หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 006
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 006
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริง เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อันนี้เป็นการเป็นเพียงแค่เล่าแค่ชี้แนะอุบายในการสร้างความรู้ตัว
ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้น จิตจะส่งออกไปภายนอกปุ๊บ สติของเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็รู้เท่าทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักระงับ จิตจะเกิดความโลภความโกรธ เกิดความยินดียินร้าย จิตส่งออกไปภายนอกเราก็มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็ดับ รู้จักควบคุม แต่เวลานี้เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้สึกตัวของเราก็ยังไม่ค่อยจะมี สติปัญญาในทางโลกนั้นมีกันเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่เช้าขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เราเคยสำรวจหรือไม่ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร อาการเขาเกิดอย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำจิตของเราสักกี่เรื่อง จิตของเราฟุ้งซ่านไหม จิตของเราเกิดความกังวล เกิดความลังเลสงสัยหรือไม่ สติของเราพลั้งเผลอหรือไม่ เราต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตราดู ถ้าเราขยันหมั่นเพียร แต่อย่าขยันหมั่นเพียรด้วยความอยากที่เกิดจากกิเลส
เราต้องรู้ให้ชัดเจนว่า อันนี้ความรู้สึกตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ลักษณะของจิตจิตที่สงบ จิตที่ไม่ส่งออกไปข้างนอกก็เป็นอย่างนี้ จิตที่ส่งออกไปภายนอก อาการเขาก่อตัว เราดับเราควบคุมได้ตั้งแต่เริ่มเขาเกิดหรือไม่ หรือว่าควบคุมได้ช่วงกลาง ช่วงปลาย หรือว่าไม่ได้ควบคุม
จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น เขาก็ส่งออกไปภายนอกอยู่ตลอด ทั้งส่งออกไปด้วย ทั้งหลงด้วย ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม ทุกคนก็จะว่าตัวเองไม่หลงในส่วนลึกๆ นั้นหลง หลงความคิดหลงอารมณ์ แล้วก็ทำให้เกิดอัตตาตัวตนยึดมั่นถือมั่น
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่าอัตตา เป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดการดับของจิตเป็นอย่างไร ความทุกข์ คำว่า ‘ทุกข์ สมุทัย นิโรธ’ เราต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ละเอียด ถ้าเราไม่ศึกษา แต่เราไปศึกษาด้วยสติด้วยปัญญาโลกีย์ มันก็เป็นแค่เพียงปัญญาสมมติเท่านั้นเอง
เราต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัว รู้กายรู้จิต ส่วนการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่แล้ว มีไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เขาเกิดเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น ขณะที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในส่วนรูปธรรมก็ร่างกายของเรานี่แหละ ในส่วนนามธรรมก็จิตกับขันธ์ห้านั่นแหละ ลึกลงไปอีก เราต้องพยายามแยกจิตออกจากขันธ์ห้าให้ได้ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องนัตตา ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทันที
เราก็ต้องพยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน เป็นคนมีความเสียสละ สร้างตบะบารมีตลอดเวลา แต่ละวันๆ เราต้องหมั่นสํารวจ ไม่ใช่ว่าอยากจะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม ก็จิตของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม จิตที่วางว่างจากการเกิด จิตที่ไม่มีกิเลส จิตที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเขาก็สงบ เขาก็ว่าง ลักษณะของความว่าง ว่างอิสระ อิสระจากการเกิด อิสระจากความคิด จากอารมณ์ต่างๆ เราก็ต้องพยายามหมั่นขวนขวายกัน
ไม่ว่าพระไม่ว่าโยมไม่ว่าชี ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เข้าวัดอยู่ตลอดเวลา ใครรู้ธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า หมายถึงเห็นจิต รู้จิตนั่นแหละ รู้ลักษณะของจิต ทีนี้จิตของเรากิเลสตัวไหนที่ยังค้างๆ อยู่เราก็พยายามดับ พยายามละ ทำความเข้าใจ
ทุกคนก็มีกิเลสกันหมด ถ้าเรารู้เท่าทันแล้ว เราก็รู้จักดับรู้จักละ ภาระหน้าที่ข้างนอกเราก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ทำไปเพื่อให้เกิดประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ต้องไปหลบหลีกลี้เหตุการณ์หรอก
ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เราก็ทำความเข้าใจกับเขาเสีย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา เราก็ต้องพยายามดูว่าจิตของเราปกติไหม เกิดความยินดียินร้ายไหม ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ เข้ามาใช้ เราก็เอามาด้วยสติ เอามาด้วยปัญญา
ไม่ให้จิตของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว แม้แต่การเกิดของจิต อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ คนทั่วไปก็ต้องพยายามหมั่นสร้างตบะสร้างบารมี ศรัทธาของเราเต็มเปี่ยมไหม มีความเสียสละ มีการชำระสะสางกิเลส รู้จักอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ ต่อเหตุการณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบ รู้จักอดทนอดกลั้นต่อจิตของเราที่เกิดส่งไปข้างนอก รู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม
จิตทุกคนก็เป็นบุญ จิตเป็นบุญเป็นกุศล ทำไมถึงว่าเป็นบุญเป็นกุศล เพราะว่าฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน อยากจะทำบุญอยากจะให้ทานอยู่ตลอดเวลา ได้ยินข่าวได้ทราบข่าวก็อยากจะไปทำบุญร่วมกันที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง อันนี้เป็นมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายในการทำบุญให้ทานกัน แล้วก็ประพฤติปฏิบัติกันมา แต่การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์อาจจะมีบ้างเป็นบางครั้ง ไม่ได้ควบคุมได้ตลอด แล้วก็ไม่ได้คลายจิต ไม่ได้แยกออกจากความคิดออกจากอารมณ์ อันนี้สำหรับคนที่มีความเพียรในการสังเกตในการวิเคราะห์
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนซึ่งเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ จิตของเราชอบคิดชอบเที่ยว เราไม่ให้จิตของเราคิดเที่ยว มันก็เลยอึดอัด บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เขาไปด้วยกันไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ เราจะมาจับเขาแยกเพียงแค่เดิน 5 นาที 10 นาทีไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างบารมีของเราไปเรื่อยๆ สร้างไปจนกว่าจิตของเราเต็มอิ่ม ไม่มีความหิวโหย ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก
ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ เราเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราจะทิ้งโลกไม่ได้ นอกจากหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วางกายจากกันได้ กายของเรานี่แหละก้อนโลก โลกภายนอก โลกภายใน โลกภายในกายของเรานี่แหละซึ่งมีวิญญาณ หรือว่าจิตของเรานี้มาครอบครอง ในส่วนโลกภายนอกนั้น เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ
การศึกษาธรรมะไม่ใช่ว่าไม่ใช่ว่าศึกษาโดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจ ถ้าไม่ได้ทำความเข้าใจ ก็ศึกษาด้วยความหลง จะลุกจะก้าวจะเดิน เราปฏิบัติตนเองได้ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยมรรคมีองค์แปด ข้อแรกข้อที่หนึ่งเลย สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้ง แล้วก็ตามทำความเข้าใจให้มันได้ตลอดทุกเรื่อง อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา
แม้ตั้งแต่ลมหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ลมหายใจเข้าเป็นอย่างนี้ ลมหายใจออกเป็นอย่างนี้ เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าลมหายใจเข้าหายใจออกที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยสร้างความรู้สึกตรงนี้เลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา คนเรามีอยู่ด้วยลมหายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ดูอยู่บ่อยๆ เราก็จะเกิดความเคยชิน ทำบ่อยๆ
เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘การเจริญอานาปานสติ’ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ ทำอยู่บ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ น้อมเข้าไปสำเหนียก เรามีสติรู้กาย แล้วก็รู้จิต รู้ฐานของจิต รู้เท่าทันความคิดอารมณ์ที่จะมาหลอก มาหลอกจิตของเรา จิตหลอกจิตเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าหลอกจิตเป็นอย่างไร กิเลสมารต่างๆ เขาก็รุมเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่อยากให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน ไม่ว่าพระว่าโยม พระเรามาอยู่ร่วมกันหลายรูปหลายองค์หลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ขอให้มีความรักความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ค่อยพูดค่อยจา ผู้น้อยก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็เชื่อฟังผู้น้อย อย่าเอาทิฐิมานะเข้าห้ำหั่นกัน มีตั้งแต่ความรักความเมตตา มีความอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถึงหลวงพ่อไม่อยู่ด้วยก็พยายามหมั่นขยันหมั่นเพียรกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ เพราะว่าเป็นสมบัติของทุกคนที่มาอาศัยอยู่ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วก็ต้องได้พลัดพรากจาก ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องได้วางหมด แม้แต่กายของเราก็ต้องได้วาง ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามสร้างคุณงามความดี
อันไหนที่จะเป็นประโยชน์เราก็พยายามรีบทำเสีย อย่าไปคิดว่าไม่ใช่ของเรา เป็นของทุกคน ทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งภายนอกทั้งภายใน ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ เราก็ต้องพยายามดู ไม่มีน้ำเราก็เปิดน้ำใส่ให้เต็ม ไม่ใช่ว่าปล่อยให้รกรุงรังทำความสกปรก ใช้ไม่ได้อย่างนั้น ถึงมีห้องเดียวก็ให้มันสะอาด ไปดูบางที่บางสถานที่มีเป็นร้อยๆ หาห้องน้ำที่จะใช้ก็ไม่มี เพราะว่าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ ทั้งคนก็เยอะ มีตั้งแต่ความสกปรก แต่ปากก็พูดว่าชอบความสะอาด
เราก็ต้องพยายามจัดความเป็นระบบระเบียบทั้งภายในกายของเรา จิตของเรา ทั้งภายนอกให้เป็นระเบียบ หมั่นพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ อะไรคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราอยู่กับสมมติ ทำอย่างไรเราถึงจะทำสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เราก็จะได้อนุเคราะห์ตัวเรา แล้วก็อนุเคราะห์สังคม อนุเคราะห์โลกอยู่ตลอดเวลา จิตใจของเราก็มีตั้งแต่ความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีนั่นแหละ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้น จิตจะส่งออกไปภายนอกปุ๊บ สติของเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็รู้เท่าทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักระงับ จิตจะเกิดความโลภความโกรธ เกิดความยินดียินร้าย จิตส่งออกไปภายนอกเราก็มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็ดับ รู้จักควบคุม แต่เวลานี้เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้สึกตัวของเราก็ยังไม่ค่อยจะมี สติปัญญาในทางโลกนั้นมีกันเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่เช้าขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เราเคยสำรวจหรือไม่ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร อาการเขาเกิดอย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำจิตของเราสักกี่เรื่อง จิตของเราฟุ้งซ่านไหม จิตของเราเกิดความกังวล เกิดความลังเลสงสัยหรือไม่ สติของเราพลั้งเผลอหรือไม่ เราต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตราดู ถ้าเราขยันหมั่นเพียร แต่อย่าขยันหมั่นเพียรด้วยความอยากที่เกิดจากกิเลส
เราต้องรู้ให้ชัดเจนว่า อันนี้ความรู้สึกตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ลักษณะของจิตจิตที่สงบ จิตที่ไม่ส่งออกไปข้างนอกก็เป็นอย่างนี้ จิตที่ส่งออกไปภายนอก อาการเขาก่อตัว เราดับเราควบคุมได้ตั้งแต่เริ่มเขาเกิดหรือไม่ หรือว่าควบคุมได้ช่วงกลาง ช่วงปลาย หรือว่าไม่ได้ควบคุม
จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น เขาก็ส่งออกไปภายนอกอยู่ตลอด ทั้งส่งออกไปด้วย ทั้งหลงด้วย ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม ทุกคนก็จะว่าตัวเองไม่หลงในส่วนลึกๆ นั้นหลง หลงความคิดหลงอารมณ์ แล้วก็ทำให้เกิดอัตตาตัวตนยึดมั่นถือมั่น
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่าอัตตา เป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดการดับของจิตเป็นอย่างไร ความทุกข์ คำว่า ‘ทุกข์ สมุทัย นิโรธ’ เราต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ละเอียด ถ้าเราไม่ศึกษา แต่เราไปศึกษาด้วยสติด้วยปัญญาโลกีย์ มันก็เป็นแค่เพียงปัญญาสมมติเท่านั้นเอง
เราต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัว รู้กายรู้จิต ส่วนการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่แล้ว มีไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เขาเกิดเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น ขณะที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในส่วนรูปธรรมก็ร่างกายของเรานี่แหละ ในส่วนนามธรรมก็จิตกับขันธ์ห้านั่นแหละ ลึกลงไปอีก เราต้องพยายามแยกจิตออกจากขันธ์ห้าให้ได้ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องนัตตา ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทันที
เราก็ต้องพยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน เป็นคนมีความเสียสละ สร้างตบะบารมีตลอดเวลา แต่ละวันๆ เราต้องหมั่นสํารวจ ไม่ใช่ว่าอยากจะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม ก็จิตของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม จิตที่วางว่างจากการเกิด จิตที่ไม่มีกิเลส จิตที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเขาก็สงบ เขาก็ว่าง ลักษณะของความว่าง ว่างอิสระ อิสระจากการเกิด อิสระจากความคิด จากอารมณ์ต่างๆ เราก็ต้องพยายามหมั่นขวนขวายกัน
ไม่ว่าพระไม่ว่าโยมไม่ว่าชี ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เข้าวัดอยู่ตลอดเวลา ใครรู้ธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า หมายถึงเห็นจิต รู้จิตนั่นแหละ รู้ลักษณะของจิต ทีนี้จิตของเรากิเลสตัวไหนที่ยังค้างๆ อยู่เราก็พยายามดับ พยายามละ ทำความเข้าใจ
ทุกคนก็มีกิเลสกันหมด ถ้าเรารู้เท่าทันแล้ว เราก็รู้จักดับรู้จักละ ภาระหน้าที่ข้างนอกเราก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ทำไปเพื่อให้เกิดประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ต้องไปหลบหลีกลี้เหตุการณ์หรอก
ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เราก็ทำความเข้าใจกับเขาเสีย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา เราก็ต้องพยายามดูว่าจิตของเราปกติไหม เกิดความยินดียินร้ายไหม ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ เข้ามาใช้ เราก็เอามาด้วยสติ เอามาด้วยปัญญา
ไม่ให้จิตของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว แม้แต่การเกิดของจิต อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ คนทั่วไปก็ต้องพยายามหมั่นสร้างตบะสร้างบารมี ศรัทธาของเราเต็มเปี่ยมไหม มีความเสียสละ มีการชำระสะสางกิเลส รู้จักอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ ต่อเหตุการณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบ รู้จักอดทนอดกลั้นต่อจิตของเราที่เกิดส่งไปข้างนอก รู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม
จิตทุกคนก็เป็นบุญ จิตเป็นบุญเป็นกุศล ทำไมถึงว่าเป็นบุญเป็นกุศล เพราะว่าฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน อยากจะทำบุญอยากจะให้ทานอยู่ตลอดเวลา ได้ยินข่าวได้ทราบข่าวก็อยากจะไปทำบุญร่วมกันที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง อันนี้เป็นมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายในการทำบุญให้ทานกัน แล้วก็ประพฤติปฏิบัติกันมา แต่การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์อาจจะมีบ้างเป็นบางครั้ง ไม่ได้ควบคุมได้ตลอด แล้วก็ไม่ได้คลายจิต ไม่ได้แยกออกจากความคิดออกจากอารมณ์ อันนี้สำหรับคนที่มีความเพียรในการสังเกตในการวิเคราะห์
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนซึ่งเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ จิตของเราชอบคิดชอบเที่ยว เราไม่ให้จิตของเราคิดเที่ยว มันก็เลยอึดอัด บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เขาไปด้วยกันไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ เราจะมาจับเขาแยกเพียงแค่เดิน 5 นาที 10 นาทีไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างบารมีของเราไปเรื่อยๆ สร้างไปจนกว่าจิตของเราเต็มอิ่ม ไม่มีความหิวโหย ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก
ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ เราเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราจะทิ้งโลกไม่ได้ นอกจากหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วางกายจากกันได้ กายของเรานี่แหละก้อนโลก โลกภายนอก โลกภายใน โลกภายในกายของเรานี่แหละซึ่งมีวิญญาณ หรือว่าจิตของเรานี้มาครอบครอง ในส่วนโลกภายนอกนั้น เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ
การศึกษาธรรมะไม่ใช่ว่าไม่ใช่ว่าศึกษาโดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจ ถ้าไม่ได้ทำความเข้าใจ ก็ศึกษาด้วยความหลง จะลุกจะก้าวจะเดิน เราปฏิบัติตนเองได้ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยมรรคมีองค์แปด ข้อแรกข้อที่หนึ่งเลย สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้ง แล้วก็ตามทำความเข้าใจให้มันได้ตลอดทุกเรื่อง อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา
แม้ตั้งแต่ลมหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ลมหายใจเข้าเป็นอย่างนี้ ลมหายใจออกเป็นอย่างนี้ เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าลมหายใจเข้าหายใจออกที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยสร้างความรู้สึกตรงนี้เลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา คนเรามีอยู่ด้วยลมหายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ดูอยู่บ่อยๆ เราก็จะเกิดความเคยชิน ทำบ่อยๆ
เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘การเจริญอานาปานสติ’ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ ทำอยู่บ่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ น้อมเข้าไปสำเหนียก เรามีสติรู้กาย แล้วก็รู้จิต รู้ฐานของจิต รู้เท่าทันความคิดอารมณ์ที่จะมาหลอก มาหลอกจิตของเรา จิตหลอกจิตเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าหลอกจิตเป็นอย่างไร กิเลสมารต่างๆ เขาก็รุมเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่อยากให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน ไม่ว่าพระว่าโยม พระเรามาอยู่ร่วมกันหลายรูปหลายองค์หลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ขอให้มีความรักความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ค่อยพูดค่อยจา ผู้น้อยก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็เชื่อฟังผู้น้อย อย่าเอาทิฐิมานะเข้าห้ำหั่นกัน มีตั้งแต่ความรักความเมตตา มีความอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถึงหลวงพ่อไม่อยู่ด้วยก็พยายามหมั่นขยันหมั่นเพียรกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ เพราะว่าเป็นสมบัติของทุกคนที่มาอาศัยอยู่ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วก็ต้องได้พลัดพรากจาก ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องได้วางหมด แม้แต่กายของเราก็ต้องได้วาง ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามสร้างคุณงามความดี
อันไหนที่จะเป็นประโยชน์เราก็พยายามรีบทำเสีย อย่าไปคิดว่าไม่ใช่ของเรา เป็นของทุกคน ทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งภายนอกทั้งภายใน ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ เราก็ต้องพยายามดู ไม่มีน้ำเราก็เปิดน้ำใส่ให้เต็ม ไม่ใช่ว่าปล่อยให้รกรุงรังทำความสกปรก ใช้ไม่ได้อย่างนั้น ถึงมีห้องเดียวก็ให้มันสะอาด ไปดูบางที่บางสถานที่มีเป็นร้อยๆ หาห้องน้ำที่จะใช้ก็ไม่มี เพราะว่าไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ ทั้งคนก็เยอะ มีตั้งแต่ความสกปรก แต่ปากก็พูดว่าชอบความสะอาด
เราก็ต้องพยายามจัดความเป็นระบบระเบียบทั้งภายในกายของเรา จิตของเรา ทั้งภายนอกให้เป็นระเบียบ หมั่นพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ อะไรคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราอยู่กับสมมติ ทำอย่างไรเราถึงจะทำสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เราก็จะได้อนุเคราะห์ตัวเรา แล้วก็อนุเคราะห์สังคม อนุเคราะห์โลกอยู่ตลอดเวลา จิตใจของเราก็มีตั้งแต่ความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีนั่นแหละ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง