หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 012

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 012
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 012
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเรา หรือว่าเจริญสติ ระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย อันนี้จะเป็นเพียงแค่เล่าให้ฟังแล้วก็น้อม วางทุกสิ่งทุกอย่าง หยุดดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้เสียก่อน แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆให้ทั่วท้องกันทุกคน ลองดูสิ

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ความคิดต่างๆ ก็จะดับไป ความกังวลความฟุ้งซ่านของจิตก็จะหยุดนิ่ง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ให้เรารับรู้รับทราบความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา การที่เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัมผัสของลมหายใจก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เรามีความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก ลมวิ่งออกกระทบปลายจมูก

พยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ถ้าเราไปเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เรากระตุ้นความรู้สึก สร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องให้เด่นชัด ถ้าความรู้สึกหลุดไป หรือพลั้งเผลอไป เราก็พยายามสร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่ให้เกิดความเคยชิน

การหายใจเข้าออกนี้ พวกเราก็หายใจเข้าออกตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกต ขาดการสร้างความระลึกรู้ตัว สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็เลยไม่มี ก็มีตั้งแต่ปัญญา มีสติปัญญาที่วิ่งออกไปดูรู้ตั้งแต่ภายนอก รู้กายก็เลยไม่ค่อยจะมี แล้วก็ระลึกลงไป ลึกลงไป รู้จิตก็เลยไม่มี

ถ้าความระลึกรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะรู้จิต รู้เท่าทันความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมว่า จิตของเราเกิดอย่างไร จิตของเราหลงอะไร ความคิดอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ตรงนี้เอาไว้ทีหลัง ขอให้เราสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง แล้วพยายามรักษาความรู้สึกตรงนี้ พยายามสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ ไม่ว่าจะระลึกรู้ลมหายใจ ระลึกรู้การเดิน

ส่วนมากก็มีตั้งแต่จะไปพูด ไปคุย ไปฟัง อันนั้นก็เป็นแนวทาง เป็นแนวทางที่จะเป็นวิธี เป็นแนวทาง เรารู้จักวิธีเรารู้จักแนวทางแล้ว ไปเริ่มไปสร้างไปทำให้มีให้เกิดขึ้น ความระลึกรู้ตัวไม่มีไม่เกิดขึ้น เราก็พยายามสร้างให้มี จิตของเราไม่สงบก็รู้จักควบคุม ควบคุมให้สงบ

แล้วก็รู้จักสังเกต คลายจิตออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เราต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่ รู้เขาเกิดเขาก่อตัว เขาจะเคลื่อนเข้าไปร่วมกันเมื่อไหร่ เขาจะแยกของเขาเองนั่นแหละ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

ตราบใดที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ จะเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด วิปัสสนาคือความรู้แจ้ง รู้เห็นลักษณะ แล้วก็ทำความเข้าใจ ตามดูตามรู้ตามเห็นการเกิดการดับ เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ส่วนมากเรารู้อยู่ว่าเราคิด เราทำก็ทำตามความคิด ทำตามความรู้ แต่จิตของเราเข้าไปร่วมเข้าไปหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น มันก็เลยไม่ได้รู้ความเป็นจริง ทิฐิมานะ ความคิดเห็นของเราต่างๆ ที่ผุดขึ้นมา ทำไปแล้วจะได้อะไรไหม จะรู้อะไรไหม จะเห็นอะไรไหม ให้เราพยายามละพยายามดับ ถึงจะคิดไปเรื่องไหนก็ช่าง ถ้าเกิดจิตก็รีบดับรีบควบคุม

ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน ซึ่งเรียกว่า ‘เป็นการทวนกระแส’ เพราะจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรึงชอบแต่ง เรามาดับ มาอดมาข่ม มาสังเกตมาวิเคราะห์ จนถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละ เขาถึงจะคลาย ถ้าเขาคลายได้แยกได้จิตก็จะว่างกายก็จะเบา สติก็คมชัด ตามดูรู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าที่เรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ‘รอบรู้ในอารมณ์’

ตัวปัญญาตัวสติก็จะตามทำความเข้าใจ ชําระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา กิเลสจากหยาบๆ ไปหาละเอียด ทุกคนก็มีอานิสงส์กัน ไม่ใช่ว่าไม่มีอานิสงส์ ถ้าไม่มีอานิสงส์ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีบุญ บุญเก่าก็มี บุญใหม่ก็ได้สร้าง แต่การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การแยกรูปแยกนาม ตรงนี้กระท่อนกระแท่น ไม่ค่อยจะได้ทำกัน แล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจกันด้วย

ส่วนมากก็ได้ทำบุญได้ให้ทาน ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี พรหมวิหารความเมตตานั้นก็มีอยู่กันทุกคน แต่การสังเกตการแยกจิตแยกความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ลึกลงไปฐานของจิตอยู่ตรงไหน เขาก่อตัวตรงไหน เรื่องอะไรที่เขาเกิด จิตของเราส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร คําว่า ’สมาธิ ความสงบ’ เป็นอย่างไร ศีล สมาธิ ศีล ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร ศีลระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ

คำว่า ‘ศีล’ ก็คือความปกติ กายก็ปกติ วาจาก็ปกติ ลึกลงไปใจของเราปกติไหม หรือว่ายังคิดกังวลฟุ้งซ่านเป็นทาสฟุ้งอารมณ์กิเลสอยู่ เราก็ต้องหมั่นน้อมหมั่นดู ใหม่ๆ จิตของเราเร็วไวต่ออารมณ์ เราก็ต้องรู้จักใช้สมถะเข้าไปดับเข้าไปควบคุม

หยุดนิ่งสังเกตวิเคราะห์ แล้วก็สังเกตดูว่าขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง หรือความคิดที่เราไม่ตั้งใจเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตรงนี้เร็วไวมาก ถ้ากําลังสติของเราไม่เพียงพอ เราก็อยากที่จะสังเกตเห็น

สร้างระลึกความรู้ตัวไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกตัวหลุด หรือว่าพลั้งเผลอไปเราก็เริ่มใหม่ แล้วก็ทำความเข้าใจกับนิวรณ์ ขณะนี้จิตของเราฟุ้งซ่าน จิตของเราเกิดความยินดีในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงเราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม จิตของเราเกิดความอาฆาตพยาบาท เราก็อโหสิกรรมให้อภัยทาน

สติเราพลั้งเผลอ หรือว่าความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างความระลึกขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ มันก็จะมากขึ้นๆ จิตของเราเกิดความลังเล เกิดความกังวล เกิดความสงสัย เราก็รู้จักดับเสีย อย่าไปท้ออย่าไปถอย

ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ ถ้าคนเราเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ อยู่คนเดียวก็ไม่เจริญ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน ทำสมมติให้บริบูรณ์ก็ส่งผลถึงวิมุตติ ส่งผลถึงใจของเรา สมมติภาระหน้าที่การงานของเราต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงาน เราก็พยายามทำให้ราบรื่น ทำให้เรียบร้อย

อยู่กับหมู่อยู่กับคณะเราก็พยายามทำให้ดีก็เป็นการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าไปวัดแล้วถึงเป็นการปฏิบัติธรรม อยู่ที่บ้านนั่นแหละ อยู่ที่โรงงาน อยู่ที่ทำการทำงานนั่นแหละเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสติคอยสํารวจตรวจตราดูรู้ตลอดเวลา เราก็จะมองเห็นตัวเรา เราไม่รู้เรา เราก็จะรู้ในวันข้างหน้า

เราในที่นี้หมายถึงจิต หมายถึงดวงใจของเรา ใจของเราอยู่ตรงไหน หัวใจของเราอยู่ตรงไหน กลางใจของเราอยู่ตรงไหน เราพยายามน้อมเข้าไปดูรู้อยู่ตรงนั้น รู้อยู่บ่อยๆ เราก็จะเห็นเวลาเขาก่อตัว เวลาเขาเกิด เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุไม่ทัน เราก็ดับ

ถึงเราจะไปฝึกหัดปฏิบัติให้ที่ไหน ถ้าไม่เจาะลึกลงที่ฐานของใจแล้ว ก็มีตั้งแต่จะไปรวบยอดเอาตรงปลาย อันนั้นมันก็ไม่รู้ไม่เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ท่านให้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุไว้ก่อน แล้วก็ทำความเข้าใจ ถ้าเห็นต้นเหตุแล้ว เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ถ้าเรายังไม่เห็นต้นเหตุเหมือนกับมีอะไรมาครอบงำเอาไว้ ก็คือสมมตินั่นแหละ อวิชชานั่นแหละ ความหลง ความไม่รู้มาครอบงำเอาไว้

เราถึงได้มาสร้างวิชา มาสร้างปัญญาเข้าไปน้อมสํารวจตรวจดู แล้วก็พยายามชําระสะสางกิเลส สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี ศรัทธาของเราเต็มเปี่ยมไหม เรามีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็เชื่อในความตรัสรู้ของพุทธองค์อันนี้ท่านก็บอกให้ บอกหนทางบอกแนวทางให้ ท่านอย่าเพิ่งว่า อย่าเพิ่งเชื่อเต็มที่ ให้ทำปฏิบัติตามคำสั่งสอนคําชี้แนะแนวทางของท่านให้รู้ให้เห็นเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ

ขณะที่เรายังไม่ถึง เราพยายาละทิฐิ ละความคิดของเราออกให้หมด ดับอย่าเพิ่งผุดขึ้นมาโต้แย้ง ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร ความสงสัยทิฐิต่างๆ นี้จะคลายหมด มีตั้งแต่กําลังสติตามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ต้องพยายามกัน เอากายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ อยู่บ่อยๆ

อยู่ที่ไหนก็เป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสติคอยสํารวจตรวจตราดูรู้ตลอดเวลา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ ถ้าเรารู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรานะ ถ้าเราไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ถึงจะปฏิบัติยังไงก็ไปไม่ถึง การปฏิบัติธรรมจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ถ้าไม่รู้จักละกิเลส คลายความหลง มันก็เหมือนเดิม ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเองก็เหมือนเดิม เราต้องปรับปรุงตัวเราให้ได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้จักตัวเอง ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเองให้ได้ ถึงจะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ต้องพยายามกันนะ

ญาติโยมที่มามาถึงวัดป่าแล้วก็ให้ถือเสียว่ามาบ้านของเรา ให้ตัดความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆออกไป มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้อิสระเต็มที่ ทุกคนก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาบังคับ คนมีสติคนมีปัญญาฟังนิดเดียวไปฝึกหัดไปสํารวจตรวจตราดูตัวเราเอง

การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างความระลึกรู้ตัวเป็นอย่างนี้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุของจิต เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จนกว่าเราจะสังเกตเห็นทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำการทำงาน ยืนเดินนั่งนอน เวลารับประทานอาหาร กินอยู่ขับถ่าย ก็ต้องรู้ความปกติของจิต จิตรับรู้ ต่อไปข้างหน้าจิตรับรู้

สติไม่มีเราก็สร้าง ความระลึกรู้ไม่มีเราก็สร้าง เราก็ทำให้ต่อเนื่อง สมาธิไม่มีเราก็พยายามสร้างให้มี จิตของเราฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ จิตของเราสงบแล้วสมาธิก็เกิดขึ้น ถ้าเราสังเกตเห็นอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราแยกได้นั่นแหละ วิปัสสนาก็เริ่มเกิดขึ้น เราก็จะตามทำความเข้าใจ

การเกิดการดับของจิตของขันธ์ห้า ของความคิดนั้นเขามีอยู่เดิมแล้ว เรามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตวิเคราะห์ดู ลองอดพูดอดคิด สังเกตดูความคิดให้ทัน แต่ละวันๆ ตื่นเช้าขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เหตุภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิดสักกี่อย่าง เราต้องรีบแก้ไข ก็ต้องพยายามนะ นี่ก็เพียงแต่เล่าให้ฟัง

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง