หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 029
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 029
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริงเราต้องสร้างความรู้ตัว หมั่นสำรวจกายสำรวจจิตของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือนว่าพวกเราได้เจริญสติแล้วหรือยัง สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราแล้วหรือยัง สร้างความรู้ตัวรู้กายรู้จิตของเราแล้วหรือยัง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราสงบดีอยู่หรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่าน หรือว่าจิตของเราเกิดความกังวล หรือว่ายังมีความกังวลในเรื่องต่างๆ อยู่ เราก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา หาโอกาสหาเวลามาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเอง ภาระหน้าที่การงานทางสมมติพวกเราก็วางมาแล้ว
ทีนี้เราก็มาสำรวจความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ว่าจิตของเราเกิดอย่างไร ส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ภาระหน้าที่การงานทางสมมติเรายังขาดตกบกพร่องอะไรอยู่ หรือว่าเรายังลำบากอยู่ อันนั้นก็ยังไม่เสร็จอันนี้ก็ยังไม่เสร็จ เราก็ต้องพยายามแก้ไขขณะที่เราตื่นตัวอยู่ปัจจุบันนี่แหละ ขณะยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ
ทุกคนก็มีศรัทธากันถึงได้น้อมกายเข้ามาในการทำบุญในการให้ทาน ซึ่งเป็นวัตถุทานพากันทำอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ อยู่ตลอดเวลา แต่การทานอารมณ์ ทานความคิด ทานความยึดมั่นถือมั่น การแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับอัตตาอนัตตาว่าเป็นลักษณะอย่างไร การควบคุมจิต บางคนบางท่านก็ควบคุมจิตได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ขาดการแยกจิตออกจากความคิด หรือว่าออกจากขันธ์ห้า ไม่รอบรู้ในความคิดไม่รอบรู้ในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง ว่าเขาเป็นลักษณะหน้าตาอย่างไร ซึ่งเป็นของละเอียด
อย่าพากันท้อถอย จงพากันขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอดเวลา รู้จักแนวทางแล้วก็เร่งทำความเพียร การเจริญสติการสร้างความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้แล้วเราพยายามไปสร้าง อยู่คนเดียวเราก็พยายามหมั่นสังเกตเราหมั่นวิเคราะห์เรา ถ้าวิเคราะห์จิตวิเคราะห์ภายในได้เรียบร้อย สติปัญญาของเราก็จะเอาไปวิเคราะห์สมมติต่างๆ เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะมีตั้งแต่ความสงบความสุข
อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่เป็นกุศลเราก็เจริญ สร้างตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ไม่เห็นแก่ตัว ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธ ส่วนการคลายความหลงนั้นเราต้องเจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม ถ้าจิตของเราแยกจิตออกจากความคิดได้ เขาถึงจะคล้ายความหลงได้ซึ่งเรียกว่า ‘โมหะ’
โมหะนี้เป็นของลุ่มลึก กว่าจะคลายออกมาได้ก็ต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่อง ถ้าไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะคลาย ถ้าเรายังสังเกตไม่ทันก็ยากที่เขาจะแยกออกจากกันได้ เพราะว่าจิตกับขันธ์ห้านั้นเขาอยู่ด้วยกันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติมาแล้ว เราจะมาแยกแค่วันเดียวสองวันเป็นไปไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์จนกำลังสติของเรารู้เท่าทันตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ ก่อตัว ตั้งแต่จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม
(ถ้าเราแยกได้แล้ว)ถ้าเรารู้เท่าทันแล้ว จิตเขาจะแยกของเขาเองเราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกยากหรอก เขาจะดีดตัวออกจากความคิด ก็จะเห็นเป็นคนละส่วน จิตก็จะว่าง ความคิดก็จะเห็นการเกิดการดับ การเกิดการดับของความคิดซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรื่องแล้วเรื่องเล่าๆ ที่จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวม
ถ้าเราเห็นชัดเจนอย่างนี้ กำลังสติก็จะตามดูตามรู้ตามเห็นจนจิตเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร จิตก็จะหาทางหลบหลีกเองนั่นแหละ มันหลบหลีกไม่ได้ก็จะอยู่อุเบกขา ทีนี้เราก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากจิตของเรา ชำระสะสางกิเลส ดับความเกิดของจิตดับที่นั้นทีนี้ ละทีนั้นทีนี้ กิเลสต่างๆ ก็จะเหือดแห้งไปๆ
อะไรคือส่วนจิต อะไรคือส่วนกาย กายกับจิตเขาก็อาศัยกันอยู่ รูปกับนามก็อาศัยกันอยู่ จะให้รู้ด้วยสติรู้ด้วยปัญญา ไม่ให้จิตของเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น กายของเรานี่แหละก้อนรูป กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ซึ่งมีจิตมีวิญญาณเข้ามาครอบครองแล้วก็มายึดมาหลง แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคลายภายในไม่ได้ก็ไปหลงเอาข้างนอกด้วย ถ้าคลายภายในได้ ข้างนอกก็วางได้โดยปริยาย
ทีนี้เราก็มาละกิเลสจนกว่ามันจะเหือดแห้งไปหมด ก็พากันขยันหมั่นเพียรไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน จะยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราพยายามน้อมสำเหนียก แม้ตั้งแต่เวลานั่งฟัง เราก็น้อมสำเหนียกระลึกรู้ความปกติ ระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด เราไม่เข้าใจเท่าไหร่เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ
ยิ่งการฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ กิเลสมาร หรือขันธ์มารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็จะหาโอกาสหาเรื่องหาราวมาฉุดมารั้งเอาไว้ แล้วก็เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง เรื่องภาระหน้าที่การงานบ้าง สารพัดเรื่องที่จะมาฉุดมารั้งมาปกปิดดวงจิตของพวกเราเอาไว้ แม้แต่จิตของตัวเราเองยังหลอกจิตของตัวเราเองเลย
เราต้องพยายามฝึกแก้ไข หัดสำรวจหัดสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเองตลอดเวลา จะให้มันได้เลยไม่ได้หรอก ค่อยฝึกค่อยเป็นค่อยไปทีละเล็กทีละน้อย ความขยันหมั่นเพียรของเรามีไหม ความเกียจคร้านของเรามีไหม เราละความเกียจคร้านได้ไหม เราควบคุมของจิตของเราได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้นเหตุตั้งแต่ตัวจิต ระดับกายระดับวาจา เราก็หมั่นวิเคราะห์ ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราเองแล้วมันก็ยากอยู่เหมือนกัน
หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเองนั่นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปสังเกตไปวิเคราะห์ ไปดับไปละพยายามที่จะเข้าใจ ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ถ้ารู้แล้วจะมีตั้งแต่ความสนุก สนุกในการดูจิตในการรู้จิต ในการทำความเข้าใจว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา ถ้าเราพลั้งเผลอแล้ว จิตของเราเข้าไปร่วมแล้ว เริ่มใหม่เอาใหม่ เกิดความน้อยอกน้อยใจแก้ไขตัวเองใหม่จนกว่ามันจะชนะ จนกว่ามันจะเหือดแห้งไป
ยิ่งมีความเพียรเป็นทวีคูณทั้งกลางวันกลางคืน ไม่เกียจคร้านหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้กับตัวเราเอง ทุกคนก็มีสัจจะ ทุกคนก็มีเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ให้เชื่อมั่นด้วยสติด้วยปัญญา ให้พยายามขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็วตราบใดที่เราแสวงหาอยู่
เราแสวงหาธรรมเราย่อมจะรู้ธรรม เราแสวงหาโลกเราก็ย่อมจะเห็นโลก ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ให้เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่างเสีย ถึงเวลาหมดลมหายใจนั่นแหละเขาถึงจะพลัดพรากจากกัน
คนเรานี่ก็อยู่เนื่องด้วยลม ลมหายใจเข้าหายใจออกซึ่งเป็นส่วนประกอบของชีวิต ถ้าลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย เราขาดการพิจารณาดูลม บุคคลที่มีปัญญาก็จะระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ระลึกถึงความตาย ระลึกนึกถึงคุณงามความดี หมั่นสร้างกุศล หมั่นสร้างคุณงามความดีตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ
เราบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ถ้าให้คนอื่นเขาบังคับ บังคับเท่าไหร่มันก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทางหรอก ทุกคนไม่อยากจะให้คนอื่นเขาบังคับ มีตั้งแต่คนกิเลสหนาเท่านั่นแหละชอบให้คนอื่นเขาบังคับ ชอบให้คนอื่นเขาพาทำ คนกิเลสเบาบางคนกิเลสน้อยเพียงแค่มองดูก็รู้ว่าทำอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร บุคคลเช่นนี้แหละจะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
อยู่คนเดียวก็แก้ไขปัญหาตัวเองได้ อยู่หลายคนก็แก้ไขปัญหาตัวเองได้ เพราะว่ารู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน เกิดจากภายในหรือเกิดจากภายนอก ก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขได้ไม่ได้ก็พยายามแก้ไข แก้ไขไม่ได้จริงๆ ก็วางมันเสียอุเบกขา
สนุกสร้างบุญสร้างกุศล ทำกายของเราให้เป็นบุญเสีย ทำวาจาของเราให้เป็นบุญเสีย ทำใจของเราให้เป็นบุญเสีย เราก็จะอยู่กับบุญ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจของเรานั่นแหละคือตัวบุญ ให้เรารู้จักตัวใจของเรา ความว่างความสงบ ความสะอาดความบริสุทธิ์นั่นแหละตัวบุญ
บางทีก็เกิดปิติเกิดสุข ถ้าเรามีสติดูรู้เห็นจิตของเราชัดแจ้งชัดเจนขึ้นมา เขาจะฉายแววมาปรากฏให้เห็น เกิดความสงบเกิดความสุข เกิดความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มีตั้งแต่ความสงบความสุขอยู่ภายในใจ ข้างนอกเราก็พอใจในการทำของเรา ทำเพื่อยังให้เกิดประโยชน์ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ทุกวันๆ ทั้งภายนอกทั้งภายใน มีโอกาสก็จะรีบพาทำจนกว่าจะหมดกำลังนั่นแหละ ก็พยายามกัน หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่ได้ช่วยกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราสงบดีอยู่หรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่าน หรือว่าจิตของเราเกิดความกังวล หรือว่ายังมีความกังวลในเรื่องต่างๆ อยู่ เราก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา หาโอกาสหาเวลามาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเอง ภาระหน้าที่การงานทางสมมติพวกเราก็วางมาแล้ว
ทีนี้เราก็มาสำรวจความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ว่าจิตของเราเกิดอย่างไร ส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ภาระหน้าที่การงานทางสมมติเรายังขาดตกบกพร่องอะไรอยู่ หรือว่าเรายังลำบากอยู่ อันนั้นก็ยังไม่เสร็จอันนี้ก็ยังไม่เสร็จ เราก็ต้องพยายามแก้ไขขณะที่เราตื่นตัวอยู่ปัจจุบันนี่แหละ ขณะยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ
ทุกคนก็มีศรัทธากันถึงได้น้อมกายเข้ามาในการทำบุญในการให้ทาน ซึ่งเป็นวัตถุทานพากันทำอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ อยู่ตลอดเวลา แต่การทานอารมณ์ ทานความคิด ทานความยึดมั่นถือมั่น การแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับอัตตาอนัตตาว่าเป็นลักษณะอย่างไร การควบคุมจิต บางคนบางท่านก็ควบคุมจิตได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ขาดการแยกจิตออกจากความคิด หรือว่าออกจากขันธ์ห้า ไม่รอบรู้ในความคิดไม่รอบรู้ในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง ว่าเขาเป็นลักษณะหน้าตาอย่างไร ซึ่งเป็นของละเอียด
อย่าพากันท้อถอย จงพากันขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอดเวลา รู้จักแนวทางแล้วก็เร่งทำความเพียร การเจริญสติการสร้างความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้แล้วเราพยายามไปสร้าง อยู่คนเดียวเราก็พยายามหมั่นสังเกตเราหมั่นวิเคราะห์เรา ถ้าวิเคราะห์จิตวิเคราะห์ภายในได้เรียบร้อย สติปัญญาของเราก็จะเอาไปวิเคราะห์สมมติต่างๆ เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะมีตั้งแต่ความสงบความสุข
อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่เป็นกุศลเราก็เจริญ สร้างตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ไม่เห็นแก่ตัว ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธ ส่วนการคลายความหลงนั้นเราต้องเจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม ถ้าจิตของเราแยกจิตออกจากความคิดได้ เขาถึงจะคล้ายความหลงได้ซึ่งเรียกว่า ‘โมหะ’
โมหะนี้เป็นของลุ่มลึก กว่าจะคลายออกมาได้ก็ต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่อง ถ้าไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะคลาย ถ้าเรายังสังเกตไม่ทันก็ยากที่เขาจะแยกออกจากกันได้ เพราะว่าจิตกับขันธ์ห้านั้นเขาอยู่ด้วยกันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติมาแล้ว เราจะมาแยกแค่วันเดียวสองวันเป็นไปไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์จนกำลังสติของเรารู้เท่าทันตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ ก่อตัว ตั้งแต่จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม
(ถ้าเราแยกได้แล้ว)ถ้าเรารู้เท่าทันแล้ว จิตเขาจะแยกของเขาเองเราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกยากหรอก เขาจะดีดตัวออกจากความคิด ก็จะเห็นเป็นคนละส่วน จิตก็จะว่าง ความคิดก็จะเห็นการเกิดการดับ การเกิดการดับของความคิดซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรื่องแล้วเรื่องเล่าๆ ที่จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวม
ถ้าเราเห็นชัดเจนอย่างนี้ กำลังสติก็จะตามดูตามรู้ตามเห็นจนจิตเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร จิตก็จะหาทางหลบหลีกเองนั่นแหละ มันหลบหลีกไม่ได้ก็จะอยู่อุเบกขา ทีนี้เราก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากจิตของเรา ชำระสะสางกิเลส ดับความเกิดของจิตดับที่นั้นทีนี้ ละทีนั้นทีนี้ กิเลสต่างๆ ก็จะเหือดแห้งไปๆ
อะไรคือส่วนจิต อะไรคือส่วนกาย กายกับจิตเขาก็อาศัยกันอยู่ รูปกับนามก็อาศัยกันอยู่ จะให้รู้ด้วยสติรู้ด้วยปัญญา ไม่ให้จิตของเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น กายของเรานี่แหละก้อนรูป กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ซึ่งมีจิตมีวิญญาณเข้ามาครอบครองแล้วก็มายึดมาหลง แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคลายภายในไม่ได้ก็ไปหลงเอาข้างนอกด้วย ถ้าคลายภายในได้ ข้างนอกก็วางได้โดยปริยาย
ทีนี้เราก็มาละกิเลสจนกว่ามันจะเหือดแห้งไปหมด ก็พากันขยันหมั่นเพียรไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน จะยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราพยายามน้อมสำเหนียก แม้ตั้งแต่เวลานั่งฟัง เราก็น้อมสำเหนียกระลึกรู้ความปกติ ระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด เราไม่เข้าใจเท่าไหร่เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ
ยิ่งการฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ กิเลสมาร หรือขันธ์มารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็จะหาโอกาสหาเรื่องหาราวมาฉุดมารั้งเอาไว้ แล้วก็เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง เรื่องภาระหน้าที่การงานบ้าง สารพัดเรื่องที่จะมาฉุดมารั้งมาปกปิดดวงจิตของพวกเราเอาไว้ แม้แต่จิตของตัวเราเองยังหลอกจิตของตัวเราเองเลย
เราต้องพยายามฝึกแก้ไข หัดสำรวจหัดสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเองตลอดเวลา จะให้มันได้เลยไม่ได้หรอก ค่อยฝึกค่อยเป็นค่อยไปทีละเล็กทีละน้อย ความขยันหมั่นเพียรของเรามีไหม ความเกียจคร้านของเรามีไหม เราละความเกียจคร้านได้ไหม เราควบคุมของจิตของเราได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้นเหตุตั้งแต่ตัวจิต ระดับกายระดับวาจา เราก็หมั่นวิเคราะห์ ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราเองแล้วมันก็ยากอยู่เหมือนกัน
หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเองนั่นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปสังเกตไปวิเคราะห์ ไปดับไปละพยายามที่จะเข้าใจ ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ถ้ารู้แล้วจะมีตั้งแต่ความสนุก สนุกในการดูจิตในการรู้จิต ในการทำความเข้าใจว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา ถ้าเราพลั้งเผลอแล้ว จิตของเราเข้าไปร่วมแล้ว เริ่มใหม่เอาใหม่ เกิดความน้อยอกน้อยใจแก้ไขตัวเองใหม่จนกว่ามันจะชนะ จนกว่ามันจะเหือดแห้งไป
ยิ่งมีความเพียรเป็นทวีคูณทั้งกลางวันกลางคืน ไม่เกียจคร้านหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้กับตัวเราเอง ทุกคนก็มีสัจจะ ทุกคนก็มีเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ให้เชื่อมั่นด้วยสติด้วยปัญญา ให้พยายามขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็วตราบใดที่เราแสวงหาอยู่
เราแสวงหาธรรมเราย่อมจะรู้ธรรม เราแสวงหาโลกเราก็ย่อมจะเห็นโลก ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ให้เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่างเสีย ถึงเวลาหมดลมหายใจนั่นแหละเขาถึงจะพลัดพรากจากกัน
คนเรานี่ก็อยู่เนื่องด้วยลม ลมหายใจเข้าหายใจออกซึ่งเป็นส่วนประกอบของชีวิต ถ้าลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย เราขาดการพิจารณาดูลม บุคคลที่มีปัญญาก็จะระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ระลึกถึงความตาย ระลึกนึกถึงคุณงามความดี หมั่นสร้างกุศล หมั่นสร้างคุณงามความดีตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ
เราบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ถ้าให้คนอื่นเขาบังคับ บังคับเท่าไหร่มันก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทางหรอก ทุกคนไม่อยากจะให้คนอื่นเขาบังคับ มีตั้งแต่คนกิเลสหนาเท่านั่นแหละชอบให้คนอื่นเขาบังคับ ชอบให้คนอื่นเขาพาทำ คนกิเลสเบาบางคนกิเลสน้อยเพียงแค่มองดูก็รู้ว่าทำอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร บุคคลเช่นนี้แหละจะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
อยู่คนเดียวก็แก้ไขปัญหาตัวเองได้ อยู่หลายคนก็แก้ไขปัญหาตัวเองได้ เพราะว่ารู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน เกิดจากภายในหรือเกิดจากภายนอก ก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขได้ไม่ได้ก็พยายามแก้ไข แก้ไขไม่ได้จริงๆ ก็วางมันเสียอุเบกขา
สนุกสร้างบุญสร้างกุศล ทำกายของเราให้เป็นบุญเสีย ทำวาจาของเราให้เป็นบุญเสีย ทำใจของเราให้เป็นบุญเสีย เราก็จะอยู่กับบุญ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจของเรานั่นแหละคือตัวบุญ ให้เรารู้จักตัวใจของเรา ความว่างความสงบ ความสะอาดความบริสุทธิ์นั่นแหละตัวบุญ
บางทีก็เกิดปิติเกิดสุข ถ้าเรามีสติดูรู้เห็นจิตของเราชัดแจ้งชัดเจนขึ้นมา เขาจะฉายแววมาปรากฏให้เห็น เกิดความสงบเกิดความสุข เกิดความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มีตั้งแต่ความสงบความสุขอยู่ภายในใจ ข้างนอกเราก็พอใจในการทำของเรา ทำเพื่อยังให้เกิดประโยชน์ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ทุกวันๆ ทั้งภายนอกทั้งภายใน มีโอกาสก็จะรีบพาทำจนกว่าจะหมดกำลังนั่นแหละ ก็พยายามกัน หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่ได้ช่วยกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ