หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 041

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 041
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 041
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย ทำใจของเราให้สบาย ดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านที่เกิดจากจิตของเราทั้งหมด

กระตุ้นความรู้สึกของการหายใจเข้าออก เข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยวความคิดต่างๆ ก็จะดับไป สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ให้เรามีความรู้สึกรับรู้ให้เด่นชัด ความรู้สึกไม่เด่นชัดเราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกก็จะต่อเนื่อง

เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้ตัวรู้กายรู้ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย เรารู้กายอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต รู้ความปกติ รู้ลักษณะของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต แต่ละวันๆ จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่ครั้ง เรื่องอะไรบ้าง เราเคยสำรวจหรือไม่ แล้วก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตโดยที่เราไม่ต้องการให้เขาเกิดนั่นแหละ เขาเกิดขึ้นมาสักกี่ครั้ง จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร

เราต้องมาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาสร้างสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้เข้าไปสำรวจตรวจตราดู เพียงแค่เรามาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้สึกตัว พวกเราก็ยังสร้างกันไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในความดับทุกข์ในการชำระสะสางกิเลสอยู่ สติปัญญาก็ฝักใฝ่อยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ แต่ทำไมเราถึงคลายความหลงไม่ได้ เพราะว่าเราขาดการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้เห็นตั้งแต่เขาเกิดเขาก่อตัว

การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า หรือว่าอาการของความคิดที่เข้ามาปรุงแต่งจิต ถ้าเราอยากจะรู้เห็นเด่นชัดเราก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็อย่าเกียจคร้าน ต้องขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็นอาการของจิต ลักษณะของจิต ลักษณะของความว่าง ลักษณะของความคิดซึ่งเรียกว่า ‘สภาวะธรรม’

ที่พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา คำว่า ‘อัตตาตัวตน’ เป็นลักษณะอย่างไร ทำไมจิตถึงเกิดอัตตาตัวตน เพราะว่าความหลงความไม่รู้ เรามาเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปคลาย ถ้าเราสังเกตทันรู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ จิตก็จะแยกออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาในเรื่องอนัตตา

อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ในการสังเกตในการทำความเข้าใจ สังเกตไม่ทันเราก็รู้จักควบคุมจิตของเราเอาไว้ อานิสงส์ในการสร้างในการทำบุญในการสร้างบารมีทุกคนก็มีกัน อาจจะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล แต่ละวันๆ เราตื่นขึ้นมาเราทำบุญให้กับตัวเราแล้วหรือยัง เราชำระสะสางกิเลส ชำระสะสางความเกียจคร้าน ละนิวรณ์ธรรม ทำความเข้าใจ จิตของทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญอยู่ตลอดเวลา

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง เรามีโอกาสมากที่สุด ที่เราไม่เข้าใจ เพราะว่าโมหะความหลงมาปิดกั้นเอาไว้ เราถึงมาทำลายโมหะเสียก่อน มาเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปรู้เข้าไปเห็น ปัญญาฝ่ายน้อมเข้าไปดูภายในของเราก็ไม่ต่อเนื่อง มันก็ยากที่จะเข้าใจ ปัญญาฝ่ายทำความเข้าใจ ฝ่ายเกิดฝ่ายดับฝ่ายละมันจะต่อเนื่องกันไปหมด

แต่ส่วนมากคนเราจะมองไปตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ไปแก้ไขตั้งแต่เหตุการณ์ข้างนอกอย่างเดียว ไม่ได้แก้ไขลึกเข้าไปข้างในถึงนามธรรม ตามความเป็นจริงแล้วก็ต้องแก้ไขทั้งภายนอกและภายใน เพราะว่าโลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกันก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่ กายของเราก็ยังเป็นก้อนโลกอยู่ กายของเราก็เป็นสมมติอยู่ แต่เรามายึดมามั่นมาหมายเอาว่าเป็นตัวตนจริงๆ

ในทางสมมุติก็เป็นตัวตนจริงๆ นั่นแหละ ในทางวิมุตติในหลักธรรมแล้วเราต้องมาจำแนกแจกแจง มาเห็นที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองของใครกองของมันอยู่ กองของร่างกายนี้ก็เป็นกองของรูป ส่วนความคิดส่วนอารมณ์นั้นก็เป็นกองของนามธรรม มีหลายเรื่องบางทีก็เรื่องอดีตเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกลางๆ บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เราต้องพยายามทำความเข้าใจดูรู้ให้มันเห็นชัดเจน

แต่ทุกคนก็รู้อยู่ว่าอะไรคือบุญอะไรคือบาป อะไรคือกุศลอกุศล แต่ยังขาดการจำแนกแจกแจงออกให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันเป็นกอง แล้วก็ตามทำความเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งท่านเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ รอบรู้ในอารมณ์รอบรู้ในโลกก้อนนี้ เราก็พยายามหมั่นทำความเข้าใจ ไม่เข้าใจเราก็พยายามเพิ่มเพียรให้เป็นทวีคูณ

การทำความเพียรอย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ให้พยายามสร้างความรู้ตัวนี่แหละให้ต่อเนื่อง จนรู้ด้วยเห็นด้วยตามทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็เข้าถึงด้วย ท่านถึงบอกให้เชื่อให้รู้ให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริง

ถ้าเราแยกจิตแยกความคิดแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ นั่นแหละเราก็จะหมดข้อสงสัย ตามทำความเข้าใจที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม มีความจริงสัจธรรมมีอยู่ความจริงมีอยู่ ถ้าเรารู้เห็นแล้วเรามองเห็นทางทะลุปรุโปร่งแล้ว ความขยันหมั่นเพียรในการทำความเข้าใจในการละกิเลสก็ต้องตามมา จนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ นั่นแหละ จนกว่าเราจะดับความเกิดได้นั่นแหละ

การเกิดทุกคราวท่านก็ว่าเป็นทุกข์ เกิดทางด้านรูปธรรมคือทางด้านร่างกายพวกเราก็เกิดมาแล้วนี่แหละในภพมนุษย์ ภพมนุษย์เกิดมาเป็นภพแล้วก็มาเป็นชาติ ชาติของมนุษย์ภพของมนุษย์ มนุษย์เกิดขึ้นมาแล้วจากเด็กก็พัฒนาการมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนพัฒนาการมาเรื่อยๆ ถ้าถึงวาระเวลาก็จะเสื่อมลงไปกลับคืนสู่สภาพเดิมคือ สภาพดินน้ำลมไฟ กลับเข้าไปสู่สภาวะเดิม มีการเกิดมีการเสื่อมอยู่อย่างนี้ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว เดี๋ยวก็เกิดเป็นนั้นบ้างก็เกิดเป็นนี้บ้างทางด้านรูปธรรม

ทางด้านสภาวะธรรมเขาก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ บางคนบางครั้งนาทีหนึ่งไม่รู้ไปสักกี่เรื่องไม่รู้ไปสักกี่ครั้ง แต่เราขาดการสังเกตขาดการแยกแยะเราก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง เราต้องพยายามค้นคว้าหาเหตุหาผล อย่าไปนึกด้นเดาเอาตามความอำนาจของกิเลสของตัวเรา การนึกด้นเดาเอานั้นไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง

การศึกษาการค้นคว้า การเจริญสติ เราเจริญสติไปเพื่ออะไร เพื่อที่จะทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ความหมายของการเจริญสติ ความหมายของการรักษาศีล ความหมายของการเจริญภาวนาเพื่อจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าเราทำแบบหลงงมงาย เราต้องทำด้วยสติด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้แจ้งเห็นจริง

คนเราจะบรรลุ ทำความเข้าใจถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ใช่ว่าไปนั่งอยู่เฉยๆ มันจะบรรลุถึงเป้าหมายได้เลย ก็ต้องมาศึกษา มาเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็รู้จักชำระสะสางกิเลสจนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์นั่นแหละ

เหมือนกับเรารับประทานอาหาร อิ่มแล้วเราก็รู้ว่าอิ่ม การประพฤติปฏิบัติจิตเราก็พยายามดำเนินของเราให้ถูกทาง ตั้งแต่มีความศรัทธามีความเชื่อมั่น แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสของตัวเราจนถึงจุดหมายปลายทาง จนมีเครื่องอยู่ของจิต หรือว่าวิหารธรรม คือเครื่องอยู่ของจิต มีเครื่องตัดสินภายใน คือความเป็นกลางความว่าง ไม่เข้าข้างตัวเองแล้วก็ไม่เข้าข้างคนอื่น เอาความเป็นกลางความว่างเป็นเครื่องตัดสิน นั่นแหละคือความถูกต้อง เราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็พิจารณาเหมือนกันหมดนั่นแหละ เราต้องพยายามทำบุญสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราอยู่ตลอดเวลา ท่านถึงบอกว่าให้ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา เรามีโอกาสเราก็มาวัดภายนอกมาศึกษามาทำความเข้าใจ ตำราครูบาอาจารย์มีเยอะซึ่งเป็นแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ทุกคนก็ได้อ่านได้ศึกษากัน แต่การลงมือการสังเกตการวิเคราะห์กัน ทำความเข้าใจการตามดูการละ ตรงนี้ไม่ค่อยจะได้ทำกันได้ต่อเนื่องกัน

บางคนบางท่านก็ทำอยู่ แต่ก็ต้องพยายามทำไปเรื่อยๆ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เมื่อโอกาสเปิดเราก็อาจจะเข้าใจ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเป็นเร่งให้เขาออกผลวันหนึ่งวันเดียวก็ไม่ได้หรอก ก็ต้องรอกาลรอเวลา การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน ทำไปเรื่อยๆ ขอให้ถูกทางถูกวิธี ถ้าถึงเวลาแล้ววิบากกรรมต่างๆ มันคลายออกไปแล้ว วิมุตติก็จะผุดขึ้นมาให้เราเห็นให้เราทำความเข้าใจได้ถูกต้อง ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง