หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 008

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 008
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 008
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้วเราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้น แล้วก็รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์ การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของความคิด ว่าเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร

จิต ลักษณะของจิตที่สงบปราศจากขันธ์ห้า ปราศจากความคิด ปราศจากอารมณ์ ลักษณะของจิตที่สงบปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องหมั่นวิเคราะห์ตัวเราตลอดเวลา ทั้งภาระหน้าที่สมมติต่างๆ เราต้องทำให้เรียบร้อย เป็นงานประจำของทุกคน ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเรา จนกว่าจะประคับประคองจิตของเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง ก็คือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น

กาลเวลาที่ผ่านมา ทุกคนก็ได้สร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมีกันอยู่ตลอด ตั้งแต่ภพก่อนๆ นู่นแหละ จนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะว่าสภาพจิตของแต่ละดวงวนเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ตายไม่เป็น กายแตกดับแล้วก็ไปสู่ภพอื่น ถ้าสร้างคุณงามไว้ดี สร้างบุญไว้ดี ก็ขึ้นสู่ภพที่สูง

ถ้าจิตไม่หลุดพ้นก็ต้องวนเวียนว่ายตายเกิด เป็นเทวดาบ้าง มนุษย์บ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง หรือว่าแม้กระทั่งลงนรกบ้าง กลับไปกลับมาๆ อยู่อย่างนี้แหละ เพราะว่าความหลง อวิชชา พาดวงจิตของเราไป ทุกคนไม่อยากจะตกไปสู่ที่ต่ำ

แต่ก็เพราะความหลงเท่านั้น ทำให้จิตของเราพลัดหลงเข้าไปสู่ที่ต่ำ เราก็ต้องพยายามมาสร้างวิชชา มาเจริญสติ เข้าไปทำความเข้าใจ ยกระดับจิตของเราให้ขึ้นสู่ที่สูง ถึงไม่หลุดพ้นก็ให้อยู่ในภพของมนุษย์ ภพของสวรรค์ ของเทวดา ของพรหม ก็ยังดี ดีกว่าจะไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในภพที่ลำบาก

ให้รีบสร้างรีบทำเสีย ขณะที่เรายังมีลมหายใจยังมีกำลัง ยังไม่สาย เพราะว่าการทำคุณงามความดีไม่สาย ทำได้ตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แล้วก็รู้จักการเจริญภาวนา การสร้างสติ

การเจริญสตินี้เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียร เอาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามรู้กาย แล้วก็รู้จิต หรือว่ารู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิต จิตของเราอยู่ตรงไหน ก็อยู่กลางใจนั่นแหละ

ใจอยู่ตรงไหน ก็อยู่ที่หัวใจนั่นแหละ เราก็พยายามรู้ เวลาจิตจะก่อตัวเขาจะเริ่มก่อตัวอย่างไร เราก็ดับเสีย อย่างเช่น หลวงพ่อจะอุปมาอุปไมยให้ฟังให้ดู เวลาเราตกใจ ความตกใจความผวาของจิตมันอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้นแหละ ไอ้ส่วนที่รู้ก็คือสติ ไอ้ตัวที่ตกใจหรือว่าเกิดความโกรธ หรือว่าเกิดความทุกข์ก็อยู่ที่ตรงกลางใจนั่นแหละ เราก็พยายามรีบดับรีบควบคุมเสีย ให้เขาอยู่ในความปกติ

อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้จักละความเกิด ละความอยากออกจากใจของเรา เราละความอยากดับความอยากได้ ก็เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน จะทำโน่นทำนี่ เอาสิ่งโน่นเอาสิ่งนี่ เราก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา เอาด้วยเหตุเอาด้วยผล

ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เป็นธรรมหมด เราจะวิ่งไปแสวงหาธรรมนอกกายหาไม่เจอ แต่ต้องน้อมเข้าไปดูรู้อยู่ในกายของเรา นอกนั้นก็เพื่อยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าชี สร้างความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเรา

สร้างความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้นให้มีให้เกิดขึ้น แต่ละวันๆ สร้างตบะบารมีให้เกิดให้เต็มรอบ ความขยันของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละของเรามีเต็มที่หรือไม่ การสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเรามีอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวเราเอง รู้จักรับผิดชอบ รู้จักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ระเบียบจากข้างในก็ส่งผลออกข้างนอก ทั้งที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ เราก็ช่วยกันดู โรงครัว การทำกับข้าวกับปลาทุกสิ่งทุกอย่าง

ทุกคนต้องยุ่งเกี่ยวกันกับปัจจัยสี่อยู่ตลอดเวลา ยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ากายทวารของเราก็ทำหน้าที่ เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงอยู่แล้ว เราก็มาทำความเข้าใจกับจิตหรือว่าวิญญาณของเราเสีย

เวลาตากระทบรูปก็รู้ว่าจิตของเราปกติ จิตของเรายินดีหรือไม่ ยินร้ายหรือไม่ ผลักไสหรือเปล่า หรือว่าเป็นกลางๆ หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เหมือนกัน เราก็รู้ว่าจิตของเราปกติ ถ้าเราต้องการสิ่งจะต่างๆ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ เราก็เอามาด้วยสติ เอามาด้วยปัญญา

ทำความเข้าใจกับความหมายของภาษาธรรม สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร นี่แหละ ตามธรรมดานั้น จิตของทุกคนนี่ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็เกิด เกิดด้วยแล้วก็หลงด้วย ตราบใดที่เรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิดไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้ให้เท่าทันคลายได้ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง

เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเรายังสร้างไม่ได้ต่อเนื่องกัน ถ้าสร้างได้ต่อเนื่องกันให้ได้ทุกอิริยาบถ ความรู้ตัวก็จะรู้ชัดแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ รู้การเกิด รู้การดับ รู้การคลาย แล้วก็ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลส

การได้ยินได้ฟัง หลวงพ่อก็เล่าทุกวัน เล่าของเก่าเรื่องเก่า แต่พวกเราอาจจะยังไม่เห็น ถ้าถึงวาระเวลาก็คงจะรู้คงจะเห็น เพราะว่าวิบากกรรมของคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย สร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาจนเต็มเปี่ยม ไม่มีใครชี้แนะก็จะรู้เอง อันนี้ก็มีน้อย เราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์

การเจริญสติ การเจริญภาวนา การเจริญพรหมวิหาร เราต้องมีตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง อย่าพากันเกียจคร้าน ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เอาการงานของเรานั่นแหละเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยจิตได้พักผ่อนไปด้วย จิตไม่เครียด

ได้ประโยชน์ทั้งภายนอก ได้ประโยชน์ทั้งภายใน ทำ ปรุงแต่งธรรมชาติให้น่าอยู่ ปรุงแต่งสมมติให้น่าอยู่ สมมติภายนอกก็ยกลงมา สมมติกายของเรานี่แหละก้อนสมมติ ลึกลงไปก็ใจของเรามาอาศัยกายอยู่ เราต้องสำรวจเขาให้เรียบร้อยเสีย

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง