หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 047

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 047
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 047
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองนะ วางความคิด ดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ถึงเราดับไม่ได้เราก็พยามกระตุ้นความรู้สึกของการหายใจเข้าออก สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้น ใจของเราก็จะสบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด เราพยายามกระตุ้นความรู้สึกตรงนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีความรู้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา

การสร้างความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ นี่เรียกว่า ‘การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ รู้การหายใจเข้าออกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกาย ถ้าความรู้สึกตัวต่อเนื่องเราก็จะรู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้อาการของจิต จิตเริ่มก่อตัว เริ่มเกิดเริ่มส่งไปภายนอก รู้เท่าทันความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ซึ่งไม่ใช่ตัวจิต ซึ่งเขาเรียกว่า ‘อาการ อาการของจิต’ หรือว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ที่ผุดขึ้นมา

จิตของเราเข้าไปรวมเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้าเราแยกตรงนี้ได้สังเกตตรงนี้ทัน ตัวอื่นก็จะตามมาหมด วิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ ความรู้ตัวก็จะรู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เขาเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้น จิตของเราหลงไปร่วมไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน ก็เลยเกิดอัตตาตัวตน จิตของเราก็เลยเป็นทาสของกิเลส ขันธ์ห้าก็เลยมาปกปิดเอาไว้

ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ ก็แยกรูปแยกนามได้ อัตตาก็หายไปอนัตตาก็มาปรากฏ แต่อัตตาทางสมมติก็มีอยู่ ร่างกายสมมติทางสมมติของเราก็ยังมีอยู่ แต่เรารู้ด้วยลักษณะอาการ แยกแยะด้วยลักษณะอาการ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา

ถ้าคนไหนเกียจคร้านในการสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติ ก็ยากที่จะเข้าใจ แล้วก็รู้จักบำเพ็ญตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้นกับจิตของเรา เรามีศรัทธากันเต็มเปี่ยม ความเสียสละความเชื่อมั่นในตัวของเรา แล้วก็ขยันหมั่นเพียรในการชำระสะสางกิเลส

จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลกด้วยการบริจาคด้วยการให้ ชำระกิเลสออกจากใจของเรา ละความตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ใช่ว่าโลภเฉพาะในรูปธรรม โลภในรูปในรสในกลิ่นในเสียง มีความยินดียินร้าย จิตของเราเข้าไปรวมเข้าไปร่วมได้อย่างไร จิตของเราเกิดความโกรธก็รู้จักดับรู้จักละ ละทีนั้นที่นี้ กิเลสก็จะเหือดแห้งไป เราพยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จิตส่งออกไปข้างนอกเมื่อไหร่เราก็รู้จักดับ ดับขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’

ไม่ใช่ว่าไปนั่งนิ่งๆ อย่างเดียว ไปนั่งนิ่งๆ นั้นเป็นการพักผ่อน พักผ่อนกายพักผ่อนจิต บางทีจิตก็ไม่ได้พักผ่อน จิตส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมจนกว่าจะสังเกตจิตกับความคิดแยกออกจากกันได้เมื่อไหร่นั่นแหละ สัมมาทิฐิเปิดทางให้ เราก็จะมองเห็นทางปรุโปร่ง ตามดูตามรู้ตามเห็น เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ เข้าใจในเรื่องของหลักอริยสัจ เข้าใจในเรื่องของการเกิดการดับ เข้าใจในเรื่องภพเรื่องชาติ เข้าใจในเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายทันที

ทุกคนก็รู้อยู่ แต่ยังไม่เห็น ยังไม่เห็นต้นเหตุก็ต้องพยายามดูรู้ต้นเหตุให้ทัน ถ้าเรารู้ตรงนี้แล้วปัญญาตัวอื่นก็จะตามมาเอง ส่วนมากก็จะไปเอาตั้งแต่ผลนั่น ทั้งที่ปัญญาธรรมก็เต็ม แต่มันเป็นกิเลสธรรมปัญญาโลกีย์ เราพยายามดูรู้ตั้งแต่ต้นเสียก่อน ท่านถึงบอกว่าความคิดสติปัญญาทางโลกของเราจะมีมากมายถึงขนาดไหน มีทั้งร้อยเราก็คลายออกทั้งร้อย ให้เหลืออยู่ที่ความว่างความบริสุทธิ์ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของจิต

จิตของเราไปอิงอาศัยขันธ์ห้า อิงอาศัยกิเลส เป็นทาสของกิเลสเป็นทาสของขันธ์ห้าอยู่ เรามาคลายตรงนั้นออกไป จิตของเราก็เลยขาดที่พึ่ง เราถึงมาเจริญสติเป็นที่พึ่งของจิต เป๋นเพื่อนของจิตหมั่นพร่ำสอนจิต หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง สติค้นคว้าทำความเข้าใจให้หาเหตุหาผลจนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละ จิตของเราจะวางโดยปริยาย เพราะเขายอมรับความเป็นจริง ถ้าค้นคว้าหาเหตุหาผลไม่เพียงพอก็ยากที่จะยอมรับได้ เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ

การได้ยินการที่อ่านกันได้ฟัง ฝึกหัดปฏิบัติที่นั่นที่นี่ ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่การลงมือการเริ่มต้นแยกรูปแยกนามแยกจิตแยกความคิด ตามดูตามรู้ตามเห็นตรงนี้ ส่วนมากจะกะปิดกะปรอยไม่ได้ต่อเนื่อง บางทีก็ควบคุมได้บ้าง บางทีก็ได้ช่วงต้นช่วงกลาง ช่วงปลาย บางทีก็ทำความเข้าใจได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ปล่อยทิ้งไปเสีย จิตก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม

กำลังสติของเราต้องตามดูตามรู้ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ อย่าให้พลาดสายตาของสติปัญญาได้แม้แต่เพียงเสี้ยว นอกจากเราจะนอนหลับ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พยายามขัดเกลาตัวเราเองเอา ทุกคนก็มีอานิสงส์ ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว เพียงแค่จะเริ่มลงมือขยันหมั่นเพียรในการทำความเข้าใจให้ต่อเนื่องหรือไม่

หลวงพ่อก็ไม่มีอะไรมากมายก็เพียงแค่พูดแค่เล่าให้ฟัง เล่าของเก่าอยู่นี่แหละ แต่ไม่พากันดูพากันรู้ให้มันเข้าใจ จะไปเอาตั้งแต่ปลายเหตุ ไม่ย้ำที่ต้นเหตุเสียก่อน ถ้าย้ำที่ต้นเหตุรู้ที่ต้นเหตุแล้ว มันก็จะสาวถึงปลายเหตุเอง ส่วนมากก็จะไปปฏิบัติเอาตั้งแต่ปลายเหตุ เหมือนกับการเด็ดยอดตำลึง เด็ดยอดหนึ่งมันก็แตกออกมายอดหนึ่งๆ มันปกคลุมกันเยอะแยะ เราต้องพยายามสาวให้ลึกลงไปถึงโคน ถอนออกมากระทั่งราก ปลายเหตุมันก็จะเฉาลงไปเอง เราก็ต้องพยายามกัน

ขอให้ทุกคนจงมีตั้งแต่ความสุขในการปฏิบัติ ในการฝักใฝ่ในการสนใจ ในการแก้ไข เราปฏิบัติสิ่งไหนเราย่อมจะเข้าใจสิ่งนั้น เราแสวงหาสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น ขอให้ปฏิบัติให้ถูกทางให้ถูกกาลทุกเวลา ตามความเป็นจริงก็ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ ทุกคนก็มีเวลาเท่ากันหมดนั่นแหละ แต่ทางสมมติอาจจะไม่เท่ากัน เพราะว่าบางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมาเต็มเปี่ยม บางคนก็เพิ่งจะเริ่มสร้าง

แต่อานิสงส์บารมีก็ไม่ห่างไกลกันนัก แต่เรื่องการเจริญสติอาจจะห่างไกลกัน บางคนก็มีภูมิปัญญาในทางโลกเต็มเปี่ยม บางคนบางท่านก็ทางโลกก็ยังลำบากอยู่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับวิบากกรรมเสีย แล้วก็แก้ไข ขยันหมั่นเพียรอยู่ปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง ไม่ต้องไปรีบร้อนเดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงถ้าเราไม่เกียจคร้านเสียก่อน

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทั้งภายนอกทั้งภายใน งานภายนอกงานสมมุติเราก็มีอะไรเราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำเพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้อยู่ดีมีความสุข ทำสมมติให้น่าอยู่ ปรุงแต่งสมมุติให้เป็นธรรมชาติให้น่าอยู่ เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข

ธรรมชาติภายนอกธรรมชาติภายใน ธรรมชาติภายนอกมันไม่บริบูรณ์เราก็ทำให้บริบูรณ์เสีย ธรรมชาติภายในของเราไม่หลงไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของกิเลส เราหมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา จิตเขาก็จะปล่อยก็จะวางเอง ธรรมชาติของจิตนี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วยทั้งมีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยากเป็นทวีคูณ

ถ้าเรามาฝึกใหม่ๆ นี้จะอึดอัดมากทีเดียว อึดอัดจนถึงที่สิ้นสุดเขาถึงจะคลาย คลายแล้วเราต้องพยายามชำระสะสางกิเลสออกให้มันหมด จนมันอยู่เหนือสมมติเหนือต่างๆ เหนือบุญเหนือบาปนั่นแหละ นอกจากเราจะขยันหมั่นเพียรหรือไม่เท่านั้นเอง ต้องพากันไปทำเอานะ นี่ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เอาล่ะ วันนี้ก็เอาเพียงแค่นี้ ขอให้ทุกคนจงไหว้พระพร้อมๆ กัน จงไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง