หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 003

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 003
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 003
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถที่สบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายที่สุด วางกายของเราให้สบาย วางใจของเราให้สบาย กระตุ้น สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว

ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา สติก็จะตั้งมั่นขึ้น แล้วก็รู้กาย รู้ความปกติของจิต จิตปกติก็รู้อยู่ จะลุกจะก้าวจะเดิน สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน สัมผัสของฝ่าเท้าเราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ จิตของเรานิ่งปกติเราก็รู้อยู่ จิตจะส่งไปภายนอก สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็จะรู้ทัน

รู้เท่าทัน รู้จักควบคุมจิตให้อยู่ในความสงบ ให้อยู่ในความนิ่ง ให้รับรู้อยู่ในกายของเรา ส่วนอาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า เขาจะก่อตัวเกิดขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่เราก็จะรู้เท่าทัน ขณะที่เรารู้เท่าทันนั้นจิตก็จะดีดออกจากความคิดเอง เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม

เราต้องพยายามคลายความหลงตรงนี้ให้ได้เสียก่อน เราก็จะเข้าใจในเรื่องสภาวธรรม อาการในขันธ์ห้าเกิดๆ ดับๆ เข้าใจในเรื่องรูป เข้าใจในเรื่องนาม เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกไปคิดเอา อันนั้นเป็นปัญญาที่เกิดจากกิเลส เกิดจากตัวจิต หรือว่าเกิดจากขันธ์ห้า เขายังรวมกันอยู่ เขายังหลงกันอยู่ จิตยังไม่ได้คลาย

เราต้องสร้างความรู้ตัว ต้องเป็นคนขยัน ขยันหมั่นเพียร ขยันให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จิตของเรามีศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยหรือไม่ เชื่อมั่นในคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ละอายเกรงกลัวต่อบาป สร้างกุศลกรรม แล้วก็ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา

ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ด้วยการเอาออก ด้วยการบริจาค ด้วยการให้ พอใจยินดีมีความสุขในการให้ ในการคลาย ในการเอาออก จิตของเรามีความโกรธความอาฆาตพยาบาท เราก็รู้จักระงับดับความโกรธ ละความอาฆาตพยาบาท รู้จักให้อภัยทาน อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี จิตของเรามีความอิจฉาริษยาเราก็พยายามรีบดับรีบแก้เสีย มลทินต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วก็ทำดี รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

กายของเราขณะอยู่ปัจจุบันนี้ เป็นอย่างไร เราได้สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเราเองหรือไม่ สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือไม่ วาจาของเราก็เหมือนกัน วาจาของเราก็พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด รู้จักสำรวมกายวาจา

ลึกลงไปก็ใจ ส่วนมากเราจะไม่เข้าถึงตัวใจเท่าไร ไม่รู้ฐานของใจ ขณะที่ใจหรือว่าจิตของเราก่อตัวหรือว่าคิด เราก็ดับความคิดนั้นเสีย ดับความเกิดนั่นแหละ จิตเกิดส่งไปภายนอก นั่นแหละหลักของอริยสัจ สมุทัย เราก็ไปดับตรงนั้น เขาก็สงบนิ่ง จิตเกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ไม่ว่าอยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียงต่างๆ เราก็รีบดับเสีย

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ทวารทั้งหกก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทวารทั้งหกเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงที่ส่งเข้าไปถึงใจ ส่วนมากตัวใจจะไปเป็นตัวบงการ คิดโน่นคิดนี่ เรื่องนู้นเรื่องนี้ ไปคิด ส่งออกไปภายนอกก็ยังไม่พอ รวมกับขันธ์ห้าเข้าไปอีก

ถ้ากำลังสติหรือว่าความรู้ตัวของเราไม่เข้มแข็ง ไม่ต่อเนื่องพอ ก็ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ เราก็เข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ถ้ายังแยกไม่ได้เราก็อาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อเขา ว่าวิมุตติเป็นแบบนี้ สมมติเป็นอย่างนี้

ถ้าคนเราเข้าใจ แยกได้เมื่อไหร่ เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง แล้วก็ชำระสะสางกิเลสที่มีในกายในใจของเราออกให้หมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา เราก็ต้องทำความเข้าใจทุกเรื่องในชีวิตของเรา

การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะว่าสร้างบุญมาดี ถ้าไม่สร้างบุญมาดีไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ในเมื่อเกิดมาแล้วก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาตลอด อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม

การเกิด ขณะที่เกิด ขณะที่เจริญวัยนั่นแหละ การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติของด้านรูปธรรมเขาก็สอนเราอยู่ โตขึ้นมาก็ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว บางคนบางท่านก็มีความรับผิดชอบที่สูง บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านสมมติก็ยังไม่บริบูรณ์ เพราะว่าความหมั่นเพียรไม่เหมือนกัน วิบากกรรมไม่เหมือนกัน

ถ้าคนเรารู้จักทำความเข้าใจ น้อมเข้าไปสำรวจหมั่นแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ก็จะรู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เราไม่เข้าใจแนวทาง ก็พระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย จำแนกแจกแจงให้พวกเราได้เดินตาม เพียงแค่พวกเราจะฝึกฝนตนเองหรือไม่เท่านั้นเอง

บุคคลที่มีสติมีปัญญา มีบุญมีอานิสงส์ เพียงแค่รู้นิดๆ หน่อยๆ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจเป็นอย่างนี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างนี้ ก็จะไปทำความเพียรทำความเข้าใจ อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม อยู่คนเดียวก็วิเคราะห์ตัวเรา วิเคราะห์กาย วิเคราะห์จิต วิเคราะห์ความคิดอารมณ์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ตามทำความเข้าใจได้ นั่นแหละ

ยิ่งจะมีความขยันหมั่นเพียร เราก็จะได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ตลอดเวลา ธรรมะก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติภายในคือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ดั้งเดิม ธรรมชาติของโลก โลกธรรมแปดก็เป็นอยู่อย่างนี้ ธรรมชาติภายนอก คนเราไม่เข้าใจทั้งสองอย่างก็เลยไปยึดมั่นทั้งสองอย่าง ก็เลยทุกข์

คนที่มีสติปัญญาทำความเข้าใจเสีย แล้วก็ละ แล้วก็วางให้หมด จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ทำความเข้าใจให้เรียบร้อย อะไรคือจิต อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา ความสงบ จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร

ถ้าเราไม่รีบทำความเข้าใจก็ปล่อยให้กิเลสเป็นนายเหนือหัวเราตลอดเวลา ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่ชาติ ถึงจะดับความเกิดได้ เราก็ต้องพยายามเอานะ ทุกคนนั่นแหละ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เกิดมาก็เพื่อที่จะปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้นกันทั้งนั้น ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงใหม่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้เอง

ญาติโยมที่มาที่วัด มาที่นี่ ทั้งทางใกล้ทางไกล มาถึงวัดแล้วก็เปรียบเสมือนกับได้มาบ้านของตัวเราเอง ให้ทำใจให้สบาย ทำกายให้สบาย ทุกคนก็แสวงหาบุญแสวงหาธรรมกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นได้บังคับว่าต้องทำนะ ต้องฝึกหัดปฏิบัตินะ ต้องกะเกณฑ์อย่างนั้นไม่เอา ทุกคนมีข้อวัตรอยู่ในตัว ทุกคนมีความตั้งใจอยู่ในตัว ที่จะประพฤติที่จะปฏิบัติ อยู่คนเดียวเราก็ดูเราแก้ไขเรา อยู่หลายคนเราก็ดูเราแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราสำรวจแล้วหรือยัง ว่าจิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่ครั้ง สักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง สติปัญญาความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องกันหรือไม่ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องพวกเรายังทำกันไม่ได้ ยังกระท่อนกระแท่นกันอยู่ ส่วนอานิสงส์บารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนก็สร้างกันมาดีทั้งนั้น ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง