หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 45
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 45
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา หยุดคิด ดับความคิด ดับความปรุงแต่งต่างๆเอาไว้ให้หมด แม้แต่กายของเราก็วางกายให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อต่างๆ ออกไปให้หมด แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2 - 3 เที่ยว
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็ยับยั้งความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตลงได้ถนัด แล้วก็สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ทำอย่างไรเราถึงมีความสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามสร้างความรู้ตัวรู้ลมหายใจ นี่ก็เป็นอุบายในการรู้กายแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบัน เวลาจิตเกิด จิตก่อตัว จิตเกิดอารมณ์ เราก็รู้เท่าทัน เราก็รู้จักดับ เวลาอาการของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเขาผุดขึ้นมา เขาก่อตัวขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมโดยปริยาย โดยทั่วไปนะทุกคน
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น เห็นขณะจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม พอเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิดตรงนั้นทันที แล้วก็จะหงาย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตรงนี้แหละถึงจะคลายโมหะ คลายความหลง เราก็จะเห็นความว่างชัดเจน เห็นอาการของความคิดที่เกิดๆ ดับๆ ที่มาปรุงแต่งจิตได้ชัดเจน เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า
ถ้าเป็นเรื่องอดีตเขาเรียกว่า ‘สัญญา’ ความจำได้หมายรู้ ความคิดทุกชนิด เขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ จิตของเราเข้าไปร่วมก็เรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’ บางทีก็เป็นทุกข์บ้าง บางทีก็เป็นสุขบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง ขณะที่จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม กำลังความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องเราก็เลยไม่เห็นตรงนั้น เรารู้เมื่อเขาเข้าไปรวมกันแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิด เราถึงรู้ว่าเราทำ เพราะเป็นของละเอียด ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็จะยากที่จะเข้าใจตรงนี้
แต่เราก็ฝักใฝ่ในบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างตบะสร้างบารมี มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี รู้จักกุศล รู้จักอกุศล รู้จักการเจริญ แต่การแยกรูปแยกนาม การทำความเข้าใจ ถ้ากำลังความรู้ตัวไม่เพียงพอมันก็ยากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เราพยายามทำไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม
ขณะนี้ขณะเรากำลังตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ เราก็รู้จักดับ รู้จักละ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามดับ พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี โลกเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเรื่องต่างๆ เราก็รู้จักดับ อยู่กับลมหายใจนี่แหละ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ มีทิฐิมีความเห็นต่างๆ เราก็ดับ อันนี้เป็นกิเลสละเอียดที่ปิดกั้นกางไม่ให้จิตของเราได้รับความสงบ พวกนิวรณ์มลทินต่างๆ พวกอคติ พวกเพ่งโทษ เราก็พยายามละคลายออกจากใจของเรา หมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นทางเดิน งานภาระหน้าที่สมมุติเราก็ทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข อยู่ที่ไหนเราก็ได้ฝึกฝนตนเอง ท่านถึงบอกให้แก้ไขตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ในทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายนั่นแหละคือเราได้ปฏิบัติธรรมกัน
เราต้องพยายามเข้าถึงธรรมชาติของจิตที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากความหลง จิตของคนทั่วไปทะเยอทะยานอยากด้วยอำนาจของกิเลส อยากด้วยแล้วก็หวังด้วย มันก็พอกพูนปิดกั้นดวงจิตเอาไว้โดยปริยาย เพราะว่าภาระหน้าที่สมมติบีบบังคับ บางทีก็สิ่งนั้นบ้าง บางทีก็สิ่งนี้บ้าง มาปิดกั้นเอาไว้ บางทีก็ครอบครัวลูกหลานก็เยอะแยะ สิ่งของข้าวของต่างๆ เราอยากจะปล่อย อยากจะวาง ถ้าเราไม่รู้จุดปล่อยจุดวาง มันก็วางไม่ได้หรอก
มันก็วางได้ระดับของสมมติได้ระดับหนึ่ง แต่จะวางที่ใจให้ใจวางได้จริงๆ เราต้องแยกรูปแยกนาม แยกจิตออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกให้มันหมด เหลือแต่จิตของเราที่สงบ แม้แต่การเกิดของจิตเราก็ต้องดับ จิตของเราถึงจะเป็นเอกเป็นหนึ่ง มองเห็นทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
แก้ไขจิตของเราให้เรียบร้อยเสียก่อนขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ส่วนมากเพียงแค่การสร้างความรู้ตัว พวกเราก็ยังสร้างกันไม่ต่อเนื่อง กระท่อนกระแท่น หรือไม่สร้างกันขึ้นมาเลย ไม่น้อมเข้าไปดูรู้จิตเลย เลยรู้แต่ว่าเราคิดเราทำแล้วก็วิ่งตามความคิด ไปทำบุญ ไปให้ทาน ไปปฏิบัติ ก็ไปด้วยความอยากที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า มันก็ยากที่จะเข้าใจ
ถ้าเรื่องของการปฏิบัติแล้ว ท่านก็ให้ละความอยาก ละความหวัง ดับความเกิดที่จิต เจริญสติเข้าไปดับ เพียงแค่การสร้างสติ พวกเราก็ยังไม่ทำให้ต่อเนื่อง จุดแรกที่สุดนะ ศรัทธาก็มีกันอยู่ แล้วการเสียสละ เจริญพรหมวิหารก็มีกันอยู่แล้ว แต่การเจริญสติให้ต่อเนื่องไม่อดทนอดกลั้นกัน ทำได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ทิ้ง ทำได้บ้างนิดๆ หน่อยก็ทิ้งๆ มันก็จะไปรู้เท่าทันกลไกลของความคิด ของขันธ์ห้า ของกิเลสได้อย่างไรกัน ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัยหรอก อย่าไปทิ้งวัดอย่าไปทิ้งพระ ทำกายให้เป็นวัดทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็ยับยั้งความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตลงได้ถนัด แล้วก็สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ทำอย่างไรเราถึงมีความสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามสร้างความรู้ตัวรู้ลมหายใจ นี่ก็เป็นอุบายในการรู้กายแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบัน เวลาจิตเกิด จิตก่อตัว จิตเกิดอารมณ์ เราก็รู้เท่าทัน เราก็รู้จักดับ เวลาอาการของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเขาผุดขึ้นมา เขาก่อตัวขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมโดยปริยาย โดยทั่วไปนะทุกคน
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น เห็นขณะจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม พอเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ จิตก็จะดีดตัวออกจากความคิดตรงนั้นทันที แล้วก็จะหงาย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตรงนี้แหละถึงจะคลายโมหะ คลายความหลง เราก็จะเห็นความว่างชัดเจน เห็นอาการของความคิดที่เกิดๆ ดับๆ ที่มาปรุงแต่งจิตได้ชัดเจน เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า
ถ้าเป็นเรื่องอดีตเขาเรียกว่า ‘สัญญา’ ความจำได้หมายรู้ ความคิดทุกชนิด เขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ จิตของเราเข้าไปร่วมก็เรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’ บางทีก็เป็นทุกข์บ้าง บางทีก็เป็นสุขบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง ขณะที่จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม กำลังความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องเราก็เลยไม่เห็นตรงนั้น เรารู้เมื่อเขาเข้าไปรวมกันแล้ว เราถึงรู้ว่าเราคิด เราถึงรู้ว่าเราทำ เพราะเป็นของละเอียด ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็จะยากที่จะเข้าใจตรงนี้
แต่เราก็ฝักใฝ่ในบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างตบะสร้างบารมี มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี รู้จักกุศล รู้จักอกุศล รู้จักการเจริญ แต่การแยกรูปแยกนาม การทำความเข้าใจ ถ้ากำลังความรู้ตัวไม่เพียงพอมันก็ยากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เราพยายามทำไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม
ขณะนี้ขณะเรากำลังตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ เราก็รู้จักดับ รู้จักละ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามดับ พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี โลกเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเรื่องต่างๆ เราก็รู้จักดับ อยู่กับลมหายใจนี่แหละ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ มีทิฐิมีความเห็นต่างๆ เราก็ดับ อันนี้เป็นกิเลสละเอียดที่ปิดกั้นกางไม่ให้จิตของเราได้รับความสงบ พวกนิวรณ์มลทินต่างๆ พวกอคติ พวกเพ่งโทษ เราก็พยายามละคลายออกจากใจของเรา หมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นทางเดิน งานภาระหน้าที่สมมุติเราก็ทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข อยู่ที่ไหนเราก็ได้ฝึกฝนตนเอง ท่านถึงบอกให้แก้ไขตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ในทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายนั่นแหละคือเราได้ปฏิบัติธรรมกัน
เราต้องพยายามเข้าถึงธรรมชาติของจิตที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากความหลง จิตของคนทั่วไปทะเยอทะยานอยากด้วยอำนาจของกิเลส อยากด้วยแล้วก็หวังด้วย มันก็พอกพูนปิดกั้นดวงจิตเอาไว้โดยปริยาย เพราะว่าภาระหน้าที่สมมติบีบบังคับ บางทีก็สิ่งนั้นบ้าง บางทีก็สิ่งนี้บ้าง มาปิดกั้นเอาไว้ บางทีก็ครอบครัวลูกหลานก็เยอะแยะ สิ่งของข้าวของต่างๆ เราอยากจะปล่อย อยากจะวาง ถ้าเราไม่รู้จุดปล่อยจุดวาง มันก็วางไม่ได้หรอก
มันก็วางได้ระดับของสมมติได้ระดับหนึ่ง แต่จะวางที่ใจให้ใจวางได้จริงๆ เราต้องแยกรูปแยกนาม แยกจิตออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกให้มันหมด เหลือแต่จิตของเราที่สงบ แม้แต่การเกิดของจิตเราก็ต้องดับ จิตของเราถึงจะเป็นเอกเป็นหนึ่ง มองเห็นทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
แก้ไขจิตของเราให้เรียบร้อยเสียก่อนขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ส่วนมากเพียงแค่การสร้างความรู้ตัว พวกเราก็ยังสร้างกันไม่ต่อเนื่อง กระท่อนกระแท่น หรือไม่สร้างกันขึ้นมาเลย ไม่น้อมเข้าไปดูรู้จิตเลย เลยรู้แต่ว่าเราคิดเราทำแล้วก็วิ่งตามความคิด ไปทำบุญ ไปให้ทาน ไปปฏิบัติ ก็ไปด้วยความอยากที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า มันก็ยากที่จะเข้าใจ
ถ้าเรื่องของการปฏิบัติแล้ว ท่านก็ให้ละความอยาก ละความหวัง ดับความเกิดที่จิต เจริญสติเข้าไปดับ เพียงแค่การสร้างสติ พวกเราก็ยังไม่ทำให้ต่อเนื่อง จุดแรกที่สุดนะ ศรัทธาก็มีกันอยู่ แล้วการเสียสละ เจริญพรหมวิหารก็มีกันอยู่แล้ว แต่การเจริญสติให้ต่อเนื่องไม่อดทนอดกลั้นกัน ทำได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ทิ้ง ทำได้บ้างนิดๆ หน่อยก็ทิ้งๆ มันก็จะไปรู้เท่าทันกลไกลของความคิด ของขันธ์ห้า ของกิเลสได้อย่างไรกัน ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัยหรอก อย่าไปทิ้งวัดอย่าไปทิ้งพระ ทำกายให้เป็นวัดทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ