หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 103
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 103
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง รู้จักวิเคราะห์พิจารณา อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง
เมื่อวานนี้ก็คณะครูทางโรงเรียนบ้านโนนทัน โรงเรียนอะไรนะๆ โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนทัน มาประมาณสักกี่คนละ บ้านโนนชัย มาประมาณสักกี่คนล่ะ 37 คน คิดถึงบ้านยัง เอาแค่เรื่องคิดถึงบ้านก็พอ มานอนวัดๆ มาค้างวัด มาเปลี่ยนบรรยากาศๆ
ตามหลักความเป็นจริงแล้ว ก็มาหัดวิเคราะห์ตัวเราเองนั่นแหละ มาวิเคราะห์ตัวเรา มาแก้ไขตัวเรา มาปรับปรุงตัวเรา หาโอกาสมา ทุกคนก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก แต่บุญเก่าก็มี บุญใหม่ก็มาเพิ่มมาเสริม มาทำความเข้าใจ แต่ส่วนมากบุญใหม่ไม่ค่อยจะสร้างเท่าไร สร้างอยู่ทำอยู่ ตั้งแต่การทำบุญการให้ทาน
การเจริญสติ การเจริญภาวนา การเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ไม่ค่อยจะทำกันเท่าไร เพราะว่าภาระหน้าที่ปิดกั้นเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างปิดกั้นเอาไว้ ก็เลยขาดการทำความเข้าใจที่ละเอียด แต่การทำบุญ การให้ทาน การสร้างบารมีนั้นก็มีกันทุกคน
การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมา ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ถ้าในหลักของการปฎิบัติธรรมก็สำเร็จไปเกือบ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี แล้วก็สมหวังในชีวิต ได้ทำการทำงาน แต่มาพลาดโอกาสอยู่ ไม่รู้จักบริหาร รู้จักตั้งแต่บริหารแบบโลกๆ แบบสร้างภาระสร้างหนี้สร้างสินให้ตัวเอง ไม่รู้จักบริหารเงินเดือนให้ถูกต้องตั้งแต่แรก
ทำงานเดือนแรกๆ รู้สึกว่าเงินเดือนน้อยๆ มันเหลือเยอะ ทำไปทำมากลับไม่พอใช้ ยิ่งทำมากเท่าไรมันก็ยิ่งติดภาระ เป็นดินพอกหางหมู เป็นอย่างนี้แทบทุกคนเลยตามที่ปรากฏเห็น สมมติก็เลยไม่ราบรื่น มันก็เลยยาก เพราะว่าเราขาดการแก้ไขตั้งแต่แรก การบริหารเงินเดือนของตัวเองให้ถูกต้อง การบริหารภาระหน้าที่ตั้งแต่ใหม่ๆ ช่วงเข้าทำงานใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าเงินนี่มันเหลือเยอะ พอทำไปทำมาหลายเดือนหลายปีเข้า เงินกลับไม่พอใช้ ยิ่งเป็นข้าราชการ หน่วยงานต่างๆ ก็มีสวัสดิการมาล่อ อันโน้นมาล่อบ้าง อันนี้มาล่อบ้างก็เอา เพียงแค่เรื่องเงินเดือนอย่างเดียวนั่นแหละ ถ้าใครเริ่มต้นได้ถูกต้องนี้ไม่ต้องไปกังวลเลยในความสุข มีน้อยก็มีความสุข ไม่มีก็มีความสุข มีมากก็รู้จักใช้ รู้จักแก้ปัญหาแก้ไขตัวเอง เพราะว่าสติปัญญาทางโลกนั้นมีกันเต็มเปี่ยม เป็นอัจฉริยะ การประพฤติปฏิบัติจิต ไปนั่งอยู่ที่ไหนภาระมันก็ลอยมา
บางทีก็เป็นลูกเต้าเหล่าหลานได้รับการศึกษาเล่าเรียน ลูกคนโน้นก็เป็นอย่างนั้น ลูกคนนี้ก็เป็นอย่างนี้ ขาดอันนั้นขาดอันนี้ อันนั้นก็ไม่พอ อันนี้ก็ไม่พอ ถ้าคนเรารู้จักแก้ไขปัญหาเพียงแค่ระดับของสมมติให้ได้ ส่วนการประพฤติปฏิบัติจิตนั้นก็จะไปได้เร็วได้ไว
ใครยังมีภาระหนี้สินอยู่ก็ไปรีบแก้ซะนะ แก้ให้มันตก ถ้าแก้ไม่ตกมันจะไปแก้เอาภพหน้านะ พยายามแก้ มีเท่าไรก็พยายามแก้ไข แต่การทำบุญก็มีอยู่ การให้ทานก็มีอยู่ ความรับผิดชอบก็มีอยู่ เราต้องรับผิดชอบตัวเราให้มากๆ
การได้ยินได้ฟังได้อ่านอันนี้มีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือละกิเลสมีเป็นบางครั้ง ไม่ได้ขัดเกลาให้ได้ตลอด การไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ก็ได้แค่ความสงบ ด้วยการข่ม ด้วยการฝืน ไม่ใช่เป็นอิสระที่ปราศจากจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นเพียงแค่ได้รับความสงบ การข่มการฝืนกับการมีปัญหา เราต้องต่อสู้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องต่อสู้ต้องแก้ไขอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ถ้าพูดตามความเป็นจริงในหลักธรรม ความอยากแม้แต่นิดเดียวท่านคงไม่ให้เกิด อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม ท่านก็ให้ดับความอยากนั้นเสีย จิตถึงจะสงบถึงจะปล่อยจะว่าง ความเสียสละต้องเต็มเปี่ยม มีความเสียสละ มีความเพียร ความอดทนอดกลั้น มีพรหมวิหาร หมั่นน้อมสำรวจกายอินทรีย์ของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อันนี้ไปสร้างตั้งแต่เหตุภายนอกมาปกปิดดวงจิตเอาไว้ ปกปิดเอาไว้มากขึ้นๆ บางคนก็ปกปิดข้ามภพข้ามชาติ เราจะมาแก้ไขเพียงแค่วันสองวันมันก็แก้ไขไม่ได้หรอก
มันก็ต้องค่อยแก้ไขกันไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามแก้ ในเรื่องจิตนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การพูดมากนอนมากกินมากทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่การดำรงชีวิตระดับของสมมติก็ยังทำยังขาดตกบกพร่องอยู่ ถ้าจะไปเรื่องจิตมันก็เลยยาก แต่ละวันๆ อันนี้พูดความจริงเลยนะ พูดความจริง ยิ่งเป็นข้าราชการแล้วก็ยิ่งนั่นใหญ่ เพราะว่ามันทำงานเกี่ยวพันกันหลายหน่วยงานหลายบุคคลมากมาย
แต่ก็ยังดีที่ยังพากันสนใจฝักใฝ่ หรือว่าโดนบังคับมาก็ไม่รู้นะ สมัครใจมา หรือโดนบังคับมาก็ไม่รู้ ดีทั้งสองอย่างเลยนะ จะสมัครใจมาหรือว่าโดนบังคับมาก็ดีหมด จะได้มานอนวัด ได้สักคืนสองคืนก็ยังดี ระวังนะกลับไปบ้านก็อย่าไปบ่นล่ะ ไปอยู่วัดแค่วันสองวัน บ้านรกรุงรังไม่รู้จักดูแลไม่รู้จักรักษา บ่นไม่หาย อยู่ที่วัดอดบ่นไม่ได้ ก็เลยเก็บเลยกดเลยขังเอาไว้ กลับไปบ้านไประบายใส่พ่อบ้านใส่แม่บ้านก็ไม่ไหวนะ
เราต้องมาสำรวจตัวเรา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีไหม ความเกียจคร้านของเรามีไหม การอดพูด อดคิด สังเกตดูความคิด ดูอารมณ์ต่างๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่นอนหลับ ตั้งแต่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สำรวจตัวเราแก้ไขตัวเรา ไม่จำเป็นหรอก สติปัญญาระดับนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก การเจริญสติทำความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับการละก็จะต่อเนื่อง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะทำกัน อันโน้นก็มาปิด อันนี้ก็มาปิด ขีดนั้นขีดนี้บ้างมาปิดกันเอาไว้ ดีไม่ดีแย่งกันเลยก็มี
เวลากาลเวลางาน ทำการทำงาน ผลงานแต่ละชิ้นๆ กว่าจะออกมาได้ เวลาผู้หลักผู้ใหญ่ไปตรวจที ของเก่าไม่เสร็จก็เอาซุกเอาไว้มุมนั้นแหละ เอาของใหม่มาโปะหน้า เขาเรียกว่า ‘ผักชีโรยหน้า’ เราต้องพยายาม ในหลักธรรม ทำของเก่าให้ดี เอาพื้นฐานให้ดี ถึงเอาของใหม่มาใส่ ฐานก็หนักแน่น แล้วก็ของใหม่ก็เต็มรอบขึ้นไป ก็จะมีตั้งแต่ความเจริญทั้งสมมติ ส่วนทางด้านจิตก็ต้องแก้ไขกันเอา
ถ้าคนมีความฝักใฝ่ในบุญในกุศล มีความเสียสละทั้งโรงเรียนนี่ มีความสุข แต่ละวันๆ เราได้สร้างประโยชน์อะไร โรงเรียนก็เปรียบเสมือนบ้านของตัวเรา เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ทำโรงเรียนให้เป็นวัด ทำบ้านให้เป็นวัด รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันโดยตลอดเวลา รู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักควบคุมจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ เพราะว่าจิตถ้าไม่มีกิเลสแล้วเขาก็สะอาดบริสุทธิ์ เพียงแค่ไม่ให้มีความอยาก ไม่ให้มีความเกิด
เราต้องทำตรงกันข้ามเลยทีเดียว จิตของเราเกิดความโลภเราก็ละความโลภ จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองเห็นทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีการแก้ไขปรับปรุงตัวเรา เราไม่เข้าใจเราก็แสวงหาแนวทาง แต่การแสวงหาแนวทางอันนี้มีมาตั้งนานแล้วแหละ แต่การลงมือไม่ค่อยจะลงมือกัน อาจจะไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ที่ไหนก็ดีหมด เป็นการสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้กับตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่ดี เราอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง
ถ้าบุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจที่ต่อเนื่อง การสนใจทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปุ๊บตื่นขึ้นมารู้กายรู้จิต แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เรามีความรู้สึกรับรู้ได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ แก้ไขตัวเอง ปฏิวัติตัวเอง
หมั่นสังเกตพฤติกรรมของกายของจิตของตัวเอง ตัวไหนเป็นตัวสั่ง สั่งการสั่งงาน ในคำสั่งความคิดคำพูดนั้นเป็นกุศลหรือว่าอกุศล มีมลทินหรือไม่ รู้จักสำรวมกาย วจีกรรม มโนกรรม นั่นแหละก็เรียกว่าแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
มีอะไรก็อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่จำต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่ต้องไปให้คนอื่นเขาชี้เขาแนะหรอก เรารู้แนวทางแล้วก็ทำความเพียร อยู่คนเดียวเราก็ดูเรา อยู่หลายคนเราก็ดูเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ แม้จนกระทั่งจะหมดลมหายใจ
จิตนี่เป็นการที่ฝึกหัดปฏิบัติได้ยาก ถ้าเราไม่ฝึกจริงๆ ถึงฝึกจริงๆ ก็ฝืน เขาเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ แต่ส่วนมากจะไหลไปตามกระแส ไหลไปตามกระแสโลก กระแสสังคม กระแสกิเลส เรารู้ตั้งแต่ชื่อว่ากิเลสตัวนั้นตัวนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยเห็นหน้าตาอาการของเขาเลย เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าตากิเลสหรือยังก็ยังไม่รู้ เห็นเป็นบางตัว เห็นมันเป็นบางเรื่อง แต่การดับละไม่ค่อยจะมี ก็ต้องพยายามเอานะ ทุกคนก็มีบุญกัน มีบุญกันตั้งแต่เกิดมา ไปแก้ไขตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น
ไปปรับปรุงเงินเดือนใหม่ เงินเดือนน้อยก็มีความสุข เงินเดือนมากก็มีความสุข พอมีเงินเดือนมาก ความอยากก็เลยมากขึ้น อันโน้นก็ยังไม่พออันนี้ก็ยังไม่พอ ถ้าเราแก้ไขตรงจุดนี้ได้จะมีความสุข น่าสงสาร แต่ละคนแต่ท่าน บางครั้งบางทีมาเล่าให้ฟัง บางทีสิ้นเดือนมาไม่ค่อยเหลืออะไรเลยก็มี ต้องติดหนี้ติดสินกันต่อมากมาย ถ้าแก้ไขตรงจุดนี้ได้ อยู่ที่ไหนก็มีความสุขตั้งแต่เริ่มแรก
จะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนก็มันก็จะไปไม่ตลอด ถ้าเราไปสร้างพันธะให้กับตัวเราเอง สอนกันให้มีความทะเยอทะยานอยาก อยากเอามาปิดกั้นตัวเอง เอามาปิดกั้นดวงจิต นึกว่าจะมีความสุข ไขว่คว้าจะมีความสุข ตั้งแต่เรียนหรือตั้งแต่เรียนหนังสือมา เป็นเด็ก เพราะว่าตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ อันนั้นก็สมหวังอยู่ในระดับหนึ่งก็ดีใจ เพราะได้เป็นครูบาอาจารย์ ใหม่ๆ ก็กระปรี้กระเปร่า เหลือกินเหลือใช้ พอนานๆ ไปแล้วก็ มันก็มากขึ้นๆ ยิ่งตำแหน่งใหญ่เท่าไรก็ยิ่งปิดกั้นตัวเองไว้มาก อันนี้เพียงแค่หัวโขน
เราก็ต้องพยายาม เราทำอย่างไรถึงจะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข อยู่กับโลกอย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แสวงหาหนทางเดิน เราไม่เข้าใจแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้หมดแล้ว ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา อะไรคืออนิจจังทุกขังอนัตตา อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา อะไรคืออริยสัจสี่
ความว่างความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น ศีลสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร ก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ กายของเราเป็นตำราผืนใหญ่ ถ้าเราหมั่นค้นคว้า หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาให้ถูกต้อง ไม่เอาอะไรมาปิดกั้นไว้ก่อนมันก็จะเข้าถึง คลายออกให้มันหมดนะ ที่พระพุทธองค์บอกว่าคลายทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเราให้มันหมด แต่ไม่ยอมคลาย มีแต่กลบๆ มีแต่ปิดกั้นเอาไว้ เข้าข้างตัวเอง ไม่หาธรรมเป็นที่พึ่งเป็นเครื่องอยู่ หาเครื่องตัดสินไม่มี ก็ดีแล้วล่ะนะ พยายามเอาตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านลองเจริญสติ ลองดูซิ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ถึงเราจะเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ให้ใจของเราอยู่ในความสงบ หยุดคิดหยุดปรุงหยุดแต่ง หยุดฟุ้งซ่านเรื่องต่างๆ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลึกให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตก็จะหยุดไป กายของเราก็รู้สึกว่าสงบตั้งมั่นขึ้น จิตของเราก็จะสงบ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกนี้แหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามมีความรู้สึกรับรู้ขณะลมสัมผัสปลายจมูกของเรา
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสก็จะเด่นชัด เรามีความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้า เวลาลมวิ่งออก แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เป็นอุบายให้มีสติรู้กายอยู่ปัจจุบัน เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ถ้าสติของเรามีเยอะ ตั้งมั่นขึ้น เราก็จะรู้เท่าทันจิต เวลาจิตเกิดส่งออกไปภายนอก จิตเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม เวลาความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา เราก็จะสังเกตเห็นจิตกับความคิดเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเราสังเกตทัน จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิดนั้น ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม นี่แหละเพียงแค่เริ่มต้นของวิปัสสนา
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนี้หรอก เพราะว่าการเจริญสติ การสร้างสติของพวกเรายังไม่ทำเลย ยังไม่ทำให้ต่อเนื่อง ความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากปัญญาเก่ามันปิดกั้นเอาไว้หมด ความคิดโลกๆ ปิดกั้นเอาไว้หมด อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ปิดกั้นเอาไว้สำหรับปัญญาธรรม ปัญญาธรรมเราต้องเจริญสติเข้าไปรู้ให้เท่าทันการเกิดการดับ เข้าไปคลายความหลง ในส่วนลึกๆ จิตของเรายังหลงขันธ์ห้าอยู่ หลงความคิดหลงอารมณ์อยู่ จิตของเรายังเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ปรุงแต่งส่งออกไป หรือว่าส่งออกไปจากตัวจิตโดยตรง
เรารู้อยู่เพียงแต่ชื่อ แต่เรายังไม่รู้จักหน้าตาอาการของเขา เราต้องมาทำความเข้าใจ มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรมากจริงๆ ถึงจะรู้ ถึงแม้รู้แล้ว แยกรูปแยกนามได้เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักละ มันก็ยากที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้อีก
ทุกคนสร้างตบะบารมีกันมาดี มีเพียรอยู่ในระดับหนึ่ง รู้จักรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงาน รู้จักรับผิดชอบต่อส่วนรวม สร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีมาอยู่ระดับหนึ่ง แต่ตัวสุดท้ายการแยกรูปแยกนาม การทำความเข้าใจ การคลายความหลงตรงนี้แหละ ไม่ค่อยจะสนใจกัน รู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ปล่อยเลยตามเลย ต้องให้ได้ทุกเรื่อง แม้ความคิดอาการของความคิดเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด แล้วการกระทำก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเป็นประโยชน์
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องกี่เที่ยวไม่เคยรู้เลย ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งของเราสักกี่ครั้ง สติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่อย่าง นิวรณธรรมความกังวลความฟุ้งซ่านเป็นลักษณะอย่างไร ความลังเลความสงสัยเป็นลักษณะอย่างไร เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ต้องหมั่นสังเกตเอา ทำความเข้าใจเอา
อยู่หลายคนส่วนมากก็จับกลุ่มคุยกันแหละ เป็นนกกระจอกจุ๊กจิ๊กๆๆ อยู่คนเดียวก็ระวังความคิด อยู่หลายคนก็ระวังความคิด ระวังคำพูดของตัวเอง แต่นี่ไม่สนใจเลย อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติแต่นั้นเอง ความอยากเป็นอย่างไร อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากดีอยากดังอยากเด่น พวกนี้เป็นเครื่องกางกั้นไม่ให้จิตของเราได้รับความสงบหมดนั่นแหละ แต่ละวันก็ต้องหาทางวิเคราะห์เอา
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ถึงวางไม่ได้เด็ดขาดก็อย่าเพิ่งคิด สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่ย้ำแค่เตือน
มีอะไรก็ช่วยกันนะ ทั้งแม่ครัวทั้งญาติโยม ทุกคนมาบ้านของเรา ทางโรงครัวมีอะไรก็ช่วยกัน มีกับข้าวกับปลาก็ช่วยกัน อย่าทำด้วยความอยาก เวลารับประทานอาหารก็เหมือนกัน ต้องวิเคราะห์ กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก ทานมากทานน้อยก็อย่าให้จิตของเราเกิดความอยาก มีอะไรก็ช่วยกันเอา
เมื่อวานนี้ก็คณะครูทางโรงเรียนบ้านโนนทัน โรงเรียนอะไรนะๆ โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนทัน มาประมาณสักกี่คนละ บ้านโนนชัย มาประมาณสักกี่คนล่ะ 37 คน คิดถึงบ้านยัง เอาแค่เรื่องคิดถึงบ้านก็พอ มานอนวัดๆ มาค้างวัด มาเปลี่ยนบรรยากาศๆ
ตามหลักความเป็นจริงแล้ว ก็มาหัดวิเคราะห์ตัวเราเองนั่นแหละ มาวิเคราะห์ตัวเรา มาแก้ไขตัวเรา มาปรับปรุงตัวเรา หาโอกาสมา ทุกคนก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก แต่บุญเก่าก็มี บุญใหม่ก็มาเพิ่มมาเสริม มาทำความเข้าใจ แต่ส่วนมากบุญใหม่ไม่ค่อยจะสร้างเท่าไร สร้างอยู่ทำอยู่ ตั้งแต่การทำบุญการให้ทาน
การเจริญสติ การเจริญภาวนา การเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ไม่ค่อยจะทำกันเท่าไร เพราะว่าภาระหน้าที่ปิดกั้นเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างปิดกั้นเอาไว้ ก็เลยขาดการทำความเข้าใจที่ละเอียด แต่การทำบุญ การให้ทาน การสร้างบารมีนั้นก็มีกันทุกคน
การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมา ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ถ้าในหลักของการปฎิบัติธรรมก็สำเร็จไปเกือบ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี แล้วก็สมหวังในชีวิต ได้ทำการทำงาน แต่มาพลาดโอกาสอยู่ ไม่รู้จักบริหาร รู้จักตั้งแต่บริหารแบบโลกๆ แบบสร้างภาระสร้างหนี้สร้างสินให้ตัวเอง ไม่รู้จักบริหารเงินเดือนให้ถูกต้องตั้งแต่แรก
ทำงานเดือนแรกๆ รู้สึกว่าเงินเดือนน้อยๆ มันเหลือเยอะ ทำไปทำมากลับไม่พอใช้ ยิ่งทำมากเท่าไรมันก็ยิ่งติดภาระ เป็นดินพอกหางหมู เป็นอย่างนี้แทบทุกคนเลยตามที่ปรากฏเห็น สมมติก็เลยไม่ราบรื่น มันก็เลยยาก เพราะว่าเราขาดการแก้ไขตั้งแต่แรก การบริหารเงินเดือนของตัวเองให้ถูกต้อง การบริหารภาระหน้าที่ตั้งแต่ใหม่ๆ ช่วงเข้าทำงานใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าเงินนี่มันเหลือเยอะ พอทำไปทำมาหลายเดือนหลายปีเข้า เงินกลับไม่พอใช้ ยิ่งเป็นข้าราชการ หน่วยงานต่างๆ ก็มีสวัสดิการมาล่อ อันโน้นมาล่อบ้าง อันนี้มาล่อบ้างก็เอา เพียงแค่เรื่องเงินเดือนอย่างเดียวนั่นแหละ ถ้าใครเริ่มต้นได้ถูกต้องนี้ไม่ต้องไปกังวลเลยในความสุข มีน้อยก็มีความสุข ไม่มีก็มีความสุข มีมากก็รู้จักใช้ รู้จักแก้ปัญหาแก้ไขตัวเอง เพราะว่าสติปัญญาทางโลกนั้นมีกันเต็มเปี่ยม เป็นอัจฉริยะ การประพฤติปฏิบัติจิต ไปนั่งอยู่ที่ไหนภาระมันก็ลอยมา
บางทีก็เป็นลูกเต้าเหล่าหลานได้รับการศึกษาเล่าเรียน ลูกคนโน้นก็เป็นอย่างนั้น ลูกคนนี้ก็เป็นอย่างนี้ ขาดอันนั้นขาดอันนี้ อันนั้นก็ไม่พอ อันนี้ก็ไม่พอ ถ้าคนเรารู้จักแก้ไขปัญหาเพียงแค่ระดับของสมมติให้ได้ ส่วนการประพฤติปฏิบัติจิตนั้นก็จะไปได้เร็วได้ไว
ใครยังมีภาระหนี้สินอยู่ก็ไปรีบแก้ซะนะ แก้ให้มันตก ถ้าแก้ไม่ตกมันจะไปแก้เอาภพหน้านะ พยายามแก้ มีเท่าไรก็พยายามแก้ไข แต่การทำบุญก็มีอยู่ การให้ทานก็มีอยู่ ความรับผิดชอบก็มีอยู่ เราต้องรับผิดชอบตัวเราให้มากๆ
การได้ยินได้ฟังได้อ่านอันนี้มีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือละกิเลสมีเป็นบางครั้ง ไม่ได้ขัดเกลาให้ได้ตลอด การไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ก็ได้แค่ความสงบ ด้วยการข่ม ด้วยการฝืน ไม่ใช่เป็นอิสระที่ปราศจากจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นเพียงแค่ได้รับความสงบ การข่มการฝืนกับการมีปัญหา เราต้องต่อสู้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องต่อสู้ต้องแก้ไขอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ถ้าพูดตามความเป็นจริงในหลักธรรม ความอยากแม้แต่นิดเดียวท่านคงไม่ให้เกิด อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม ท่านก็ให้ดับความอยากนั้นเสีย จิตถึงจะสงบถึงจะปล่อยจะว่าง ความเสียสละต้องเต็มเปี่ยม มีความเสียสละ มีความเพียร ความอดทนอดกลั้น มีพรหมวิหาร หมั่นน้อมสำรวจกายอินทรีย์ของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อันนี้ไปสร้างตั้งแต่เหตุภายนอกมาปกปิดดวงจิตเอาไว้ ปกปิดเอาไว้มากขึ้นๆ บางคนก็ปกปิดข้ามภพข้ามชาติ เราจะมาแก้ไขเพียงแค่วันสองวันมันก็แก้ไขไม่ได้หรอก
มันก็ต้องค่อยแก้ไขกันไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามแก้ ในเรื่องจิตนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การพูดมากนอนมากกินมากทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่การดำรงชีวิตระดับของสมมติก็ยังทำยังขาดตกบกพร่องอยู่ ถ้าจะไปเรื่องจิตมันก็เลยยาก แต่ละวันๆ อันนี้พูดความจริงเลยนะ พูดความจริง ยิ่งเป็นข้าราชการแล้วก็ยิ่งนั่นใหญ่ เพราะว่ามันทำงานเกี่ยวพันกันหลายหน่วยงานหลายบุคคลมากมาย
แต่ก็ยังดีที่ยังพากันสนใจฝักใฝ่ หรือว่าโดนบังคับมาก็ไม่รู้นะ สมัครใจมา หรือโดนบังคับมาก็ไม่รู้ ดีทั้งสองอย่างเลยนะ จะสมัครใจมาหรือว่าโดนบังคับมาก็ดีหมด จะได้มานอนวัด ได้สักคืนสองคืนก็ยังดี ระวังนะกลับไปบ้านก็อย่าไปบ่นล่ะ ไปอยู่วัดแค่วันสองวัน บ้านรกรุงรังไม่รู้จักดูแลไม่รู้จักรักษา บ่นไม่หาย อยู่ที่วัดอดบ่นไม่ได้ ก็เลยเก็บเลยกดเลยขังเอาไว้ กลับไปบ้านไประบายใส่พ่อบ้านใส่แม่บ้านก็ไม่ไหวนะ
เราต้องมาสำรวจตัวเรา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีไหม ความเกียจคร้านของเรามีไหม การอดพูด อดคิด สังเกตดูความคิด ดูอารมณ์ต่างๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่นอนหลับ ตั้งแต่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สำรวจตัวเราแก้ไขตัวเรา ไม่จำเป็นหรอก สติปัญญาระดับนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก การเจริญสติทำความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับการละก็จะต่อเนื่อง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะทำกัน อันโน้นก็มาปิด อันนี้ก็มาปิด ขีดนั้นขีดนี้บ้างมาปิดกันเอาไว้ ดีไม่ดีแย่งกันเลยก็มี
เวลากาลเวลางาน ทำการทำงาน ผลงานแต่ละชิ้นๆ กว่าจะออกมาได้ เวลาผู้หลักผู้ใหญ่ไปตรวจที ของเก่าไม่เสร็จก็เอาซุกเอาไว้มุมนั้นแหละ เอาของใหม่มาโปะหน้า เขาเรียกว่า ‘ผักชีโรยหน้า’ เราต้องพยายาม ในหลักธรรม ทำของเก่าให้ดี เอาพื้นฐานให้ดี ถึงเอาของใหม่มาใส่ ฐานก็หนักแน่น แล้วก็ของใหม่ก็เต็มรอบขึ้นไป ก็จะมีตั้งแต่ความเจริญทั้งสมมติ ส่วนทางด้านจิตก็ต้องแก้ไขกันเอา
ถ้าคนมีความฝักใฝ่ในบุญในกุศล มีความเสียสละทั้งโรงเรียนนี่ มีความสุข แต่ละวันๆ เราได้สร้างประโยชน์อะไร โรงเรียนก็เปรียบเสมือนบ้านของตัวเรา เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ทำโรงเรียนให้เป็นวัด ทำบ้านให้เป็นวัด รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันโดยตลอดเวลา รู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักควบคุมจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ เพราะว่าจิตถ้าไม่มีกิเลสแล้วเขาก็สะอาดบริสุทธิ์ เพียงแค่ไม่ให้มีความอยาก ไม่ให้มีความเกิด
เราต้องทำตรงกันข้ามเลยทีเดียว จิตของเราเกิดความโลภเราก็ละความโลภ จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองเห็นทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีการแก้ไขปรับปรุงตัวเรา เราไม่เข้าใจเราก็แสวงหาแนวทาง แต่การแสวงหาแนวทางอันนี้มีมาตั้งนานแล้วแหละ แต่การลงมือไม่ค่อยจะลงมือกัน อาจจะไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ที่ไหนก็ดีหมด เป็นการสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้กับตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่ดี เราอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง
ถ้าบุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจที่ต่อเนื่อง การสนใจทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปุ๊บตื่นขึ้นมารู้กายรู้จิต แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เรามีความรู้สึกรับรู้ได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ แก้ไขตัวเอง ปฏิวัติตัวเอง
หมั่นสังเกตพฤติกรรมของกายของจิตของตัวเอง ตัวไหนเป็นตัวสั่ง สั่งการสั่งงาน ในคำสั่งความคิดคำพูดนั้นเป็นกุศลหรือว่าอกุศล มีมลทินหรือไม่ รู้จักสำรวมกาย วจีกรรม มโนกรรม นั่นแหละก็เรียกว่าแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
มีอะไรก็อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่จำต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่ต้องไปให้คนอื่นเขาชี้เขาแนะหรอก เรารู้แนวทางแล้วก็ทำความเพียร อยู่คนเดียวเราก็ดูเรา อยู่หลายคนเราก็ดูเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ แม้จนกระทั่งจะหมดลมหายใจ
จิตนี่เป็นการที่ฝึกหัดปฏิบัติได้ยาก ถ้าเราไม่ฝึกจริงๆ ถึงฝึกจริงๆ ก็ฝืน เขาเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ แต่ส่วนมากจะไหลไปตามกระแส ไหลไปตามกระแสโลก กระแสสังคม กระแสกิเลส เรารู้ตั้งแต่ชื่อว่ากิเลสตัวนั้นตัวนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่เคยเห็นหน้าตาอาการของเขาเลย เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าตากิเลสหรือยังก็ยังไม่รู้ เห็นเป็นบางตัว เห็นมันเป็นบางเรื่อง แต่การดับละไม่ค่อยจะมี ก็ต้องพยายามเอานะ ทุกคนก็มีบุญกัน มีบุญกันตั้งแต่เกิดมา ไปแก้ไขตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น
ไปปรับปรุงเงินเดือนใหม่ เงินเดือนน้อยก็มีความสุข เงินเดือนมากก็มีความสุข พอมีเงินเดือนมาก ความอยากก็เลยมากขึ้น อันโน้นก็ยังไม่พออันนี้ก็ยังไม่พอ ถ้าเราแก้ไขตรงจุดนี้ได้จะมีความสุข น่าสงสาร แต่ละคนแต่ท่าน บางครั้งบางทีมาเล่าให้ฟัง บางทีสิ้นเดือนมาไม่ค่อยเหลืออะไรเลยก็มี ต้องติดหนี้ติดสินกันต่อมากมาย ถ้าแก้ไขตรงจุดนี้ได้ อยู่ที่ไหนก็มีความสุขตั้งแต่เริ่มแรก
จะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนก็มันก็จะไปไม่ตลอด ถ้าเราไปสร้างพันธะให้กับตัวเราเอง สอนกันให้มีความทะเยอทะยานอยาก อยากเอามาปิดกั้นตัวเอง เอามาปิดกั้นดวงจิต นึกว่าจะมีความสุข ไขว่คว้าจะมีความสุข ตั้งแต่เรียนหรือตั้งแต่เรียนหนังสือมา เป็นเด็ก เพราะว่าตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ อันนั้นก็สมหวังอยู่ในระดับหนึ่งก็ดีใจ เพราะได้เป็นครูบาอาจารย์ ใหม่ๆ ก็กระปรี้กระเปร่า เหลือกินเหลือใช้ พอนานๆ ไปแล้วก็ มันก็มากขึ้นๆ ยิ่งตำแหน่งใหญ่เท่าไรก็ยิ่งปิดกั้นตัวเองไว้มาก อันนี้เพียงแค่หัวโขน
เราก็ต้องพยายาม เราทำอย่างไรถึงจะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข อยู่กับโลกอย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แสวงหาหนทางเดิน เราไม่เข้าใจแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้หมดแล้ว ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา อะไรคืออนิจจังทุกขังอนัตตา อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา อะไรคืออริยสัจสี่
ความว่างความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น ศีลสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร ก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ กายของเราเป็นตำราผืนใหญ่ ถ้าเราหมั่นค้นคว้า หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาให้ถูกต้อง ไม่เอาอะไรมาปิดกั้นไว้ก่อนมันก็จะเข้าถึง คลายออกให้มันหมดนะ ที่พระพุทธองค์บอกว่าคลายทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเราให้มันหมด แต่ไม่ยอมคลาย มีแต่กลบๆ มีแต่ปิดกั้นเอาไว้ เข้าข้างตัวเอง ไม่หาธรรมเป็นที่พึ่งเป็นเครื่องอยู่ หาเครื่องตัดสินไม่มี ก็ดีแล้วล่ะนะ พยายามเอาตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านลองเจริญสติ ลองดูซิ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ถึงเราจะเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ให้ใจของเราอยู่ในความสงบ หยุดคิดหยุดปรุงหยุดแต่ง หยุดฟุ้งซ่านเรื่องต่างๆ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลึกให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตก็จะหยุดไป กายของเราก็รู้สึกว่าสงบตั้งมั่นขึ้น จิตของเราก็จะสงบ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกนี้แหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามมีความรู้สึกรับรู้ขณะลมสัมผัสปลายจมูกของเรา
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสก็จะเด่นชัด เรามีความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้า เวลาลมวิ่งออก แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เป็นอุบายให้มีสติรู้กายอยู่ปัจจุบัน เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ถ้าสติของเรามีเยอะ ตั้งมั่นขึ้น เราก็จะรู้เท่าทันจิต เวลาจิตเกิดส่งออกไปภายนอก จิตเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม เวลาความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา เราก็จะสังเกตเห็นจิตกับความคิดเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเราสังเกตทัน จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิดนั้น ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม นี่แหละเพียงแค่เริ่มต้นของวิปัสสนา
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนี้หรอก เพราะว่าการเจริญสติ การสร้างสติของพวกเรายังไม่ทำเลย ยังไม่ทำให้ต่อเนื่อง ความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากปัญญาเก่ามันปิดกั้นเอาไว้หมด ความคิดโลกๆ ปิดกั้นเอาไว้หมด อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ปิดกั้นเอาไว้สำหรับปัญญาธรรม ปัญญาธรรมเราต้องเจริญสติเข้าไปรู้ให้เท่าทันการเกิดการดับ เข้าไปคลายความหลง ในส่วนลึกๆ จิตของเรายังหลงขันธ์ห้าอยู่ หลงความคิดหลงอารมณ์อยู่ จิตของเรายังเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ปรุงแต่งส่งออกไป หรือว่าส่งออกไปจากตัวจิตโดยตรง
เรารู้อยู่เพียงแต่ชื่อ แต่เรายังไม่รู้จักหน้าตาอาการของเขา เราต้องมาทำความเข้าใจ มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรมากจริงๆ ถึงจะรู้ ถึงแม้รู้แล้ว แยกรูปแยกนามได้เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักละ มันก็ยากที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้อีก
ทุกคนสร้างตบะบารมีกันมาดี มีเพียรอยู่ในระดับหนึ่ง รู้จักรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงาน รู้จักรับผิดชอบต่อส่วนรวม สร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีมาอยู่ระดับหนึ่ง แต่ตัวสุดท้ายการแยกรูปแยกนาม การทำความเข้าใจ การคลายความหลงตรงนี้แหละ ไม่ค่อยจะสนใจกัน รู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ปล่อยเลยตามเลย ต้องให้ได้ทุกเรื่อง แม้ความคิดอาการของความคิดเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด แล้วการกระทำก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเป็นประโยชน์
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องกี่เที่ยวไม่เคยรู้เลย ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งของเราสักกี่ครั้ง สติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่อย่าง นิวรณธรรมความกังวลความฟุ้งซ่านเป็นลักษณะอย่างไร ความลังเลความสงสัยเป็นลักษณะอย่างไร เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ต้องหมั่นสังเกตเอา ทำความเข้าใจเอา
อยู่หลายคนส่วนมากก็จับกลุ่มคุยกันแหละ เป็นนกกระจอกจุ๊กจิ๊กๆๆ อยู่คนเดียวก็ระวังความคิด อยู่หลายคนก็ระวังความคิด ระวังคำพูดของตัวเอง แต่นี่ไม่สนใจเลย อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติแต่นั้นเอง ความอยากเป็นอย่างไร อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากดีอยากดังอยากเด่น พวกนี้เป็นเครื่องกางกั้นไม่ให้จิตของเราได้รับความสงบหมดนั่นแหละ แต่ละวันก็ต้องหาทางวิเคราะห์เอา
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ถึงวางไม่ได้เด็ดขาดก็อย่าเพิ่งคิด สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่ย้ำแค่เตือน
มีอะไรก็ช่วยกันนะ ทั้งแม่ครัวทั้งญาติโยม ทุกคนมาบ้านของเรา ทางโรงครัวมีอะไรก็ช่วยกัน มีกับข้าวกับปลาก็ช่วยกัน อย่าทำด้วยความอยาก เวลารับประทานอาหารก็เหมือนกัน ต้องวิเคราะห์ กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก ทานมากทานน้อยก็อย่าให้จิตของเราเกิดความอยาก มีอะไรก็ช่วยกันเอา