หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 36

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 36
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 36
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
วันนี้ก็ได้ญาติโยมมาช่วยกัน จะพาปลูกต้นไม้ให้เสร็จ ช่วยกันคนละเล็กละน้อย ความสมัครสมานสามัคคี อยู่ที่ไหนก็ให้จิตใจสบาย อยู่ที่ลำบากก็ให้จิตใจสบาย อยู่ที่สุขสบายก็ให้จิตใจสบาย เราต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อมในชีวิตของตัวเราเอง ไม่เก้อไม่เขิน​ ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุขเบิกบานอยู่ตลอดเวลา

ดูดีๆ นะสามเณรน้อย ชีน้อย เห็นว่าจะมาอีกคนอยู่ ชีน้อยว่ายังนั้นแหละ อะไรๆ​ เกิดความอยากแล้วห้ามเอา ไม่ให้เอา ถ้าไม่อยากค่อยเอานะ​ ไม่อยากให้เอา​ ถ้ามันอยากแล้วก็ให้ผ่านไป เวลาอาหารผ่านไปแล้วตัวใจมันยังเสียดายไหม อาลัยอาวรณ์ไหม เราก็ต้องดู มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง ว่าอาหารส่วนนี้ถ้าเราเอาไปแล้วคนเบื้องหลังเขาจะได้ทานไหมนะ รู้จักแบ่งสรรปันส่วน รู้จักพิจารณา ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปฏิสังฆโย’ ปะฏิสังขาโย​ นิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ

ก่อนจะรับประทาน หรือก่อนจะขบจะฉัน ต้องรู้จักพิจารณา เราไม่ได้ทานด้วยความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก เราทานเพื่อยังอัตภาพของเราไม่ให้เกิดทุกขเวทนา กว่าจะได้มารับประทานกว่าจะได้มาขบมาฉันนี่มันลำบากแสนยากแสนเย็น ข้าวกว่าจะได้มาแต่ละเมล็ดก็ต้องใช้เวลายาวนาน กับข้าวกับปลา มาด้วยแรงบุญแรงศรัทธา เราต้องพิจารณาอนุโมทนาสาธุให้ญาติโยมได้อานิสงส์แห่งบุญที่ญาติโยมได้พากันมาทำบุญทำทาน แต่ละวันๆ ก็ต้องพิจารณาวิเคราะห์เอานะ

ทั้งสามเณร ทั้งชีน้อยก็มีกฎอยู่ ถ้าตั้งแต่วันบวช ถ้าใครทำน้ำหนักเพิ่มไม่ได้ วันสึกก็จะไม่ได้สึก ก็ต้องเลื่อนเวลาไปอีกอาทิตย์หนึ่ง ถ้าน้ำหนักเพิ่มถึงจะได้สึก เมื่อวานนี้ก็จับชั่งไปแล้วองค์หนึ่งจดเอาไว้ด้วย ก็เร่งทำน้ำหนักกันล่ะทีนี้ สามเณรเพิ่มขึ้นมาสองกิโลบ้างสามกิโลบ้าง ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะให้เอากลดไปกางอยู่กลางป่า ไปจองอยู่หลุมศพนั้น หลุมศพนี้ ไปฝึกฝนตนเอง ไปร้องไห้อยู่ในกลางป่ากลัวผีหลอก

สมัยก่อนอยู่องค์เดียว มีสามเณรน้อยองค์หนึ่งแม่เอามาฝาก เอามาบวชด้วย เป็นเด็กยังไม่เข้าโรงเรียน เดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว เอามาฝากไว้กับหลวงพ่อ หลวงพ่อจะเดินไปไหนเขาก็เดินตามหลังไป บอกว่าให้เดินข้างหน้าก็ไม่เอา เดินข้างหลังก็ไม่เอา ให้เดินข้างๆ จับมือไป​ว่าอย่างนั้น​ จับมือไป หลวงพ่อก็ใช้อุบาย พาเดินไปนั่นบ้าง พาเดินไปนี่บ้าง พาไปนั่งสมาธิอยู่ใต้ร่มไม้ เออเดี๋ยวรอหลวงพ่อแป๊บเดียวนะ หลวงพ่อกลับมาหลวงพ่อมีธุระ ว่าอย่างนั้น หลวงพ่อก็ปลีกตัวไป

ให้ภาวนาอยู่กับลมหายใจ ภาวนาอยู่กับคำบริกรรม ถ้าไม่ภาวนาแล้วเจอผีหลอกแน่ ว่าอย่างนั้น นั่งภาวนาอยู่คนเดียว คิดก็คิดไปไม่ได้ก็กลัวผีหลอก ก็ต้องอยู่กับคำบริกรรม ฝึกไปฝึกมาหลวงพ่อก็แกล้งทำลืมของไว้ข้างบนบ้าง ลืมของไว้ข้างล่างบ้าง เดินไปเอาของให้หลวงพ่อหน่อยนะ เดินตามทาง ตามทางมีแต่หลุมศพทั้งศพ ทั้งฝัง ทั้งเผา ต้องอยู่ที่การเดินไปด้วยนะ จับความรู้สึก สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน ถ้าคิดไปที่อื่นผีหลอกก็นั่งอยู่ข้างทางนะ เดี๋ยวผีหลอกเขาจับเอาไปนะ ทั้งร้องไห้ ทั้งเดินขึ้นมาเอาของ แล้วก็ได้แต่บ่น หลวงพ่อชอบแกล้งแต่ผมๆ อยู่อย่างนั้นนะ ว่าหลวงพ่อแกล้งว่าอย่างนั้นนะ

ฝึกไปฝึกมาๆ ก็เลยไม่กลัว ไปนั่งอยู่กลางป่าตามหลุมศพได้เลย พอสึกออกไปอยู่ที่บ้านเขามีต้นขนุนแล้วก็ต้นมะม่วง ถ้าต้นขนุนลูกไหนออกลูกโตๆ ถ้ามันสุกนี่ก็จะปลิดมาให้หลวงพ่อก่อนเพื่อน มะม่วงเหมือนกันก็จะปลิดมาให้หลวงพ่อ ก็นึกถึงหลวงพ่อ ตั้งแต่เล็กๆ เขาก็ว่าหลวงพ่อแกล้งเขา เขาโตแล้วเขาถึงรู้ว่าหลวงพ่อฝึกเขา ถ้าไม่ได้ฝึก ถ้าเขาไม่ได้ฝึกก็คงจะไม่เข้าใจ

ทุกวันนี้เขาก็รู้จักจิต ควบคุมจิตของตัวเองได้ แก้ไขตัวเองเป็น โตขึ้นมาเขาถึงรู้ว่าหลวงพ่อฝึกเขา ก็เลยนึกถึงหลวงพ่อ ก็มีอะไรก็เอามาฝาก ขนุนมะม่วงออกลูกเขาก็เอามาฝาก เขาคิดถึงหลวงพ่อว่าอย่างนั้น โตแล้วเขาถึงพิจารณาได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นหนุ่มอยู่ยังไม่ได้แต่งงานๆ ถึงวาระเวลาคงจะได้กลับมาบวชอีก เพราะดูแลพ่อแม่อยู่ มีลูกชายคนเดียว ถึงเวลาก็คงจะได้มาบวช

อยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน สามเณรอย่าดื้อนะ มีปีหนึ่งสามเณรมาบวชด้วย ก็บวชอยู่กับพระนี่แหละ พระก็ไปนอนกางกลดอยู่ในป่า ตีสี่ตีห้ากลางคืนดึกๆ ดื่นๆ พระกลัวผีเณรไม่กลัวผี เณรก็เข้าไปในป่า พระก็นอนอยู่ในกลด เณรก็ไปจับขาพระเขย่า พระนี่ร้องเสียงหลงเลย สามเณรไม่กลัวผีไปหลอกพระ พระนี่ร้องเสียงหลง เดินจงกรมแข่งกัน หลานหลวงพ่อนี่แหละ เดี๋ยวนี้ก็โตเป็นหนุ่มแล้วแหละ เรียนครูใกล้จบแล้วแหละ เขาบวชด้วยกันเณร 6 - 7 รูป เราก็ให้พาเขาเดินจงกรม เดินรอบตลาดเดินรอบป่าๆ เขาก็เดินสร้างความรู้สึกการเดินไปเรื่อยๆ พาหมู่พาคณะเดินไปหลุมนั้นหลุมนี้ เก่งๆ พอสึกออกไปแล้วกลับมาวัดหลวงพ่อก็เลยให้เดิน

อ้าวไปเดินเจริญสติเหมือนเดิมดูสิ ไม่ไป ทำไมล่ะ ผมกลัว กลัวอะไร กลัวผี อ้าวตั้งแต่บวชสามเณรอยู่ไม่เห็นกลัว ก็ช่วงบวชเณร ผีมันกลัวผ้าเหลือง ผมเลยไม่กลัว ผมบวชแล้วผมไม่มี ผมสึกแล้วผมไม่มีผ้าเหลือง ผมก็กลัวผีสิ อ๋อ อาศัยผ้าเหลือง เป็นสามเณรไปได้หมด พาเพื่อนไปตามหลุมนั้นหลุมนี้กลางคืนดึกๆ ดื่นๆ ผีมันกลัวผ้าเหลือง ผมสึกแล้วผมก็กลัวผีสิ ผมไม่ไป

เด็กอายุหกเจ็ดขวบ ฝึกใหม่ๆ ใหม่ๆ บอกให้ไปฝึกไม่ยอมไป ฝึกไปฝึกมาพากันแยกไปอยู่หลุมศพหมดเลย ไปละความกลัว เห็นมันเกิดความกลัวตรงไหนก็ไปที่นั่น เห็นพากันไปนอนอยู่คนละหลุมๆ เห็นชีพากันแอบไปนอนนะ ไม่รู้ว่าชีคนไหน สงสัยชีตัวเล็กๆ​ นะ ไปแอบอยู่หลุมศพ จองหลุมศพเอาไว้ อย่าไปร้องไห้นะ ร้องไห้กลัวหมวกกันน็อกนะ เสร็จยัง เสร็จแล้วก็ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพัก ตามความจริงให้ต่อเนื่องกันตลอดนั่นแหละ นั่งตามสบายนะ ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกสบายขึ้นเยอะ ความคิดที่เกิดจากจิตปรุงแต่งส่งออกไปก็จะหยุดสงบระงับลงทันที สัมผัสความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมกระทบปลายจมูกเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมกระทบปลายจมูกออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกรับรู้นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้มีให้เกิดขึ้น ถ้าพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ๆ อย่าไปเกียจคร้านในการเจริญสติ ในการสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง

ทั้งที่จิตของทุกคนก็เป็นบุญ จิตของทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ อานิสงส์บารมีส่วนอื่นของทุกคนมีมากัน บางท่านก็มีมามาก บางท่านก็มีมาน้อย บางท่านก็มีเต็มเปี่ยม เราต้องพยายามหมั่นสังเกต หมั่นน้อมสำรวจกาย สำรวจจิตของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย

อันนี้ส่วนรูปธรรมร่างกายของเรา ส่วนนามธรรม ส่วนจิต เขาเกิดอย่างไร เขาหลงอะไร ในส่วนลึกๆ ลักษณะอาการของเขาเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ หรือว่าไม่ได้สร้างความรู้ตัวเข้าไปรู้เท่าทันก็ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะดำเนินให้ถูกทาง ให้ตรงได้ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง อาจจะอยู่ในกองบุญ กองกุศล แต่การดับ การแยก การคลาย การแยกรูปแยกนาม การสังเกต การวิเคราะห์ ส่วนมากเราจะไปนึกเอา ไปคิดเอา เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ เจริญสติให้ได้ต่อเนื่อง

ส่วนการเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้านั้นก็มีอยู่แล้ว เราต้องพยายามมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต สังเกตไม่ทันเราก็ควบคุมเอาไว้ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง อาจจะฝืนบ้าง ท่านถึงเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ สวนกระแสสมมติ สวนกระแสโลก เพราะว่าจิตชอบเที่ยว ชอบคิด ถ้าจิตตกกระแสธรรมแล้ว กายก็จะโล่ง ใจก็จะเบา ก็จะว่างการละกิเลส จิตของเราเกิดความโลภ เราก็ละความโลภ จิตเกิดความโกรธ เราก็ละความโกรธด้วยการเจริญพรหมวิหาร ด้วยการละความตระหนี่เหนียวแน่น มองโลกในทางที่ดี ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง จิตของเราเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ประโยชน์น้อยประโยชน์มาก ประโยชน์สั้นประโยชน์ยาว ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ทำโลกปัจจุบันให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคต ทุกคนก็มีบุญแล้วแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้สร้างบุญร่วมกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ทำบุญกับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำบุญให้กับเราให้เต็มเปี่ยม แล้วก็จะล้นออกไปสู่สังคม สู่ภายนอก

ตราบใดที่จิตของเรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปมองข้ามอย่าไปปล่อยปละละเลยในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปประมาท บุคคลที่ประมาทเหมือนกับบุคคลที่ตายแล้ว เราต้องพยายามสร้างกันนะ สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง ทำใจให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจกันต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง แค่ย้ำแค่เตือน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง