอาการของขันธ์ห้า ส่วนนามธรรมคืออาการของความคิด จะดวงวิญญาณหรือว่าดวงจิตตัวสุดท้ายนั่นแหละเข้าไปหลง ก็ต้องพยายาม อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมาจนเหลืออยู่นิดๆ หน่อยๆ ก็มาสะสางต่อ มาทำความเข้าใจต่อ
แต่ละวันตื่นขึ้นมาอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งเด็ดขาด ตั้งแต่รู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราต้องมีความรู้กายรู้จิต รู้ความปกติ จะลุกจะก้าวจะเดินจิตก็นิ่งรับรู้ จิตจะเกิดกิเลสปุ๊บเราก็รู้จักดับจะสนุก ถ้าเราเข้าใจแล้วจะสนุกในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ สนุกในการทำการทำงาน ทำการทำงานไปด้วยจิตนิ่งรับรู้ไปด้วย
จิตของเราเกิดกิเลสไหม จิตของเราได้พักผ่อนหรือไม่ จิตของเราอยู่ในความว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่น ว่างจากความโลภความโกรธ ทำงานไป เราอยากจะได้มากเราขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาให้สูง
คนส่วนมากก็มีสติปัญญาในทางโลกเป็นอัจฉริยะอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว เพียงแค่เรามาน้อมมาศึกษาทำความเข้าใจกับภายในให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่เป็นทาสของกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ กิเลสเราก็รู้จักหน้าตาของเขา รู้จักอาการของเขา หรือเรารู้จักตั้งแต่ชื่อของเขา ถ้าชื่อความโลภเป็นอย่างนั้น ความโกรธเป็นอย่างนี้ ความอิจฉาริษยาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เรารู้จักตั้งแต่ชื่อของเขา แต่เราต้องให้รู้ลักษณะอาการเวลาเขาเกิด เราต้องรู้ด้วยดับได้ด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วยแล้วก็ดับได้ด้วย
ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองทั้งนั้น เราต้องเป็นคนมีระเบียบ มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง เป็นคนมีความเสียสละ มีสัจจะมีความจริงใจต่อตัวเราเอง แล้วก็จริงใจต่อคนอื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่อิจฉาริษยาคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดี
แต่ละวันจิตของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จนสติปัญญาของเราไปทำหน้าที่ทำงานแทนจิตของเราได้นั่นแหละ จนจิตของเราอยู่ในความว่างในความบริสุทธิ์ ความว่างนั่นแหละ คือองค์ฌานคือสมาธิความว่าง นั่นแหละคือดวงจิตของเรา ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ จิตของเราอยู่ตรงไหนเราก็พยายามดูรู้ให้ชัดเจน
บางครั้งบางคราวเราจะเห็น เห็นจิตของเราชัดเจน บางทีเราเดินไปเดินไปไปเจองูสักตัวหนึ่ง จิตก็จะเกิดผวาวาบตกใจ แล้วมันตกใจตรงไหนเราก็ดูตรงนั้นแหละ มันเกิดตรงไหนที่มันก่อตัวตรงไหนมันเริ่มตรงไหนเราก็ดูตรงนั้น รู้จักควบคุม บางคนก็ควบคุมได้อยู่ แต่เป็นการควบคุมได้เป็นบางครั้ง แต่ไม่ควบคุมได้ตลอด เราต้องพยายามควบคุมจนเป็นอัตโนมัติ จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ บางครั้งบางคราวจิตก็อิ่มอยู่ในบุญตลอด ทำการทำงานในการกุศล ในความเสียสละสร้างประโยชน์จิตก็อิ่ม แต่ไม่รู้จักรักษาบุญ
หลวงพ่อจะเล่าให้ฟัง บางครั้งอย่างเช่น จะยกตัวอย่างให้ดู พ่อแม่ของเราอยู่กับเราท่านก็เสียชีวิตไป ก็อยากทำบุญให้พ่อให้แม่ แต่ละปีๆ รวบรวมพี่รวบรวมน้อง ปีนั้นปีนี้ก็ยังไม่ได้ทำ ก็เลยเกิดความกังวลว่าตัวเราเองไม่ได้ทำบุญให้พ่อให้แม่ พอปีที่รวบรวมกันได้รวบรวมพี่รวบรวมน้องกันได้ว่าจะทำบุญ แล้วก็อุทิศส่วนบุญให้พ่อให้แม่ ก็รู้สึกว่าพอรู้สึกว่ารู้ว่าตัวเองได้ทำบุญแน่นอนแล้ว ก็เกิดความอิ่มเกิดปิติเกิดสุข นั่นแหละจิตมันเป็นบุญ
ขณะที่ทำบุญ วันทำบุญนั้นข้าวปลาก็ไม่หิว มีตั้งแต่อยากจะหาเลี้ยงกับข้าวกับปลาให้ญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน ตัวเองไม่มีความหิวโหยอะไร มีตั้งแต่ความอิ่มความอิ่มความเอิบ วันแล้วงานวันแรกผ่านไปก็ยังไม่มีความหิว มีความอิ่มจิตเกิดความอิ่มกายก็เลยไม่หิว วันที่สองผ่านไปก็ยังไม่มีความหิว ไม่มีความอยากไม่มีความหิว จิตยังอิ่มอยู่ในบุญอยู่
เอาล่ะวันที่สาม กายต้องการอาหารจิตเริ่มเกิดความหิวแล้ว นั่นแหละก็เลยเกิดความอยากเกิดปรุงเกิดแต่ง ถ้าเรารู้จักดับความอยาก บริหารด้วยสติด้วยปัญญา รักษาความอิ่มเอมเต็มเอี่ยมเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา เราก็จะอยู่กับบุญ
ถ้าคนเรารู้จักบุญ เราจะเห็นบุญเป็นตัวเลยทีเดียว บุญคือความสงบความสุข ถ้าเราเข้าใจในเรื่องศีล ในเรื่องสมาธิ ในเรื่องปัญญา เข้าใจในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทันที เข้าใจศีลเป็นลักษณะอย่างไร ศีลคือความปกติของกายของวาจา ลึกลงไปก็ปกติของจิตอีก
สมาธิก็ความสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น รู้จักสำรวมกายวาจาอินทรีย์ของตัวเรา กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็เป็นบุญ จะไปแสวงหาที่ไหนถ้าไม่แสวงหาอยู่ในกายของตัวเราเอง ถ้าหานอกกายหาไม่เจอเด็ดขาด หาจิตของตัวเรา ยิ่งจิตไปแสวงหาจิตยิ่งไม่เจอ เราต้องมาสร้างสติมาสร้างความรู้สึกตัวเข้าไปทำความเข้าใจเข้าไปสำรวจจิตของเรา
จิตของเราใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ฝึก เขาทั้งเกิดทั้งวิ่งทั้งหลงสารพัดอย่าง เพราะเขายังเป็นทาสของอารมณ์ทาสของกิเลสอยู่ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จะมาดับมาแยกมาคลายแค่นาที 2 นาที เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างคุณงามความดี หมั่นสร้างตบะบารมี
แต่ละวันเราก็สำรวจตรวจตราดูตัวเรา เราทำได้เท่าไหร่ก็เป็นของเรา ทำเล็กทำน้อยทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา ดีหมด พยายามฝึกฝนตนเองตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เราไปทำบุญที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ดีหมด แม้ตั้งแต่เอาข้าวปลาอาหารให้สัตว์ให้ไก่ให้หมูให้หมา จิตใจของเราก็อิ่มเป็นบุญ ถ้าเรารู้จักให้รู้จักเอา กายของเราก็เป็นบุญ วาจาใจก็เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธองค์ท่านเป็นองค์ค้นพบเปิดเผย เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ตามธรรมชาตินั้นธรรมะก็มีอยู่ประจำโลกมีอยู่แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้เกิด ท่านเกิดขึ้นมาแล้วก็มาเปิดเผย ท่านค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย เพราะว่าธรรมะมีอยู่แล้ว
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติภายนอกของโลกธรรมแปดก็เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติภายในของจิต ถ้าจิตของเราไม่เป็นทาสของอารมณ์ จิตของเราไม่มีความหลง จิตของเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความอยาก เขาก็สงบสะอาดสว่างว่างอยู่อย่างนั้นนี่เอง แต่เราเข้าไม่ถึงๆ เราไม่เข้าไม่ถึง เพราะว่าอำนาจของกิเลสมันมาเป็นนายเหนือเราเสียก่อน ก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปกำจัดกิเลส เข้าไปคลายความหลง แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้มากๆ
จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธเสีย ให้อภัยทานอโหสิกรรม กิเลสมากน้อยเท่าไหร่ เราก็พยายามกำจัดออกให้มันหมด สักวันหนึ่งก็จะถึงแก่นแท้ของจิตคือความสะอาดความบริสุทธิ์
แสวงหาสิ่งไหนเราก็ย่อมจะได้สิ่งนั้น แสวงหาธรรมย่อมจะรู้ธรรม จะรู้เร็วรู้ช้าก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ขณะที่เราก็ยังมีกำลังอยู่นี่แหละให้รีบทำเสีย ไม่ต้องไปวิ่งนั่นวิ่งนี่หรอก หยุดนิ่งพิจารณาดู นิ่ง กายของเรานิ่ง จิตของเรานิ่งไหม เราก็พิจารณาดูว่าการเกิดของเขามันมีแล้ว จิตเขาเกิดอยู่แล้ว ขันธ์ห้าก็เข้ามาปรุงแต่งจิตอยู่แล้ว เราเพียงสร้างสติให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าจะวิ่งไปหาที่นั่นวิ่งไปหาที่นี่ ถึงแม้จะวิ่งไปหาที่นั่นวิ่งไปหาที่นี่ ถ้าเราไม่มีสติเข้าไปสังเกตดูก็ยากที่จะเข้าใจ
ไม่ใช่ว่าไม่ดี ช่วงที่เราไปนั้น ถ้าเรายังเดินปัญญาไม่ได้ ก็เป็นการสร้างบารมี เป็นการสร้างบุญสร้างบารมี ไปแสวงหาที่นั่นที่นี่ไปหาประสบการณ์ ถ้ากำลังสติมีมากขึ้น กำลังกุศลมีมากขึ้น เขาก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เอง ขณะมีกำลังให้รีบสร้างขวนขวายเอาเถิด ถ้าหมดกำลังแล้วเราก็จะหมดโอกาส ก็ต้องพยายามกันนะ
หลวงพ่อก็ไม่มีอะไรมาก ก็ขออนุภาพแห่งบุญแห่งกุศล ขอให้ทุกคนจงพบประสบแต่ความสุขความเจริญกันนะ ก็ขอเจริญธรรม พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน