หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 016

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 016
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 016
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริง เราก็ต้องพยายามสำรวจ สร้างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สำรวจกายสำรวจจิตของเรา อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน

เพื่อที่จะให้น้อมเข้าไปรู้กายรู้จิตของตัวเรา แนะวิธีแนะอุบาย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้น้อมสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง รู้ว่าจิตของเราปกติดีอยู่หรือไม่ หรือว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน จิตของเราเกิดความกังวล แม้ตั้งแต่การสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา พลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว เราก็ต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตรา รู้กายรู้จิตๆ รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ ที่เขาเกิดอย่างไร พยายามทำในใจอยู่ตลอดเวลา หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจอยู่ในใจตลอดเวลา รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับ ควบคุมจิตของเรา ควบคุมอารมณ์ของเรา

การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัว พวกเราต้องพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปนึกไปคิดเอา การนึกการคิดอันนั้นเป็นปัญญาของโลกีย์ ปัญญาของทางโลก มันก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ยังรู้ไม่เท่าทันจิต สติความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง

ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิต ไปคลายความหลง ไปแยกรูปแยกนาม ไปชำระสะสางกิเลส ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องพยายามเน้นลงอยู่ที่กายของเราเสียก่อน ถ้าเรารู้จิต รู้ฐานของจิต เราก็รู้ใจของเราเลย รู้จิตของเราเลย จะทำอะไรก็ให้จิตรับรู้ จิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ

ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธพระองค์ ความคิดทิฏฐิมานะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นมา ผุดขึ้นมาโต้แยง เราก็พยายามดับพยายามควบคุมเสียก่อน ช่วงใหม่ๆ นี้อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิด ชอบเที่ยว แล้วก็ขันธ์ห้าก็เข้ามาปรุงแต่งจิตก็ไปด้วยกัน เราต้องใช้สมถะดับ หยุดให้นิ่ง จนกว่าความรู้ตัวหรือว่าสติของเราจะรู้ตั้งแต่การเกิดการก่อ ถ้าเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต หรือเกิดจากความคิดที่เป็นอาการของขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิตของเรา ก็ต้องพยายามกัน

การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การสร้างบารมีทุกคนก็มีกันมา มาดี​ ความเสียสละ เสียสละกำลังกายกำลังใจ แม้ตั้งแต่กำลังทรัพย์ เสียสละเวลาน้อมกายของเราเข้ามา ถ้าเราไม่ได้วางภาระหน้าที่การงานที่เราเคยทำเคยอยู่ก็คงจะมาไม่ได้ เรามีความเสียสละตรงนั้น

ทีนี้เราก็มาศึกษาเรื่องจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ความสงสัยต่างๆ ก็จะคลายหายไป กำลังสติของเราก็จะตามดูตามรู้ ตามเห็นตามความเป็นจริง เขาเรียกว่ารอบรู้ในของสังขาร เราละกิเลสตัวไหนได้บ้าง เรากิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ เราก็ต้องพยายามชำระสะสางออกไปให้หมดทีละเล็กทีละน้อย ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้คิดของเราเป็นทาสของกิเลส

ของดีอยู่ในกายของเรา กายของเราทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง หูตาจมูกลิ้นกายซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรามีความรู้ตัวรู้จิตของเราตลอดเวลา เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็ส่งเข้าไปถึงจิต ให้จิตรับรู้ ถ้าจิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ

บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ การสงบของจิตนั้น บางทีจิตไม่มีความโลภความโกรธความอยาก จิตยังไม่ส่งออกไปภายนอกก็ยังสงบอยู่ แต่ก็ยังคว่ำอยู่ ถ้าเขาคลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราเห็นการแยกออกจากความคิดได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เขาถึงจะหงายขึ้นมา ซึ่งพระพุทธองค์บอกว่าเหมือนกับหงายของที่คว่ำ นั่นแหละสมมติกับวิมุตติ วิมุตติก็จะผุดขึ้นมา สมมติก็จะอยู่ข้างล่าง กายก็จะเบาจิตก็จะโล่งโปร่ง สติก็จะตามทำความเข้าใจ การเกิดของจิตก็จะเห็นชัด กำลังสติของเรามีมาก จิตของเราก็จะฉายแววขึ้นมาให้เราเห็นทันที

อย่าไปเกียจคร้าน ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เอาการงานของเราเป็นการฝึกปฏิบัติ ทำงานไปด้วยรู้จิตไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย มีความเกียจคร้านไหม เราทำไปเพื่ออะไร เพื่อยังประโยชน์ทางสมมติให้ได้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย

ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ก็อยู่ด้วยกันด้วยความรักสมัครสมานสามัคคี อยู่ด้วยพรหมวิหารความเมตตา มีอะไรขาดตกบกพร่องเราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนเกิดมาก็ล้วนแต่เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราพอช่วยกันได้เราก็รีบช่วยกัน

เราก็จะอยู่ดีมีความสุข ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ โรงครัวต่างๆ เราก็ช่วยกันดู เป็นหน้าที่ของทุกคน เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่ว่าหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องดูแล ไม่ใช่สมบัติของเรา เป็นสมบัติของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน เรามาอยู่เราก็ได้อาศัยของพวกนี้ คนอื่นมาก็จะได้สร้างสานต่อ ทำความเข้าใจต่อ ก็จะได้เป็นพื้นฐานแห่งบุญในวันข้างหน้าของหมู่ชนของมหาชน บุญภายในเราก็ทำ บุญภายนอกเราก็ทำ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติให้เพียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะอำนวยส่งให้ถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ก็อย่าพากันมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

การประพฤติปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราไปมองข้ามการชำระสะสางกิเลส ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา แม้กระทั่งไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา แม้แต่อยากจะรู้ธรรม ถ้าเกิดความอยากที่เกิดจากจิตเราก็ต้องเจริญสติเข้าไปดับ ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็จะอยู่กับโลกสมมติอย่างมีความสุข จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมติจริงๆ

กายของเราก็เป็นก้อนสมมติ ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ ยังอยู่กับโลกอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจ การเจริญสติถ้าเรารู้จิตแล้ว เราไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญทางด้านร่างกายให้มากมาย เราต้องพยายามดูจิต แก้ไขอยู่ตลอดเวลา จิตเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ

ไม่มีใครรู้เลยว่าเราทำอะไร เราดูอะไร ให้เรารู้เรา เห็นเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา นี่แหละสติก็จะเป็นที่พึ่งของจิต ตนเป็นที่พึ่งของตนก็อยู่ตรงนี้ กายของเราก็พึ่งอาศัยสมมติอาศัยปัจจัยสี่อยู่ กายแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละ เราถึงจะได้วางสมมติจริงๆ เราหนีสมมติไม่พ้นหรอก นอกจากหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วางจากกันจริงๆ ไม่ต้องไปผลักไส

ให้จิตของเราสงบอยู่ตลอดเวลา สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น สงบ อยู่กลางโรงหนัง กลางตลาด กลางดงระเบิด ก็ต้องให้จิตของเราสงบอยู่ตลอดเวลา สงบปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น สงบขณะที่ทำการทำงาน ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง