หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 38
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 38
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของตัวเราสักพักหนึ่ง ทำจิตของเราให้สงบ ทำจิตของเราให้นิ่ง เจริญสตินั่งสมาธิดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ทุกเรื่องเอาไว้เสียก่อน วันนี้ก็เป็นวันที่ 13 ตรุษสงกรานต์ วันที่จะได้อัญเชิญพระพุทธรูปลงให้ทุกคนได้สรงน้ำกัน ช่วงเย็นวันพรุ่งนี้ก็จะได้ทำพิธีสรงน้ำพระคุณเจ้า แล้วก็แม่ชีผู้เฒ่าผู้แก่ตามประเพณีที่เราได้เคยทำกันมา ทุกคนพอถึงวันสำคัญแล้ว ก็ฝักใฝ่ในบุญในการสร้างบุญ สร้างกุศลกัน
ตามความเป็นจริงแล้วเราต้องทำทุกวัน ทำทุกวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งการเจริญสติ การเจริญสมาธิ การสำรวจกาย สำรวจจิตของเราอยู่ตลอดเวลา การเจริญสติ สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็หมั่นสำรวจจิตของเรา จิตของเราเกิดกุศล หรือว่าอกุศล จิตของเราเป็นปกติ จิตของเราสงบ ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร
เราต้องพยายามวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะเลือกเอาวันสำคัญต่างๆ ถึงเป็นการทำบุญ ถึงจะดูตัวเรา อย่างนั้นไม่ทันหรอก เราต้องแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเราเอง จนเป็นกิจวัตรประจำวัน จนเป็นอัตโนมัติในการชำระสะสางกิเลส ในการทำบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ หรือว่าเยี่ยมจิตของเรา
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ยังทำกันกระท่อนกระแท่น บางครั้งก็นานๆ ที ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องก็ยังไม่รู้ การหายใจเข้าหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่องกันสักกี่ครั้ง บางทีก็จิตสงบอยู่ แต่ขาดการน้อมเข้าไปรู้ เข้าไปศึกษา เข้าไปค้นคว้า อยากได้แต่บุญ อยากได้แต่ธรรม ทั้งที่จิตก็เป็นบุญเป็นธรรมอยู่ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้อง สติไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา สมาธิไม่มีเราก็ต้องพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้น จิตของเราไม่สงบเราก็ต้องพยายามทำให้สงบ เจริญสร้างตบะบารมี
ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ศรัทธาของเราเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็หมั่นสร้างคุณงามความดี หาโอกาส หาเวลาให้ตัวเรา ทำความเข้าใจให้มากๆ เราต้องสร้างสติเข้าไปสำรวจ เราแก้ไขเรา อะไรผิด อะไรถูกก็รีบแก้ไข ไม่ใช่ว่าจะเที่ยวไปให้คนนั้นเขาอบรม ให้คนนี้อบรมให้ เราต้องอบต้องรมตัวเอง แก้ไขตัวเอง ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ปฏิบัติเหมือนกันหมด จะปฏิบัติได้ช้าได้เร็วก็ขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจ เราพยายามรีบขวนขวายทำทั้งภายนอก ภายใน ภายในก็ชำระกิเลสออกจากใจของเรา ทำใจของเราให้สะอาด ทำใจของเราให้สงบ เราไม่เข้าใจ เราถึงแสวงหาแนวทาง แสวงหาสถานที่
ตามความเป็นจริงทุกคนก็แสวงหากันมานาน ไปประพฤติปฏิบัติที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ดีหมดทุกที่ ขอให้ไปเถิดถ้ามีโอกาส ขอให้เรารู้จักการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การละ การแยก การคลาย พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ เราจะเอาอะไรไปดับ การสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีอย่างไร การเจริญพรหมวิหารอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด
ไปหาครูบาอาจารย์ท่านใด ท่านก็จะพูดอย่างหลวงพ่อพูดนี่แหละ ถ้าท่านฝักใฝ่ในการปฏิบัติของหลักจิต หลักธรรมในทางหลุดพ้น อาจจะพูดในลักษณะของคนละอย่าง คนละแนว จุดหมายปลายทางก็คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นเหมือนกันหมด ถ้าคนเรารู้จักเอา ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร ทุกข์สมุทัยนิโรธ การเข้าไปดับ การทำความเข้าใจ ลักษณะหน้าตาอาการต่างๆ เราต้องเน้นลงอยู่ที่กายของเรา
กายของเราอยู่ที่ไหน ใจของเราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ที่นั่น ปฏิบัติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราก็ต้องรีบดู รีบแก้ไขตัวเราเอง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาภายนอกเราก็ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เราก็สร้างอานิสงส์ให้เกิดประโยชน์ให้มากมายเท่าที่จะทำได้ หมั่นชำระจิต เรามีจิตของเรามีอกุศล เราก็ละอกุศล จิตของเรามีความโลภ เราก็ละความโลภด้วยการเสียสละ ด้วยการให้ ละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตของเรามีความโกรธ เราก็พยายามให้อภัยทานละความโกรธให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดีอยู่ตลอดเวลา ทำลงไปเถอะสักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในชีวิตของเรา
ส่วนมากเราเข้าใจในระดับของโลกิยะ เข้าใจในระดับของสมมติ อัตตายังปิดอนัตตาอยู่ สมมติยังปิดบังวิมุตอยู่ ทั้งที่เขาก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็อยู่ร่วมกันอาศัยกายนี้อยู่ ถ้าเราขาดความเพียรที่ถูกทาง ที่ถูกวิธี ก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าเราขยันหมั่นเพียรในการทำความเข้าใจให้ถูกวิธี เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราสำรวจตัวเราแล้วหรือยังก่อนที่จะมาวัด หรือว่าอยากแต่มาวัด อยากแต่ทำบุญ เราก็ต้องดูความอยากนั่นแหละ น้อมให้มาในกองกุศล ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกันจริงๆ เราก็ละความอยาก ตั้งสติเข้าไปสำรวจดูรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเราแล้ว ไม่รู้ว่าใครจะสอนเราให้ เราต้องแก้ไขตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อะไรถูก อะไรผิดก็รีบแก้ไขเสีย ก่อนที่กำลังกายจะหมด กำลังกายจะแตกดับ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ พยายามรีบทำ รีบสร้างเอา
วันนี้ก็ช่วงบ่าย ๆ เย็นๆ ก็จะได้อัญเชิญพระพุทธรูปลงให้ญาติโยมได้สรงน้ำกัน ส่วนพรุ่งนี้ก็จะได้สรงน้ำพระคุณเจ้าแล้วก็พวกญาติโยมผู้เฒ่าผู้แก่แม่ชีกัน ก็ขอเชิญทุกคนมาร่วมกันมาช่วยกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนจงพบประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิตกันนะ เอาล่ะก็ขอเจริญธรรม
ตามความเป็นจริงแล้วเราต้องทำทุกวัน ทำทุกวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งการเจริญสติ การเจริญสมาธิ การสำรวจกาย สำรวจจิตของเราอยู่ตลอดเวลา การเจริญสติ สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็หมั่นสำรวจจิตของเรา จิตของเราเกิดกุศล หรือว่าอกุศล จิตของเราเป็นปกติ จิตของเราสงบ ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร
เราต้องพยายามวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะเลือกเอาวันสำคัญต่างๆ ถึงเป็นการทำบุญ ถึงจะดูตัวเรา อย่างนั้นไม่ทันหรอก เราต้องแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเราเอง จนเป็นกิจวัตรประจำวัน จนเป็นอัตโนมัติในการชำระสะสางกิเลส ในการทำบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ หรือว่าเยี่ยมจิตของเรา
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ยังทำกันกระท่อนกระแท่น บางครั้งก็นานๆ ที ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องก็ยังไม่รู้ การหายใจเข้าหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่องกันสักกี่ครั้ง บางทีก็จิตสงบอยู่ แต่ขาดการน้อมเข้าไปรู้ เข้าไปศึกษา เข้าไปค้นคว้า อยากได้แต่บุญ อยากได้แต่ธรรม ทั้งที่จิตก็เป็นบุญเป็นธรรมอยู่ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้อง สติไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา สมาธิไม่มีเราก็ต้องพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้น จิตของเราไม่สงบเราก็ต้องพยายามทำให้สงบ เจริญสร้างตบะบารมี
ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ศรัทธาของเราเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็หมั่นสร้างคุณงามความดี หาโอกาส หาเวลาให้ตัวเรา ทำความเข้าใจให้มากๆ เราต้องสร้างสติเข้าไปสำรวจ เราแก้ไขเรา อะไรผิด อะไรถูกก็รีบแก้ไข ไม่ใช่ว่าจะเที่ยวไปให้คนนั้นเขาอบรม ให้คนนี้อบรมให้ เราต้องอบต้องรมตัวเอง แก้ไขตัวเอง ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ปฏิบัติเหมือนกันหมด จะปฏิบัติได้ช้าได้เร็วก็ขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจ เราพยายามรีบขวนขวายทำทั้งภายนอก ภายใน ภายในก็ชำระกิเลสออกจากใจของเรา ทำใจของเราให้สะอาด ทำใจของเราให้สงบ เราไม่เข้าใจ เราถึงแสวงหาแนวทาง แสวงหาสถานที่
ตามความเป็นจริงทุกคนก็แสวงหากันมานาน ไปประพฤติปฏิบัติที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ดีหมดทุกที่ ขอให้ไปเถิดถ้ามีโอกาส ขอให้เรารู้จักการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การละ การแยก การคลาย พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ เราจะเอาอะไรไปดับ การสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีอย่างไร การเจริญพรหมวิหารอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด
ไปหาครูบาอาจารย์ท่านใด ท่านก็จะพูดอย่างหลวงพ่อพูดนี่แหละ ถ้าท่านฝักใฝ่ในการปฏิบัติของหลักจิต หลักธรรมในทางหลุดพ้น อาจจะพูดในลักษณะของคนละอย่าง คนละแนว จุดหมายปลายทางก็คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นเหมือนกันหมด ถ้าคนเรารู้จักเอา ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร ทุกข์สมุทัยนิโรธ การเข้าไปดับ การทำความเข้าใจ ลักษณะหน้าตาอาการต่างๆ เราต้องเน้นลงอยู่ที่กายของเรา
กายของเราอยู่ที่ไหน ใจของเราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ที่นั่น ปฏิบัติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราก็ต้องรีบดู รีบแก้ไขตัวเราเอง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาภายนอกเราก็ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เราก็สร้างอานิสงส์ให้เกิดประโยชน์ให้มากมายเท่าที่จะทำได้ หมั่นชำระจิต เรามีจิตของเรามีอกุศล เราก็ละอกุศล จิตของเรามีความโลภ เราก็ละความโลภด้วยการเสียสละ ด้วยการให้ ละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตของเรามีความโกรธ เราก็พยายามให้อภัยทานละความโกรธให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดีอยู่ตลอดเวลา ทำลงไปเถอะสักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในชีวิตของเรา
ส่วนมากเราเข้าใจในระดับของโลกิยะ เข้าใจในระดับของสมมติ อัตตายังปิดอนัตตาอยู่ สมมติยังปิดบังวิมุตอยู่ ทั้งที่เขาก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็อยู่ร่วมกันอาศัยกายนี้อยู่ ถ้าเราขาดความเพียรที่ถูกทาง ที่ถูกวิธี ก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าเราขยันหมั่นเพียรในการทำความเข้าใจให้ถูกวิธี เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราสำรวจตัวเราแล้วหรือยังก่อนที่จะมาวัด หรือว่าอยากแต่มาวัด อยากแต่ทำบุญ เราก็ต้องดูความอยากนั่นแหละ น้อมให้มาในกองกุศล ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกันจริงๆ เราก็ละความอยาก ตั้งสติเข้าไปสำรวจดูรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเราแล้ว ไม่รู้ว่าใครจะสอนเราให้ เราต้องแก้ไขตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อะไรถูก อะไรผิดก็รีบแก้ไขเสีย ก่อนที่กำลังกายจะหมด กำลังกายจะแตกดับ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ พยายามรีบทำ รีบสร้างเอา
วันนี้ก็ช่วงบ่าย ๆ เย็นๆ ก็จะได้อัญเชิญพระพุทธรูปลงให้ญาติโยมได้สรงน้ำกัน ส่วนพรุ่งนี้ก็จะได้สรงน้ำพระคุณเจ้าแล้วก็พวกญาติโยมผู้เฒ่าผู้แก่แม่ชีกัน ก็ขอเชิญทุกคนมาร่วมกันมาช่วยกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนจงพบประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิตกันนะ เอาล่ะก็ขอเจริญธรรม