หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 097
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 097
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้การหายใจเข้าออกตัวเอง ลองดูสิ นั่งตามอิริยาบถให้สบายนะพยายามนั่งตามอิริยาบถให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ผ่อนคลายร่างกายของเราให้สบายๆ อย่าไปเกร็งร่างกาย
หยุดความคิดหยุดการปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ให้หมด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วห้อง อย่าไปบังคับลมหายใจ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกนั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องอยู่ ขอให้รู้ว่าจิตปกติ ถ้าจิตจะก่อตัวปุ๊บ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน เขาก็จะรู้เขาก็จะเห็นลักษณะอาการของการเกิดของจิต
แต่ส่วนมากเขาเกิดไปแล้วเราถึงรู้ เราต้องให้รู้ทันขณะเขาก่อตัว รู้ไม่เท่าทันเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกใหม่ จิตก็จะกลับมาสงบอยู่เหมือนเดิม เขาจะฉุดกันไปฉุดกันมา ถ้าฝึกใหม่ๆ ก็จะเห็นชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้อยู่ส่วนบน อยู่ส่วนจมูก อยู่ส่วนสมองของเรา ส่วนกลางใจหรือว่าหัวใจของเรานั้นน่ะ ตัวจิตมันอยู่ตรงนั้นแหละ หรือว่าวิญญาณซึ่งเป็นขันธ์หนึ่งอยู่ในขันธ์ห้า เขาอยู่ที่หัวใจของเรานั่นแหละ ให้สังเกตดูดีๆ เวลาตกใจ เวลาหวั่นไหว เวลาผวา เขาก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ อย่างเวลาเราได้ยินเสียงประทัดหรือว่าได้ยินเสียงระเบิด หรือว่าเสียงแรงๆ โดยที่เราไม่ได้ทราบมาก่อน เขาจะผวาว๊าบ นั่นแหละ เขาอยู่ตรงนั้นแหละ
อันนั้นเป็นการตื่นเต้น แต่ยังไม่ได้ปรุงแต่งเป็นอาการของจิต แล้วก็เป็นอาการของกายผวา จิตก็อยู่ตรงนั้นแหละ ความรู้สึกรับรู้ว่าผวา แล้วควบคุมความตกใจ แล้วก็อยู่ในความปกติ
ขณะที่เขาก่อตัว ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นการเกิดของเขา แล้วก็รู้จักดับ ถ้าดับไม่ได้ก็ดูรู้ จนกว่าเขาจะดับ เขาก็จะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อันนี้สำหรับตัวจิตนะ แต่มีอีกความคิดอีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันผุดขึ้นมาเฉยๆ นี่แหละ บางทีทำการทำงานอยู่มันก็ผุดขึ้นมา เรื่องนู้นบางเรื่องนี้บ้าง จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเองโดยอัตโนมัติ
ถ้าขาดการสังเกตจริงๆ จะไม่รู้เลยตรงนี้ นอกจากกำลังสติของเราจะแหลมคมจริงๆ ถึงจะเห็นขณะเขาก่อตัวปุ๊บ จิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเลย เหมือนกับสายฟ้าแลบเลยทีเดียว พรึบเดียว ไปรวมเป็นตัวเดียวกันแล้วไปด้วยกัน นั่นแหละเรารู้ว่าเขารวมกันแล้ว เขาปรุงแต่งส่งออกไปแล้วนั่นแหละ จิตของเราไปหลงอยู่ หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ แล้วก็รวมกันไปเป็นตัวเดียวกันเลย ก็เลยเพียงแค่รู้ว่าคิด เพียงแค่รู้ว่าทำ แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์
นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติที่แหลมคมจริงๆ ถึงจะเห็น พอเราเห็นขณะเขาเคลื่อนเข้าไปร่วมกันนี่จิตมันจะดีดตัวออกเอง ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ การแยกรูปแยกนามตรงนี้ พอแยกปุ๊บจิตก็จะหงาย จิตก็จะว่าง เกิดปีติเกิดสุข กายก็จะเบา สติก็จะคมชัด ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า นั่นแหละ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง เห็นการเกิดการดับ เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เขาเกิด บางทีก็เรื่องอดีตเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศล บางทีก็เป็นกลางๆ
ถ้ากำลังสติของเราตามเห็นได้ชัดเจน ก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติเข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในสัจธรรม เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของจิต รู้เรื่องอริยสัจสี่ มองเห็นหนทางเดิน เดินตามทางในอริยมรรคในองค์แปด แยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะปรากฏ
เมื่อสัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าแยกได้แล้ว รู้เห็นแล้ว จะเห็นเลยตลอด ไม่ใช่ รู้แล้วเห็นแล้วต้องตามทำความเข้าใจ ถ้าจิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปร่วม เราก็ดับ ละ ไม่ให้จิตของเราเข้าไปร่วมเลย แล้วก็มาละกิเลสที่จิต จากหยาบไปหาละเอียด มาทำความเข้าใจให้ชัดเจน อันนี้เรื่องของกายเรื่องของจิต เรื่องของสมมติเรื่องวิมุตติ ลักษณะของสมาธิ ลักษณะของศีล ลักษณะของความว่าง จิตที่ว่าง จิตที่ปกติ จิตที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส จิตที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส
เราต้องอย่าให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การเกิดของจิต ทำในใจอยู่ตลอดเวลา เอาเรื่องของเราให้ดี ดูเราให้ดีแก้ไขเราให้ดี ถ้าเราเห็นอย่างนี้แล้วก็จะมีตั้งแต่ความเมตตาความสงสาร มองเห็นคนอื่นที่เขายังหลงอยู่ ที่เขายังหลงอยู่ เรายังพอช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็อุเบกขา
เราพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้เสียก่อน แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรารู้กายของเรา เรารู้จิตของเราชัดเจนแล้วหรือยัง ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่นู่นที่นี่ ดูมันทั้งวันทั้งคืน สร้างเครื่องอยู่ให้มีให้เกิดขึ้นให้กับตัวเราเอง เราก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องไปจับกลุ่มคุยกันให้มากมายเลย การได้ยินได้ฟังพอรู้จักแนวทางแล้วก็ทำความเพียรอยู่คนเดียว
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ก็เอาตั้งแต่คลุกคลีกัน เอาตั้งแต่พูดคุยกันทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จะเข้าใจได้อย่างไร ขณะฝึกอยู่แท้ๆ มันยังเอาไม่อยู่ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้มากๆ
ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล จะรู้เห็นเร็วเห็นช้าก็ขึ้นอยู่วิบากกรรม ขึ้นอยู่กับความเพียร ก็ต้องพยายามนะ ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็เป็นบุคคลที่มีบุญ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้อะไรผิดอะไรถูก รู้กุศลรู้อกุศล อะไรควรเจริญอะไรควรละ
ทุกคนฝักใฝ่ในบุญกันหมด อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ แต่เราต้องยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นไปอีก การทำบุญการให้ทานก็ยังมีเต็มเปี่ยมอยู่เหมือนเดิม การเดินปัญญา การแยกรูปแยกนาม การตามทำความเข้าใจก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ
การสร้างสติพวกเราสร้างได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติ หายใจอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ต่อเนื่อง ให้เป็นธรรมชาติไม่อึดอัด จะลุกจากก้าวจะเดินเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายหรือไม่ ลึกลงไป การเน้นสติลงอยู่ที่กายก็เพื่อที่จะรู้เท่าทันจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ลักษณะอาการของจิต ลักษณะตัวจิตที่แท้จริง ลักษณะอาการของขันธ์ห้าที่แท้จริง ลักษณะนิวรณ์เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ให้รับความสงบ
บารมีของเรา แต่ละวันเราสร้างบารมีอานิสงส์อะไรบ้าง ความเกียจคร้านของเรามีหรือไม่ เราได้ละความเกียจคร้านออกจากใจของเราแล้วหรือยัง เรามีความเสียสละอย่างเต็มที่หรือไม่
การอดการวิเคราะห์การสังเกต การสำรวมอินทรีย์ของตัวเราเอง หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรารู้ลักษณะของจิตของเราเวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส ตัววิญญาณของเราซึ่งเป็นตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้านั่นแหละ มันเข้าไปยินดียินร้ายได้อย่างไร
ขอให้เราจำแนกแจกแจง สติที่เราสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน แล้วก็รู้ลักษณะของจิตที่ชัดเจน ลึกลงไปแล้วก็จะเห็นอาการของขันธ์ห้าที่ชัดเจน เราอย่ารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา ให้เรารู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงลักษณะอาการนั้นด้วย
สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกคนมีบุญกันทั้งนั้น เรามีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกัน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น ถึงกาลถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ เป็นความจริงของชีวิต
เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมาย ขอให้รู้หนทาง เดินให้มันได้ เดินให้มันถึง ถ้าการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจในแนวทางมันก็ยากอยู่ บุคคลที่นิ่งสงบเยือกเย็นก็จะเป็นบุคคลที่ไปถึงฝั่งในเร็วได้ไว ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันนะ มาอยู่บ้านของเรา เอาตามสบายกันทุกคน
หยุดความคิดหยุดการปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ให้หมด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วห้อง อย่าไปบังคับลมหายใจ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกนั่นแหละ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องอยู่ ขอให้รู้ว่าจิตปกติ ถ้าจิตจะก่อตัวปุ๊บ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน เขาก็จะรู้เขาก็จะเห็นลักษณะอาการของการเกิดของจิต
แต่ส่วนมากเขาเกิดไปแล้วเราถึงรู้ เราต้องให้รู้ทันขณะเขาก่อตัว รู้ไม่เท่าทันเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกใหม่ จิตก็จะกลับมาสงบอยู่เหมือนเดิม เขาจะฉุดกันไปฉุดกันมา ถ้าฝึกใหม่ๆ ก็จะเห็นชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้อยู่ส่วนบน อยู่ส่วนจมูก อยู่ส่วนสมองของเรา ส่วนกลางใจหรือว่าหัวใจของเรานั้นน่ะ ตัวจิตมันอยู่ตรงนั้นแหละ หรือว่าวิญญาณซึ่งเป็นขันธ์หนึ่งอยู่ในขันธ์ห้า เขาอยู่ที่หัวใจของเรานั่นแหละ ให้สังเกตดูดีๆ เวลาตกใจ เวลาหวั่นไหว เวลาผวา เขาก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ อย่างเวลาเราได้ยินเสียงประทัดหรือว่าได้ยินเสียงระเบิด หรือว่าเสียงแรงๆ โดยที่เราไม่ได้ทราบมาก่อน เขาจะผวาว๊าบ นั่นแหละ เขาอยู่ตรงนั้นแหละ
อันนั้นเป็นการตื่นเต้น แต่ยังไม่ได้ปรุงแต่งเป็นอาการของจิต แล้วก็เป็นอาการของกายผวา จิตก็อยู่ตรงนั้นแหละ ความรู้สึกรับรู้ว่าผวา แล้วควบคุมความตกใจ แล้วก็อยู่ในความปกติ
ขณะที่เขาก่อตัว ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นการเกิดของเขา แล้วก็รู้จักดับ ถ้าดับไม่ได้ก็ดูรู้ จนกว่าเขาจะดับ เขาก็จะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อันนี้สำหรับตัวจิตนะ แต่มีอีกความคิดอีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันผุดขึ้นมาเฉยๆ นี่แหละ บางทีทำการทำงานอยู่มันก็ผุดขึ้นมา เรื่องนู้นบางเรื่องนี้บ้าง จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเองโดยอัตโนมัติ
ถ้าขาดการสังเกตจริงๆ จะไม่รู้เลยตรงนี้ นอกจากกำลังสติของเราจะแหลมคมจริงๆ ถึงจะเห็นขณะเขาก่อตัวปุ๊บ จิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเลย เหมือนกับสายฟ้าแลบเลยทีเดียว พรึบเดียว ไปรวมเป็นตัวเดียวกันแล้วไปด้วยกัน นั่นแหละเรารู้ว่าเขารวมกันแล้ว เขาปรุงแต่งส่งออกไปแล้วนั่นแหละ จิตของเราไปหลงอยู่ หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ แล้วก็รวมกันไปเป็นตัวเดียวกันเลย ก็เลยเพียงแค่รู้ว่าคิด เพียงแค่รู้ว่าทำ แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์
นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติที่แหลมคมจริงๆ ถึงจะเห็น พอเราเห็นขณะเขาเคลื่อนเข้าไปร่วมกันนี่จิตมันจะดีดตัวออกเอง ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ การแยกรูปแยกนามตรงนี้ พอแยกปุ๊บจิตก็จะหงาย จิตก็จะว่าง เกิดปีติเกิดสุข กายก็จะเบา สติก็จะคมชัด ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า นั่นแหละ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง เห็นการเกิดการดับ เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เขาเกิด บางทีก็เรื่องอดีตเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศล บางทีก็เป็นกลางๆ
ถ้ากำลังสติของเราตามเห็นได้ชัดเจน ก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติเข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในสัจธรรม เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของจิต รู้เรื่องอริยสัจสี่ มองเห็นหนทางเดิน เดินตามทางในอริยมรรคในองค์แปด แยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะปรากฏ
เมื่อสัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าแยกได้แล้ว รู้เห็นแล้ว จะเห็นเลยตลอด ไม่ใช่ รู้แล้วเห็นแล้วต้องตามทำความเข้าใจ ถ้าจิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปร่วม เราก็ดับ ละ ไม่ให้จิตของเราเข้าไปร่วมเลย แล้วก็มาละกิเลสที่จิต จากหยาบไปหาละเอียด มาทำความเข้าใจให้ชัดเจน อันนี้เรื่องของกายเรื่องของจิต เรื่องของสมมติเรื่องวิมุตติ ลักษณะของสมาธิ ลักษณะของศีล ลักษณะของความว่าง จิตที่ว่าง จิตที่ปกติ จิตที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส จิตที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส
เราต้องอย่าให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การเกิดของจิต ทำในใจอยู่ตลอดเวลา เอาเรื่องของเราให้ดี ดูเราให้ดีแก้ไขเราให้ดี ถ้าเราเห็นอย่างนี้แล้วก็จะมีตั้งแต่ความเมตตาความสงสาร มองเห็นคนอื่นที่เขายังหลงอยู่ ที่เขายังหลงอยู่ เรายังพอช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็อุเบกขา
เราพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้เสียก่อน แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรารู้กายของเรา เรารู้จิตของเราชัดเจนแล้วหรือยัง ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่นู่นที่นี่ ดูมันทั้งวันทั้งคืน สร้างเครื่องอยู่ให้มีให้เกิดขึ้นให้กับตัวเราเอง เราก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องไปจับกลุ่มคุยกันให้มากมายเลย การได้ยินได้ฟังพอรู้จักแนวทางแล้วก็ทำความเพียรอยู่คนเดียว
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ก็เอาตั้งแต่คลุกคลีกัน เอาตั้งแต่พูดคุยกันทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จะเข้าใจได้อย่างไร ขณะฝึกอยู่แท้ๆ มันยังเอาไม่อยู่ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้มากๆ
ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล จะรู้เห็นเร็วเห็นช้าก็ขึ้นอยู่วิบากกรรม ขึ้นอยู่กับความเพียร ก็ต้องพยายามนะ ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็เป็นบุคคลที่มีบุญ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้อะไรผิดอะไรถูก รู้กุศลรู้อกุศล อะไรควรเจริญอะไรควรละ
ทุกคนฝักใฝ่ในบุญกันหมด อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ แต่เราต้องยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นไปอีก การทำบุญการให้ทานก็ยังมีเต็มเปี่ยมอยู่เหมือนเดิม การเดินปัญญา การแยกรูปแยกนาม การตามทำความเข้าใจก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ
การสร้างสติพวกเราสร้างได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติ หายใจอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ต่อเนื่อง ให้เป็นธรรมชาติไม่อึดอัด จะลุกจากก้าวจะเดินเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายหรือไม่ ลึกลงไป การเน้นสติลงอยู่ที่กายก็เพื่อที่จะรู้เท่าทันจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ลักษณะอาการของจิต ลักษณะตัวจิตที่แท้จริง ลักษณะอาการของขันธ์ห้าที่แท้จริง ลักษณะนิวรณ์เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ให้รับความสงบ
บารมีของเรา แต่ละวันเราสร้างบารมีอานิสงส์อะไรบ้าง ความเกียจคร้านของเรามีหรือไม่ เราได้ละความเกียจคร้านออกจากใจของเราแล้วหรือยัง เรามีความเสียสละอย่างเต็มที่หรือไม่
การอดการวิเคราะห์การสังเกต การสำรวมอินทรีย์ของตัวเราเอง หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรารู้ลักษณะของจิตของเราเวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส ตัววิญญาณของเราซึ่งเป็นตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้านั่นแหละ มันเข้าไปยินดียินร้ายได้อย่างไร
ขอให้เราจำแนกแจกแจง สติที่เราสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน แล้วก็รู้ลักษณะของจิตที่ชัดเจน ลึกลงไปแล้วก็จะเห็นอาการของขันธ์ห้าที่ชัดเจน เราอย่ารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา ให้เรารู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงลักษณะอาการนั้นด้วย
สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกคนมีบุญกันทั้งนั้น เรามีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกัน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น ถึงกาลถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ เป็นความจริงของชีวิต
เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมาย ขอให้รู้หนทาง เดินให้มันได้ เดินให้มันถึง ถ้าการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจในแนวทางมันก็ยากอยู่ บุคคลที่นิ่งสงบเยือกเย็นก็จะเป็นบุคคลที่ไปถึงฝั่งในเร็วได้ไว ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันนะ มาอยู่บ้านของเรา เอาตามสบายกันทุกคน