หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 114

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 114
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 114
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกันสักพัก ไม่สักพักหรอก พยายามทำให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตของเราให้สงบ ทำกายของเราสบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ อย่าไปบังคับลมหายใจ นั่งให้สบายไม่ต้องไปเกร็งร่างกาย นั่งให้สบาย สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ

การที่เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตก็จะหยุดก็จะดับไป สัมผัสความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละ เวลาลมหายใจเข้าเรามีความรู้สึกรับอยู่ เวลาลมหายใจออกเรามีความรู้สึกรับรู้ อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ไม่ต้องตามเข้าไปถึงท้องก็ได้

ความรู้สึกตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ บางคนบางท่านก็อาจจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ เวลาสัมผัสลมหายใจกระทบปลายจมูกก็มีความรู้สึกว่า ‘พุธ’ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกว่า ‘โธ’ เพื่อที่จะให้มีความกระชับแน่นเข้าไปอีก หรือว่ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกเฉยๆ ก็ได้ มีความรู้สึกรู้เวลาลมเข้าเวลาลมออก

พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าความรู้สึกตัวเข้มแข็งขึ้นมา ต่อเนื่องขึ้นมา จิตจะคิดตรงไปภายนอกความรวบตัวก็จะรู้เท่าทัน ก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม ซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ - สมถภาวนา’ จิตของเราก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ

จิตนี่ถ้าไม่ได้ฝึก เขาก็จะวิ่งออกไปภายนอกเรื่องนู้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง วิ่งส่งออกไปภายนอก เป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอารมณ์ บางทีก็มีความโลภเข้าไปเจือปน บางที่ก็มีความอยากเข้าไปเจือปน ความยินดียินร้าย

ในหลักธรรมท่านก็ว่าไปเสวย ไปเสวยอารมณ์ บางทีก็มีอาการของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ขณะเขาก่อตัวจิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม เมื่อเขาเคลื่อนเข้าไปรวมแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ เขาหลงความคิดตรงนั้นอยู่ นั่นแหละโมหะอวิชาความหลง หลงอย่างลุ่มลึก แล้วก็รู้อยู่ว่าคิด เราทำเราก็รู้ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่

เราต้องหัดสังเกตบ่อยๆ สังเกตตั้งแต่อาการของความคิดเริ่มก่อตัว ว่าเขาเกิดอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมลักษณะอย่างไร ถ้าเรารู้ทันจิตของเราก็จะดีดออกจากความคิดนั้น เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ จิตของเราถึงจะหงาย หงายขึ้นมาก็จะว่าง กายก็จะเบา อันนี้เพียงแค่สัมมาทิฏฐิ ความเริ่มต้นของการเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้น แต่อานิสงส์ส่วนอื่น บารมีส่วนอื่น ความเสียสละ ศรัทธา พรหมวิหาร ความเมตตา การละกิเลส ตรงนั้นมีบารมีกันมาทุกคน แต่การแยกรูปแยกนาม ตามดูขันธ์ห้า ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเอง

เราขาดการตามทำความเข้าใจ เราขาดการละตัวนี้ เมื่อตามทำความเข้าใจได้ จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ เขาก็จะมองเห็นตามความเป็นจริง ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เขาถึงจะละเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ ตามปกติ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจก็ยากที่เขาจะปล่อยจะวาง เพราะว่าเขาอยู่รวมกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์

เราจะมาจับเขาแยกออกจากกันเพียงแค่วันสองวันเป็นไปไม่ได้ เราต้องพยายามเจริญพรหมวิหาร สร้างตบะบารมี หมั่นขัดเกลาตัวเราตลอดเวลา จะทำอะไร เราก็ทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากจิต

กายของเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะ ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ ถ้าเรารู้จักพิจารณาจะมีความสุข กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา เราก็รู้เท่าทัน เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสหรือไม่ เราจะแพ้ให้กิเลสหรือไม่ ถ้าพลั้งเผลอหรือแพ้ เราก็เริ่มต้นใหม่เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้ามีการพลั้งเผลอ ถ้ามีความรู้สึกหลุดไปแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ถ้าเกียจคร้านในการเจริญสติก็ยากที่จะเข้าใจ

ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย เราต้องพยายามหมั่นน้อมสังเกตดูรู้ ว่ากายปกติ จิตปกติ ต่อไปข้างหน้าก็รู้ฐานจิต ฐานของจิตก็อยู่ตรงหัวใจของเรานั่นแหละ อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ ถ้าเราหมั่นสังเกตดูดีๆ เวลาเราตกใจ เราตกใจอยู่ตรงไหน เวลาผวา ผวาอยู่ตรงไหน เวลาอาการของความคิดมันเริ่มก่อตัวตรงไหน เราต้องสร้างผู้รู้ สร้างความรู้สึกตัวตัวใหม่เข้าไปสังเกตดู ส่วนมากตัวจิตมันจะไปนึกเอาไปคิดเอา ก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เราต้องสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปดับ เข้าไปควบคุม

ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ปัญญาเก่าของเรานั้นมันเกิดๆ ดับๆ ปัญญาเก่าของเราซึ่งเกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้านั้น เขามีกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เพียงแค่เรามาเจริญสติเข้าไปสำรวจปัญญาเก่าของเราให้ทัน

ถ้าเรารู็ทัน แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ไม่เดินถึงช้า ก็ต้องเดินถึงเร็ว ตราบใดที่พวกเรายังเดินกันอยู่ ยังสร้างบุญสร้างบารมีกันอยู่

นี่ก็ใกล้วันงานเข้ามา ก็เหลืออีกประมาณสัก 2-3 วัน 4-5 วัน วันที่ 20-21 ก็จะได้ชมองค์หลวงปู่ใหญ่ ได้ชมอานิสงส์ใหญ่กัน มีความสุขกัน ได้มาตั้งโรงทานเลี้ยงญาติโยมเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องให้ทุกคนได้อิ่มหนำสำราญกัน หลวงพ่อก็มีโอกาสก็พาทำ หลวงพ่อก็เป็นสะพานบุญให้ทุกคน เท่าที่โอกาสอำนวย เท่าที่กาลเวลาอำนวย เท่าที่กำลังมี ทำทุกอย่างก็ให้เป็นอานิสงส์ผลบุญ ไม่ว่าจะบุญมากบุญน้อย ประโยชน์มากประโยชน์น้อย มีโอกาสก็ให้รีบทำ แม้ตั้งแต่ความคิด คิดในทางที่ดี ทำไปทางที่ดี พูดจาก็ให้เป็นประโยชน์ พูดถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละ คิดถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละ เจริญเฉพาะในทางกุศล

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกตัวเราให้ชัดเจนกันนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราอย่างเดียว ทำสมองให้โล่ง จิตให้โปร่ง กายให้ว่าง ถ้าเราไปจดจ่อ ไปเพ่ง สมองก็จะตึง ถ้าเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็จะแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยวาง สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำต่อกันเอานะ สร้างสานต่อกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง