หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 024
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 024
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติสร้างสติสร้างความระลึกรู้ให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้เจริญสติน้อมเข้าไปสำรวจกายสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง ตั้งแต่ลุกจากที่ ตื่นขึ้นมาเราต้องรีบสำรวจรู้ความปกติของจิต รู้ความปกติของกาย เราก็จะได้สร้างบุญให้กับตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เราพยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าการกระทำต่างๆ ทางกายทางวาจา แล้วก็ทั้งใจ
กายของเราก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ไม่ทำ อะไรที่เป็นกุศลเราก็ทำ การทำบุญทางวาจา เราก็พูดดีๆ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งไหนที่เป็นอกุศลเราก็ไม่พูด สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ วาจาของเราก็เป็นบุญ
ส่วนทางใจเราก็พยายามทำใจของเราให้เป็นกุศล ไม่คิดอคติ ไม่คิดเพ่งโทษ ไม่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ดี รู้จักเจริญสติเข้าไปสำรวจจิตของเรา ลักษณะของจิต จิตที่สงบปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของจิตที่สะอาดเป็นอย่างไร เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ภาระหน้าที่สมมติของเราราบรื่นหรือไม่ เรียบร้อยดีอยู่หรือไม่ เรายังติดขัดอยู่ตรงไหนเราต้องรีบแก้ไข พอใจยินดีในสิ่งที่เรามี พอใจยินดีในสิ่งที่เราเป็น หมั่นวิเคราะห์ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเรา เราก็จะอยู่กับบุญ นั่นแหละถึงจะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด
ตื่นขึ้นมาเราก็ได้เข้าวัดที่แท้จริง วัดภายนอกเราก็มีโอกาสที่เข้ามาทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทานกัน มีโอกาสการศึกษา การเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ทุกคนก็ผ่านกันมากันจนอายุมากขึ้น ผ่านวิบากกรรมต่างๆ ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผ่านร้อนผ่านหนาวมา ก็มาทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ว่าเราจะไปอย่างไรเราจะมาอย่างไร เราจะอยู่อย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข เรารู้จักดำเนินชีวิตของตัวเราเองเสียขณะที่เรายังมีกำลังกายอยู่ กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่
แต่ละวันเราก็สำรวจดู เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามรับความเกียจคร้าน เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามกำจัดความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา ด้วยการเจริญพรหมวิหารความเมตตา ความเสียสละ ความอดทน มีสัจจะกับตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง
คนทั่วไปอาจจะเข้าใจเรื่องของความถูกต้องในระดับของสมมติเท่านั้นเอง ความถูกต้องในระดับของหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องคล้ายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า ละขันธ์ห้าละกิเลส ทำใจของเราให้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น นั่นแหละคือความถูกต้องเป็นเครื่องตัดสิน แต่เราเข้าไม่ถึงตรงนี้ รู้ไม่ถึงตรงนี้ ก็เลยเอาความถูกต้องระดับสมมติ
อันนี้มันก็ถูกต้องอยู่ในระดับหนึ่ง เราก็ต้องพยายามพากัน หมั่นสร้าง หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร การสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง แม้ตั้งแต่อานาปานสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา เราก็พยายามประคับประคองให้ต่อเนื่องกัน ก็ยังทำไม่ได้กัน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราเคยสำรวจจิตของเราหรือไม่ ว่าจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง หรือว่าเหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิดสักกี่อย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ หรือว่าเราสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่องกันถึง 5 นาที 10 นาทีหรือไม่
ช่วงใหม่ๆ กำลังสติของเราก็พลั้งเผลอก็เป็นธรรมดา ตราบใดที่เราไม่มีความขยันหมั่นเพียร แน่นอนที่สุดเลยสตินี่จะพลั้งเผลอ เพราะว่าความเคยชินแบบเก่าๆ แบบโลกๆ คิดเราก็รู้ว่าคิด ทำเราก็รู้ว่าทำ ก็เลยทำตามความคิดทำตามอารมณ์ จิตของเราก็เป็นทาสของอารมณ์ จิตของเราก็เป็นทาสของกิเลส
ลักษณะของกิเลสเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยเห็น เรารู้อยู่ว่าความโลภเป็นอย่างนี้ ความโกรธเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยเห็นอาการของเขาเวลาเขาเกิด แล้วก็ไม่รู้จักละไม่รู้จักดับตั้งแต่ต้นเหตุ อันนี้เราต้องศึกษาให้ละเอียด
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเป็นอย่างไร ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร วิญญาณของเราหรือว่าดวงจิตของเรานี้รับรู้ ตากระทบรูปจิตของเราเกิดความยินดียินร้ายผลักไสไหม หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส ในชีวินประจำวันของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียดหมด
อย่าเบื่อหน่าย เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียร พอใจในสิ่งที่เราค้นหา พอใจยินดีในสิ่งที่เราแสวงหา ถ้ารู้แล้วเห็นแล้วจะมีตั้งแต่ความสุขความสนุก ว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสหรือไม่ ยิ่งเพิ่มความเพียรไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ
เมื่อรู้ความจริงแล้วจิตเขาก็จะวางเอง ไม่อยากจะวางก็ต้องวาง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนตั้งแต่เป็นมายา ไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราไปยึดมันถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนนี้ยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสของความโลภ เป็นทาสของความโกรธ เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากซึ่งเป็นยางเหนียวด้วย เราก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขมันปรับปรุงตัวเราเองนะ พยายามกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา
การได้ยินได้ฟังการที่อ่านทุกคนมีมากันเต็มเปี่ยม แต่การเริ่มลงมือ การสังเกต การวิเคราะห์ การสำรวจ การทำความเข้าใจการละการดับ ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้วจะไม่พลาดโอกาสเลยทีเดียวที่จะตามทำความเข้าใจ แล้วค่อยกำจัดกิเลสออกให้มันหมด มันไม่หมดวันนี้ ก็วันพรุ่งนี้ก็ต้องหมด ไม่หมดวันพรุ่งนี้วันมะรืนนี้ เดือนหน้าปีหน้า ถ้ามันไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า ตราบใดที่จิตของเรายังฝักใฝ่ยังสนใจ จิตของเรายังเดินทางอยู่
ทุกคนก็เดินทางกัน เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความสะอาดความบริสุทธิ์ เราอาจจะแวะอยู่ที่ตรงจุดนั้นบ้างจุดนี้บ้างก็เป็นธรรมดา ไปตามวิบากของกรรม แล้วแต่กรรมจะจำแนกแจกแจง ทีนี้เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับกรรม เมื่อรู้กรรมแล้ว เราก็ค่อยละกรรม คืออาการของขันธ์ห้า แล้วก็มาละการกระทำทางกายทางวาจา แล้วก็ทางใจ เราก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไวไม่รอช้า ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้เจริญสติน้อมเข้าไปสำรวจกายสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง ตั้งแต่ลุกจากที่ ตื่นขึ้นมาเราต้องรีบสำรวจรู้ความปกติของจิต รู้ความปกติของกาย เราก็จะได้สร้างบุญให้กับตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เราพยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าการกระทำต่างๆ ทางกายทางวาจา แล้วก็ทั้งใจ
กายของเราก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ไม่ทำ อะไรที่เป็นกุศลเราก็ทำ การทำบุญทางวาจา เราก็พูดดีๆ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งไหนที่เป็นอกุศลเราก็ไม่พูด สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ วาจาของเราก็เป็นบุญ
ส่วนทางใจเราก็พยายามทำใจของเราให้เป็นกุศล ไม่คิดอคติ ไม่คิดเพ่งโทษ ไม่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ดี รู้จักเจริญสติเข้าไปสำรวจจิตของเรา ลักษณะของจิต จิตที่สงบปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของจิตที่สะอาดเป็นอย่างไร เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ภาระหน้าที่สมมติของเราราบรื่นหรือไม่ เรียบร้อยดีอยู่หรือไม่ เรายังติดขัดอยู่ตรงไหนเราต้องรีบแก้ไข พอใจยินดีในสิ่งที่เรามี พอใจยินดีในสิ่งที่เราเป็น หมั่นวิเคราะห์ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเรา เราก็จะอยู่กับบุญ นั่นแหละถึงจะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด
ตื่นขึ้นมาเราก็ได้เข้าวัดที่แท้จริง วัดภายนอกเราก็มีโอกาสที่เข้ามาทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทานกัน มีโอกาสการศึกษา การเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ทุกคนก็ผ่านกันมากันจนอายุมากขึ้น ผ่านวิบากกรรมต่างๆ ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผ่านร้อนผ่านหนาวมา ก็มาทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ว่าเราจะไปอย่างไรเราจะมาอย่างไร เราจะอยู่อย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข เรารู้จักดำเนินชีวิตของตัวเราเองเสียขณะที่เรายังมีกำลังกายอยู่ กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่
แต่ละวันเราก็สำรวจดู เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามรับความเกียจคร้าน เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามกำจัดความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา ด้วยการเจริญพรหมวิหารความเมตตา ความเสียสละ ความอดทน มีสัจจะกับตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง
คนทั่วไปอาจจะเข้าใจเรื่องของความถูกต้องในระดับของสมมติเท่านั้นเอง ความถูกต้องในระดับของหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องคล้ายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า ละขันธ์ห้าละกิเลส ทำใจของเราให้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น นั่นแหละคือความถูกต้องเป็นเครื่องตัดสิน แต่เราเข้าไม่ถึงตรงนี้ รู้ไม่ถึงตรงนี้ ก็เลยเอาความถูกต้องระดับสมมติ
อันนี้มันก็ถูกต้องอยู่ในระดับหนึ่ง เราก็ต้องพยายามพากัน หมั่นสร้าง หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร การสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง แม้ตั้งแต่อานาปานสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา เราก็พยายามประคับประคองให้ต่อเนื่องกัน ก็ยังทำไม่ได้กัน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราเคยสำรวจจิตของเราหรือไม่ ว่าจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง หรือว่าเหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิดสักกี่อย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ หรือว่าเราสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่องกันถึง 5 นาที 10 นาทีหรือไม่
ช่วงใหม่ๆ กำลังสติของเราก็พลั้งเผลอก็เป็นธรรมดา ตราบใดที่เราไม่มีความขยันหมั่นเพียร แน่นอนที่สุดเลยสตินี่จะพลั้งเผลอ เพราะว่าความเคยชินแบบเก่าๆ แบบโลกๆ คิดเราก็รู้ว่าคิด ทำเราก็รู้ว่าทำ ก็เลยทำตามความคิดทำตามอารมณ์ จิตของเราก็เป็นทาสของอารมณ์ จิตของเราก็เป็นทาสของกิเลส
ลักษณะของกิเลสเป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยเห็น เรารู้อยู่ว่าความโลภเป็นอย่างนี้ ความโกรธเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยเห็นอาการของเขาเวลาเขาเกิด แล้วก็ไม่รู้จักละไม่รู้จักดับตั้งแต่ต้นเหตุ อันนี้เราต้องศึกษาให้ละเอียด
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเป็นอย่างไร ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร วิญญาณของเราหรือว่าดวงจิตของเรานี้รับรู้ ตากระทบรูปจิตของเราเกิดความยินดียินร้ายผลักไสไหม หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส ในชีวินประจำวันของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียดหมด
อย่าเบื่อหน่าย เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียร พอใจในสิ่งที่เราค้นหา พอใจยินดีในสิ่งที่เราแสวงหา ถ้ารู้แล้วเห็นแล้วจะมีตั้งแต่ความสุขความสนุก ว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสหรือไม่ ยิ่งเพิ่มความเพียรไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ
เมื่อรู้ความจริงแล้วจิตเขาก็จะวางเอง ไม่อยากจะวางก็ต้องวาง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนตั้งแต่เป็นมายา ไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราไปยึดมันถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนนี้ยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสของความโลภ เป็นทาสของความโกรธ เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากซึ่งเป็นยางเหนียวด้วย เราก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขมันปรับปรุงตัวเราเองนะ พยายามกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา
การได้ยินได้ฟังการที่อ่านทุกคนมีมากันเต็มเปี่ยม แต่การเริ่มลงมือ การสังเกต การวิเคราะห์ การสำรวจ การทำความเข้าใจการละการดับ ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้วจะไม่พลาดโอกาสเลยทีเดียวที่จะตามทำความเข้าใจ แล้วค่อยกำจัดกิเลสออกให้มันหมด มันไม่หมดวันนี้ ก็วันพรุ่งนี้ก็ต้องหมด ไม่หมดวันพรุ่งนี้วันมะรืนนี้ เดือนหน้าปีหน้า ถ้ามันไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า ตราบใดที่จิตของเรายังฝักใฝ่ยังสนใจ จิตของเรายังเดินทางอยู่
ทุกคนก็เดินทางกัน เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความสะอาดความบริสุทธิ์ เราอาจจะแวะอยู่ที่ตรงจุดนั้นบ้างจุดนี้บ้างก็เป็นธรรมดา ไปตามวิบากของกรรม แล้วแต่กรรมจะจำแนกแจกแจง ทีนี้เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับกรรม เมื่อรู้กรรมแล้ว เราก็ค่อยละกรรม คืออาการของขันธ์ห้า แล้วก็มาละการกระทำทางกายทางวาจา แล้วก็ทางใจ เราก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไวไม่รอช้า ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง