หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 32
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 32
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ก่อนที่จิตจะถึงจุดหมายปลายทางได้นี่มันยากนะคุณโยมนะ มันยากๆ เพราะว่ากิเลสจากหยาบไปหาละเอียดนี่มันเยอะจริงๆ มันเยอะจริงๆ ถ้าเราไม่เอาจริงๆ จังๆ ในจิตของปุถุชนคนทั่วไปมีความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก อยากทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็ปิดกั้นเอาไว้หมดเสียแล้ว แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากสร้างคุณงามความดี มันก็ปิดกั้นเอาไว้ ปิดกั้นตัวจิตเอาไว้เลยทีเดียว ไม่อยากอีก ก็ปิดกั้นไว้อีก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ก็ปิดกั้นเอาไว้
ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ กว่าที่จิตจะปล่อยวางได้แบบอิสระภาพจริงๆ นี่ก็ต้องสร้างบารมีอย่างหนักเลยทีเดียว ละกิเลสออกให้หมดจด ละความอยาก ละความทะเยอทะยานอยากออกให้มันหมดเลย ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมต่างๆ เจริญสติเข้าไปควบคุมจิต เข้าไปคลายจิตออกจากความหลง ออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ต่างๆ ดับความเกิด
ก่อนที่จะคลายได้สนิทก็ต้องสร้างบารมี ความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น สัจจะ ความเพียร สัจจะ ละอายเกรงกลัวต่อบาป สร้างกุศล เจริญกุศลให้มากๆ ละความตระหนี่เหนียวแน่นจนไม่เหลือในใจของเรา แม้แต่การเกิด การคิด ความคิดต่างๆคนทั่วไปนี่จิตชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง ชอบพูดชอบคุย พวกนี้ก็ปิดกั้นดวงจิตไว้หมดเลยทีเดียว เรารู้อยู่ แต่จิตเขาปิดเอาไว้ แต่เขายังเกิดอยู่ แต่เขาไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่คลาย ส่วนมากก็ได้แค่ควบคุมอยู่ในความสงบ แต่จะให้วางจริงๆ นี่ยาก ให้วางแบบไม่มีอะไรนี่ยาก
นอกจากบุคคลที่มีความเพียร แล้วก็เสียสละอย่างเต็มที่ แล้วก็ดับความเกิดให้เด็ดขาด แล้วก็ ปล่อยแล้วก็วาง ถึงจะวางได้จริงๆ ไม่เอาอะไรเลย ไม่ให้อะไรไว้ในใจของเราจริงๆ ยาก ยากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าขยันหมั่นเพียรก็ไม่เหลือวิสัย เพราะว่าจิตของคนทั่วไปนี่ ความอยากนี่ขึ้นหน้าเลย ความอยากขึ้นหน้า ความทะเยอทะยานอยาก ทีนี้ก็อยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง กายของเราก็ยังมีอยู่ ตาก็ทำหน้าที่อยู่ หูก็ทำหน้าที่อยู่ เรายังแบ่งแยกไม่เป็น แบ่งแยกไม่ได้ เพราะว่าเราแยกรูปแยกนาม แยกจิต แยกความคิดไม่ได้ ก็เลยวางได้ระดับหนึ่ง ดับได้ระดับหนึ่ง ควบคุมได้ระดับหนึ่ง เราไม่เห็นฐานของจิตจริงๆ จิตไม่คลายจริงๆ
มันก็ต้องสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ยังไม่ถึงจุดหมายก็ต้องสร้างตบะบารมี พอสร้างได้เต็มที่แล้ว เขาส่งให้เราเข้าถึงฝั่งแล้ว เราก็ต้องวางอีก แล้วก็สร้างประโยชน์ เหมือนกับเรานั่งเรือ นั่งเรือข้ามฟาก ข้ามฝั่ง ข้ามทะเล พอข้ามฝากได้แล้วเราก็ไม่ได้แบกเรือ แล้วก็ถึงฝั่ง ถ้าเราจะกลับมา เราก็อาศัยเรือเหมือนเดิม แต่เราไม่ยึดๆ ก่อนที่จะปล่อยวางได้ก็ต้องสร้างบารมีความเสียสละ ถ้าไม่มีความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ความโกรธ ใจมันก็วางไม่ได้ อยากจะวางอยู่ แต่วางไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่เห็นเหตุเห็นผลที่แท้จริง เพราะว่าหลายอย่าง ความคิด ขันธ์ห้า ขันธมาร
ขันธมารนี่แหละตัวสำคัญอีกตัวหนึ่ง ขันธ์มารที่มาปรุงแต่งจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขันธ์ หรือว่ากอง กองของใครกองของมัน เขาอยู่ด้วยกันมานาน คนที่มีปัญญาที่แหลมคมเท่านั้นแหละที่จะแยกได้ ทำความเข้าใจได้ แล้วก็ละได้เด็ดขาด ถ้าพวกเรามาทำเล่นๆ เหละๆ แหละๆ อยู่ก็เห็นเล่นๆ เหละๆ แหละๆ ไม่เห็นจริงๆ ก็ต้องพยายามเอา พยายามเอาทีละเล็กทีละน้อย แต่ละวันเพียงแค่อดคิด อดพูดก็ใจมันจะขาดแล้ว เพียงแค่อดพูดนะแล้วก็คิดนะ ใจมันจะขาดดิ้นอยู่อย่างนั้น ส่วนมากก็ไปมองแต่เรื่องภายนอก เรื่องคนนั้นบ้าง เรื่องคนนี้บ้าง คนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็หาเรื่องมาปกปิดดวงจิตของตัวเองเอาไว้ สารพัดอย่างที่เขาจะปกปิดเอาไว้
เราก็ต้องพยายามค้นคว้าดู จะไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมที่ไหนก็เหมือนเดิม ถ้าเราไม่สอดส่องดูแลใจของเรา เราต้องพยายามสอดส่องดูแล วิเคราะห์พิจารณา ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ ไปที่นั่น ที่นั่นเป็นอย่างนี้ ที่นั่นไม่ดีอย่างนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ใจของเราไม่ดี ไปทุกที่ดีหมดถ้าใจของเราดี เราไปเก็บไปหาประสบการณ์ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็ทำกายของเราให้เป็นวัด ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข กายของเราก็ยังอยู่กับสมมติ สมมติของเราราบรื่นแล้วหรือยัง ภาระหน้าที่การงานของเรา ที่เราเข้าไปรับผิดชอบราบรื่นเรียบร้อยแล้วหรือยัง หรือยังติดขัดอยู่ อันนั้นก็ติดครอบครัว ก็ติดอันนั้นก็ยังค้างยังคาอยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมมติยังไม่บริบูรณ์’
มันก็ยากอยู่ เราต้องทำสมมติให้บริบูรณ์หมดจด ไม่ได้ข้องแวะ ถ้าเราเข้าใจภายในแล้วก็อยู่กับสมมติ ทำสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดสมมติ สร้างกุศล แต่ไม่ยึดติดกุศล อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด เพียงแค่การควบคุมจิต พวกเรายังไม่ได้ควบคุมกันเลย ควบคุมกันเป็นบางครั้ง มีแต่ความสงสัย สงสัยนั่นสงสัยนี่สารพัดอย่าง ไอ้ตัวสงสัยนั่นแหละมันปิดกั้นเราไว้หมด เราต้องสร้างตัวสติ สร้างตัวความรู้ตัวเข้าไปควบคุม ไปจำแนกแจกแจง ไปแยกแยะคลายจิต ถ้าเรารู้ทันเขาก็จะคลาย ถ้าเรารู้ไม่ทันเขาก็จะหลอกอยู่อย่างนั้น ทั้งขันธ์ห้ามาหลอกจิต ขันธ์ห้าหลอกจิต สติยังหลอกตัวเอง ยังเข้าข้างตัวเองเลย
ปฏิบัติให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็จะรู้เอง วางเอง เพราะว่ายังไงๆ เขาก็ต้องวาง เพราะว่าถ้าเขารู้เหตุรู้ผล รู้ความจริงแล้ว ไม่มีสาระอะไรน่าเอาน่าดูนะ มีก็แค่เพียงแค่ยังสมมติ ประคับประคองสมมติให้ถึงเวลาที่เขาจะแตกจะดับ แต่ส่วนมากก็มายึดๆ มาติด เลยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พึ่งตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไปเที่ยวให้แต่คนอื่นเขาบังคับ เขาขนาบ เขาชี้ ต้องชี้ตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง มีความรับผิดชอบกับตัวเองจนมันล้นออกไปสู่ภายนอก
ส่วนมากก็ตัวเองก็ยังไม่รู้จักหนทิศหนทางที่จะเดิน ก็พากันมัวเมาเล่น ถ้าคนเข้าใจก็มีแต่ความขยันหมั่นเพียร สร้างประโยชน์พึ่งตนเองให้ได้ ภายนอกกับพึ่งตัวเองให้ได้ ข้างในก็มีเครื่องอยู่ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ก็อย่าพากันทิ้งนะ มีโอกาสก็พามาทั้งชาวสระบุรี แล้วก็ชาวโรงงานน้ำมันพืช หรือว่าทุกที่นั่นแหละมีโอกาสก็พากันมา มาที่นี่ก็มาบ้านของเรา ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติกันหมด ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันหมดนั่นแหละ จะปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง ระดับสมมติก็ทำให้ดี ระดับทางด้านจิตก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ถ้าเราเข้าใจแล้วก็สมมติกับวิมุตติ โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน เราดูรู้ตัวเอง แก้ไขตัวเองตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนเราก็สอนตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับตัวเรา แก้ไขตัว เราปรับปรุงตัวเรา เพียงแค่เปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ มันยาก เพียงแค่ความคิด การเกิดของจิตมันก็ยังไม่นิ่งแล้ว จิตไม่นิ่ง นิพพานก็ไม่นิ่ง จิตไม่เที่ยง นิพพานก็ไม่เที่ยง จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง
เราต้องทำความเข้าใจ ศีล ความปกติระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา แล้วก็ลึกลงไประดับใจ ศีลสังคม ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ สมาธิจิตที่สงบตั้งมั่นด้วยการบังคับ ด้วยการควบคุม หรือว่าการรู้เห็นตามความเป็นจริง ปัญญา ปัญญาระดับโลกีย์ หรือปัญญาระดับโลกุตระ การแยกรูปแยกนาม การเดินปัญญา ทำความเข้าใจรู้เห็นตามความเป็นจริงจนจิตเบื่อหน่ายหมดนั่นแหละ จนละออกได้หมดนั่นแหละ เราจะละแค่วันสองวัน แค่มาวัดมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามไปสร้างไปสานต่อ ไปทำความเข้าใจต่อ อยู่คนเดียวเราก็ดูเรา แก้ไขเรา เจริญพรหมวิหารให้มากๆ พึ่งตัวเองให้ได้ อยู่ที่ไหนก็มีความสุขมีโอกาสก็พากันมา
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ทำความเข้าใจกับการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2 - 3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ จิตของเราถ้าเกิดความกังวลฟุ้งซ่านอยู่ เขาก็จะสงบระงับลงไป ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวกับเรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังทำกันไม่ชำนาญเลย สร้างความรู้สึกตัวรู้อยู่ที่กายของเรา หรือว่าเวลาก้าว เวลาเดิน เวลาลุก พวกเราก็ยังไม่สร้างให้ต่อเนื่อง มันก็ยากที่จะเข้าไปเดินปัญญา มันก็ยากที่จะเข้าไปแยกรูปแยกนาม เข้าไปเห็นการก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิด เพียงแค่เริ่มแรกของการเจริญสติก็ยังสร้างกันไม่ได้ ได้อยู่บ้างเป็นบางครั้งไม่ปะติดปะต่อ นิดๆ หน่อยๆ เพียงแค่เริ่มแรก แต่อานิสงส์ส่วนอื่นนั้นมีกัน ศรัทธาความเชื่อ ความเสียสละ พรหมวิหารความเมตตา การให้อภัยยทานอโหสิกรรม การละความตระหนี่เหนียวแน่น ความปกติของกายวาจามีอยู่ แต่การเจริญสติเข้าไปสำรวจจริงๆ ไม่ค่อยมี
มันก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ ขึ้นอยู่กับบารมี บารมีนั้นมีแน่ ถ้าไม่มีไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่ได้เจริญเติบโตมาถึงขนาดนี้ แต่ความเพียรที่ทำให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละมันขาด มันขาด เราก็ต้องพยายาม ตายเป็นตาย ไม่ตายหรอกไม่ถึงเวลา ส่วนมากก็เฮโลกันไป ไปนั่นบ้างไปนี่บ้าง เขาว่าดีก็ไป เราต้องทำดี สร้างดีให้เกิดขึ้น คนทั่วไปชอบติดสุข เกลียดทุกข์ ชอบสะอาดรักสกปรก ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าคนที่จะเอาธรรมมันต้องขวนขวาย ต้องขนขวายแสวงหา ทำความเข้าใจ ไม่หลบไม่หลีกไม่หนี ทำความเข้าใจแล้วก็ละ รู้เห็นแล้วก็ละภายในกายในใจของเรานี่แหละ เพราะว่าคนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้นี่ ต้องเป็นคนที่กระตือรือร้นฝักใฝ่สนใจ
แต่ละวันๆ นี่ มีแต่นิวรณ์เข้าครอบงำ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความตระหนี่เหนียวแน่นเข้าครอบงำ ความไม่รับผิดชอบเข้าครอบงำ สารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้ จากน้อยๆ ไปหามากๆ ถ้าเรารู้จักเจริญสติจากน้อยๆ เพิ่มขึ้นไป พลั้งเผลอเริ่มใหม่ๆ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดเป็นของธรรมดา ถ้าเราเข้าใจแล้วมันจะโล่งโปร่งไปหมด เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ สติตั้งมั่นปุ๊บ สติพลั้งเผลอได้อย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำได้อย่างไร อันนี้กายนะ อันนี้จิตนะ สติจะลุกจะก้าวจะเคลื่อนจะเดิน พอรู้ตัวยังไม่ตื่นขึ้นมา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจ หรือว่ารู้จิต ถ้าใครรู้ฐานของจิต ก็ดูจิตรู้จิตเลยทีเดียวว่าจิตปกติ
จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ก็มีสติรู้จิตรับรู้ ไม่ใช่ว่าตัวจิตบงการ พอตื่นตัวปุ๊บรู้ตัวปุ๊บนั่น ไม่รู้ว่าคิดไปที่ไหนสารพัดเรื่องที่เขาจะคิด เราต้องดับ ต้องควบคุม ใช้สมถะเข้าไปดับ ไม่ต้องไปกังวลหรอกกว่าจะไม่ได้คิด ไม่มีปัญญา ปัญญาเก่าของเรามีทั้งร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อยนั่นแหละ คลายออกทั้งร้อยยังไม่พอ ยังดับความเกิดของจิตอีก ปัญญาเก่าของขันธ์ห้า ของกิเลสตัวนั้นมันเยอะแยะ มันมาปรุงมาแต่งจิต แล้วก็ตัวจิตไปร่วมไปผสมโรงอีก เราต้องเพียงแค่มาเจริญสติ รักษาสติเจริญสติให้ต่อเนื่องเรายังไม่เข้มแข็ง เราจะไปควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์มันก็ยากอีก ถ้ากำลังสติของเราไม่เข้มแข็ง จะไปทำความเข้าใจกับความคิดต่างๆ อีกมันก็ยาก
ทั้งกลางคืนกลางวันลองดูสิ ลองฝืนมันเต็มที่ลองดูสิ ฝืนเต็มที่ ถ้าเรารู้ เราเห็น เราทำความเข้าใจได้ เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นกับความเพียรของเรา อันนี้ไม่เอา ยอมเป็นทาสของกิเลสอยู่อย่างนั้น ยอมเป็นทาสของความคิด การเกิดเป็นทุกข์ รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ ความคิดเป็นทุกข์ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความคิด กายของเรานี่ก็เป็นทุกข์ เป็นก้อนทุกข์อยู่แล้ว เราต้องมาแก้ไขปรับปรุง มาทำความเข้าใจ ทางด้านสมมติ เราก็ยังสมมติให้บริบูรณ์ กายของเราก็อยู่ดีมีความสุข ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ที่ไหนก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่ไหนก็รีบแก้ไขตัวเอง กิเลสใหญ่กิเลสน้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ให้เห็นหน้าตาของมันอาการของมัน
ไม่อยากจะพูดมากเท่าไหร่ เพราะว่าการพูดมาก การอะไรมากต่างๆ มันก็ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์ ต้องทำเอา สร้างเอา การได้ยินได้ฟังได้อ่านได้ศึกษา ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ส่วนมากก็มีแต่ธรรมเมา ถ้าคนเราพูดแล้วไม่ทำมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องพูดด้วย ถึงด้วย ถึงจะเกิดประโยชน์ ถึงนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ส่วนมากก็เล่นเถลไถลกัน ไม่รู้จัก ฟุ่มเฟือยไม่ประหยัด ฟุ่มเฟือยทั้งกาลทั้งเวลา ทั้งข้าวของ ต้องรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ใช้ให้เกิดประโยชน์ มีความรับผิดชอบ สะอาดทั้งภายนอก สะอาดทั้งภายใน มันถึงจะถูก นิดๆ หน่อยๆ เราก็รีบแก้ไข
ต่อไปข้างหน้า ถ้าจิตของเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง มันต้องเกิด เกิดอยู่ดีๆ แหละ เพราะภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีครบบริบูรณ์หมด เราต้องพยายามสร้างเครื่องอยู่ให้จิตของเรา สร้างอานิสงส์ให้เกิดขึ้นในจิตของเรา พกเสบียงพกเข้าห่อเอาไว้ ตราบใดที่ยังต้องเดินทาง หลวงพ่อก็พาทำ พาสร้างอยู่ตลอดเวลา ญาติโยมท่านใดมีโอกาสเข้ามา ก็ขอขอบใจทุกคนมาช่วยกัน ทั้งพระเราชีเรา อย่าพากันเกียจคร้าน ต่อไปข้างหน้าจะได้เป็นแหล่งบุญใหญ่ บุญใหญ่ของจังหวัด ของประเทศเลยทีเดียว เพราะว่าอยู่ที่นี่มีครบบริบูรณ์ ทั้งพระบรมสารีริกธาตุก็ได้อัญเชิญส่วนที่ท่านเสด็จมา แล้วก็พระพุทธรูปใหญ่หยกใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประเทศของเรา ทั้งหยกขาว หยกเขียว ทั้งแม่กวนอิมโพธิสัตว์ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประเทศของเรา ก็ได้อุบัติเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนี้ แล้วก็องค์หลวงปู่ใหญ่ก็ศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว
พวกเราก็มาช่วยกัน สร้างอานิสงส์ให้แหล่งบุญใหญ่จากหมู่น้อยๆ คนหมู่น้อยๆ นี่แหละช่วยกันทำ ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ อย่าว่าไม่ ต้องทำ ไม่ทำมากก็ทำน้อย สมัยก่อนหลวงพ่อก็ไม่ค่อยบอกค่อยกล่าว เพราะว่าตัวเองก็ยังเร่ร่อน ยังสร้างบารมีของตัวเองให้เต็มเสียก่อน เหมือนกับคนหวงบุญอยู่ พอจิตอิ่มจิตเต็ม ก็อีกนานเหมือนกันถึงจะบอกจะกล่าว ก็ร่วม 10 กว่าปีถึงจะเริ่มบอกเริ่มกล่าว เพิ่งจะมาบอกกล่าวภายใน 4 - 5 ปีหลังนี้ บอกกล่าว
สมัยก่อนนี่ก็รีบเร่งของตัวเอง ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง เร่ร่อนไปที่นั่นที่นี่บ้างเพื่อหาประสบการณ์เหมือนกับพวกท่านนั่นแหละ ไปวัดนั้นบ้าง ไปที่นั่นที่นี่บ้าง เพราะว่ายังไม่เต็มไม่อิ่ม ไปอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ พจญกับความทุกข์ยากลำบากเยอะแยะ อดหลับอดนอน อดอาหารสารพัดอย่าง ตัวนี้ผอมเกร็ง พวกท่านยังอยู่ในยุคสบายที่มา สมัยก่อนไม่มีใครอยากจะมาหรอก ในป่านี้ไม่มีใครอยากจะเข้ามาหรอก รกน่ากลัว รกทั้งป่าหนามป่ารก
หลวงพ่อต้องมาทำทุกสิ่งทุกอย่าง มาเปลี่ยนแปลงต้นไม้ต่างๆ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำความสะอาดเพื่อที่จะให้เป็นที่น่าอยู่น่ารื่นรมย์น่าอาศัย เป็นแหล่งบุญของทุกคน ที่พักที่อาศัย ห้องส้วมห้องน้ำ อุตส่าห์ทำแม้แต่ทางเดินจงกรมก็ทำให้ ถึงขนาดนั้นก็ยังพากันเกียจคร้านอยู่ ยังไม่พากันเจริญสติให้มากๆ ทำความเข้าใจให้มากๆ หลวงพ่อก็ยกให้เป็นกรรม วิบากกรรมของแต่ละบุคคล สร้างมาไม่เหมือนกัน สร้างมาไม่เท่ากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมาดีจนกว่าเกือบจะเต็ม ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของแต่ละบุคคลนะ มาแล้วก็รีบตักตวงเอา ถ้าถึงเวลาแล้วก็เข้าใจเอง หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนนั่นแหละที่ได้มาช่วยกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ กว่าที่จิตจะปล่อยวางได้แบบอิสระภาพจริงๆ นี่ก็ต้องสร้างบารมีอย่างหนักเลยทีเดียว ละกิเลสออกให้หมดจด ละความอยาก ละความทะเยอทะยานอยากออกให้มันหมดเลย ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมต่างๆ เจริญสติเข้าไปควบคุมจิต เข้าไปคลายจิตออกจากความหลง ออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ต่างๆ ดับความเกิด
ก่อนที่จะคลายได้สนิทก็ต้องสร้างบารมี ความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น สัจจะ ความเพียร สัจจะ ละอายเกรงกลัวต่อบาป สร้างกุศล เจริญกุศลให้มากๆ ละความตระหนี่เหนียวแน่นจนไม่เหลือในใจของเรา แม้แต่การเกิด การคิด ความคิดต่างๆคนทั่วไปนี่จิตชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง ชอบพูดชอบคุย พวกนี้ก็ปิดกั้นดวงจิตไว้หมดเลยทีเดียว เรารู้อยู่ แต่จิตเขาปิดเอาไว้ แต่เขายังเกิดอยู่ แต่เขาไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่คลาย ส่วนมากก็ได้แค่ควบคุมอยู่ในความสงบ แต่จะให้วางจริงๆ นี่ยาก ให้วางแบบไม่มีอะไรนี่ยาก
นอกจากบุคคลที่มีความเพียร แล้วก็เสียสละอย่างเต็มที่ แล้วก็ดับความเกิดให้เด็ดขาด แล้วก็ ปล่อยแล้วก็วาง ถึงจะวางได้จริงๆ ไม่เอาอะไรเลย ไม่ให้อะไรไว้ในใจของเราจริงๆ ยาก ยากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าขยันหมั่นเพียรก็ไม่เหลือวิสัย เพราะว่าจิตของคนทั่วไปนี่ ความอยากนี่ขึ้นหน้าเลย ความอยากขึ้นหน้า ความทะเยอทะยานอยาก ทีนี้ก็อยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง กายของเราก็ยังมีอยู่ ตาก็ทำหน้าที่อยู่ หูก็ทำหน้าที่อยู่ เรายังแบ่งแยกไม่เป็น แบ่งแยกไม่ได้ เพราะว่าเราแยกรูปแยกนาม แยกจิต แยกความคิดไม่ได้ ก็เลยวางได้ระดับหนึ่ง ดับได้ระดับหนึ่ง ควบคุมได้ระดับหนึ่ง เราไม่เห็นฐานของจิตจริงๆ จิตไม่คลายจริงๆ
มันก็ต้องสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ยังไม่ถึงจุดหมายก็ต้องสร้างตบะบารมี พอสร้างได้เต็มที่แล้ว เขาส่งให้เราเข้าถึงฝั่งแล้ว เราก็ต้องวางอีก แล้วก็สร้างประโยชน์ เหมือนกับเรานั่งเรือ นั่งเรือข้ามฟาก ข้ามฝั่ง ข้ามทะเล พอข้ามฝากได้แล้วเราก็ไม่ได้แบกเรือ แล้วก็ถึงฝั่ง ถ้าเราจะกลับมา เราก็อาศัยเรือเหมือนเดิม แต่เราไม่ยึดๆ ก่อนที่จะปล่อยวางได้ก็ต้องสร้างบารมีความเสียสละ ถ้าไม่มีความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ความโกรธ ใจมันก็วางไม่ได้ อยากจะวางอยู่ แต่วางไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่เห็นเหตุเห็นผลที่แท้จริง เพราะว่าหลายอย่าง ความคิด ขันธ์ห้า ขันธมาร
ขันธมารนี่แหละตัวสำคัญอีกตัวหนึ่ง ขันธ์มารที่มาปรุงแต่งจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขันธ์ หรือว่ากอง กองของใครกองของมัน เขาอยู่ด้วยกันมานาน คนที่มีปัญญาที่แหลมคมเท่านั้นแหละที่จะแยกได้ ทำความเข้าใจได้ แล้วก็ละได้เด็ดขาด ถ้าพวกเรามาทำเล่นๆ เหละๆ แหละๆ อยู่ก็เห็นเล่นๆ เหละๆ แหละๆ ไม่เห็นจริงๆ ก็ต้องพยายามเอา พยายามเอาทีละเล็กทีละน้อย แต่ละวันเพียงแค่อดคิด อดพูดก็ใจมันจะขาดแล้ว เพียงแค่อดพูดนะแล้วก็คิดนะ ใจมันจะขาดดิ้นอยู่อย่างนั้น ส่วนมากก็ไปมองแต่เรื่องภายนอก เรื่องคนนั้นบ้าง เรื่องคนนี้บ้าง คนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็หาเรื่องมาปกปิดดวงจิตของตัวเองเอาไว้ สารพัดอย่างที่เขาจะปกปิดเอาไว้
เราก็ต้องพยายามค้นคว้าดู จะไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมที่ไหนก็เหมือนเดิม ถ้าเราไม่สอดส่องดูแลใจของเรา เราต้องพยายามสอดส่องดูแล วิเคราะห์พิจารณา ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ ไปที่นั่น ที่นั่นเป็นอย่างนี้ ที่นั่นไม่ดีอย่างนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ใจของเราไม่ดี ไปทุกที่ดีหมดถ้าใจของเราดี เราไปเก็บไปหาประสบการณ์ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็ทำกายของเราให้เป็นวัด ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข กายของเราก็ยังอยู่กับสมมติ สมมติของเราราบรื่นแล้วหรือยัง ภาระหน้าที่การงานของเรา ที่เราเข้าไปรับผิดชอบราบรื่นเรียบร้อยแล้วหรือยัง หรือยังติดขัดอยู่ อันนั้นก็ติดครอบครัว ก็ติดอันนั้นก็ยังค้างยังคาอยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมมติยังไม่บริบูรณ์’
มันก็ยากอยู่ เราต้องทำสมมติให้บริบูรณ์หมดจด ไม่ได้ข้องแวะ ถ้าเราเข้าใจภายในแล้วก็อยู่กับสมมติ ทำสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดสมมติ สร้างกุศล แต่ไม่ยึดติดกุศล อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด เพียงแค่การควบคุมจิต พวกเรายังไม่ได้ควบคุมกันเลย ควบคุมกันเป็นบางครั้ง มีแต่ความสงสัย สงสัยนั่นสงสัยนี่สารพัดอย่าง ไอ้ตัวสงสัยนั่นแหละมันปิดกั้นเราไว้หมด เราต้องสร้างตัวสติ สร้างตัวความรู้ตัวเข้าไปควบคุม ไปจำแนกแจกแจง ไปแยกแยะคลายจิต ถ้าเรารู้ทันเขาก็จะคลาย ถ้าเรารู้ไม่ทันเขาก็จะหลอกอยู่อย่างนั้น ทั้งขันธ์ห้ามาหลอกจิต ขันธ์ห้าหลอกจิต สติยังหลอกตัวเอง ยังเข้าข้างตัวเองเลย
ปฏิบัติให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็จะรู้เอง วางเอง เพราะว่ายังไงๆ เขาก็ต้องวาง เพราะว่าถ้าเขารู้เหตุรู้ผล รู้ความจริงแล้ว ไม่มีสาระอะไรน่าเอาน่าดูนะ มีก็แค่เพียงแค่ยังสมมติ ประคับประคองสมมติให้ถึงเวลาที่เขาจะแตกจะดับ แต่ส่วนมากก็มายึดๆ มาติด เลยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พึ่งตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไปเที่ยวให้แต่คนอื่นเขาบังคับ เขาขนาบ เขาชี้ ต้องชี้ตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง มีความรับผิดชอบกับตัวเองจนมันล้นออกไปสู่ภายนอก
ส่วนมากก็ตัวเองก็ยังไม่รู้จักหนทิศหนทางที่จะเดิน ก็พากันมัวเมาเล่น ถ้าคนเข้าใจก็มีแต่ความขยันหมั่นเพียร สร้างประโยชน์พึ่งตนเองให้ได้ ภายนอกกับพึ่งตัวเองให้ได้ ข้างในก็มีเครื่องอยู่ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ก็อย่าพากันทิ้งนะ มีโอกาสก็พามาทั้งชาวสระบุรี แล้วก็ชาวโรงงานน้ำมันพืช หรือว่าทุกที่นั่นแหละมีโอกาสก็พากันมา มาที่นี่ก็มาบ้านของเรา ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติกันหมด ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันหมดนั่นแหละ จะปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง ระดับสมมติก็ทำให้ดี ระดับทางด้านจิตก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ถ้าเราเข้าใจแล้วก็สมมติกับวิมุตติ โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน เราดูรู้ตัวเอง แก้ไขตัวเองตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนเราก็สอนตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับตัวเรา แก้ไขตัว เราปรับปรุงตัวเรา เพียงแค่เปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ มันยาก เพียงแค่ความคิด การเกิดของจิตมันก็ยังไม่นิ่งแล้ว จิตไม่นิ่ง นิพพานก็ไม่นิ่ง จิตไม่เที่ยง นิพพานก็ไม่เที่ยง จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง
เราต้องทำความเข้าใจ ศีล ความปกติระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา แล้วก็ลึกลงไประดับใจ ศีลสังคม ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ สมาธิจิตที่สงบตั้งมั่นด้วยการบังคับ ด้วยการควบคุม หรือว่าการรู้เห็นตามความเป็นจริง ปัญญา ปัญญาระดับโลกีย์ หรือปัญญาระดับโลกุตระ การแยกรูปแยกนาม การเดินปัญญา ทำความเข้าใจรู้เห็นตามความเป็นจริงจนจิตเบื่อหน่ายหมดนั่นแหละ จนละออกได้หมดนั่นแหละ เราจะละแค่วันสองวัน แค่มาวัดมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามไปสร้างไปสานต่อ ไปทำความเข้าใจต่อ อยู่คนเดียวเราก็ดูเรา แก้ไขเรา เจริญพรหมวิหารให้มากๆ พึ่งตัวเองให้ได้ อยู่ที่ไหนก็มีความสุขมีโอกาสก็พากันมา
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ทำความเข้าใจกับการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2 - 3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ จิตของเราถ้าเกิดความกังวลฟุ้งซ่านอยู่ เขาก็จะสงบระงับลงไป ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวกับเรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังทำกันไม่ชำนาญเลย สร้างความรู้สึกตัวรู้อยู่ที่กายของเรา หรือว่าเวลาก้าว เวลาเดิน เวลาลุก พวกเราก็ยังไม่สร้างให้ต่อเนื่อง มันก็ยากที่จะเข้าไปเดินปัญญา มันก็ยากที่จะเข้าไปแยกรูปแยกนาม เข้าไปเห็นการก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิด เพียงแค่เริ่มแรกของการเจริญสติก็ยังสร้างกันไม่ได้ ได้อยู่บ้างเป็นบางครั้งไม่ปะติดปะต่อ นิดๆ หน่อยๆ เพียงแค่เริ่มแรก แต่อานิสงส์ส่วนอื่นนั้นมีกัน ศรัทธาความเชื่อ ความเสียสละ พรหมวิหารความเมตตา การให้อภัยยทานอโหสิกรรม การละความตระหนี่เหนียวแน่น ความปกติของกายวาจามีอยู่ แต่การเจริญสติเข้าไปสำรวจจริงๆ ไม่ค่อยมี
มันก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ ขึ้นอยู่กับบารมี บารมีนั้นมีแน่ ถ้าไม่มีไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่ได้เจริญเติบโตมาถึงขนาดนี้ แต่ความเพียรที่ทำให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละมันขาด มันขาด เราก็ต้องพยายาม ตายเป็นตาย ไม่ตายหรอกไม่ถึงเวลา ส่วนมากก็เฮโลกันไป ไปนั่นบ้างไปนี่บ้าง เขาว่าดีก็ไป เราต้องทำดี สร้างดีให้เกิดขึ้น คนทั่วไปชอบติดสุข เกลียดทุกข์ ชอบสะอาดรักสกปรก ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าคนที่จะเอาธรรมมันต้องขวนขวาย ต้องขนขวายแสวงหา ทำความเข้าใจ ไม่หลบไม่หลีกไม่หนี ทำความเข้าใจแล้วก็ละ รู้เห็นแล้วก็ละภายในกายในใจของเรานี่แหละ เพราะว่าคนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้นี่ ต้องเป็นคนที่กระตือรือร้นฝักใฝ่สนใจ
แต่ละวันๆ นี่ มีแต่นิวรณ์เข้าครอบงำ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความตระหนี่เหนียวแน่นเข้าครอบงำ ความไม่รับผิดชอบเข้าครอบงำ สารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้ จากน้อยๆ ไปหามากๆ ถ้าเรารู้จักเจริญสติจากน้อยๆ เพิ่มขึ้นไป พลั้งเผลอเริ่มใหม่ๆ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดเป็นของธรรมดา ถ้าเราเข้าใจแล้วมันจะโล่งโปร่งไปหมด เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ สติตั้งมั่นปุ๊บ สติพลั้งเผลอได้อย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำได้อย่างไร อันนี้กายนะ อันนี้จิตนะ สติจะลุกจะก้าวจะเคลื่อนจะเดิน พอรู้ตัวยังไม่ตื่นขึ้นมา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจ หรือว่ารู้จิต ถ้าใครรู้ฐานของจิต ก็ดูจิตรู้จิตเลยทีเดียวว่าจิตปกติ
จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ก็มีสติรู้จิตรับรู้ ไม่ใช่ว่าตัวจิตบงการ พอตื่นตัวปุ๊บรู้ตัวปุ๊บนั่น ไม่รู้ว่าคิดไปที่ไหนสารพัดเรื่องที่เขาจะคิด เราต้องดับ ต้องควบคุม ใช้สมถะเข้าไปดับ ไม่ต้องไปกังวลหรอกกว่าจะไม่ได้คิด ไม่มีปัญญา ปัญญาเก่าของเรามีทั้งร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อยนั่นแหละ คลายออกทั้งร้อยยังไม่พอ ยังดับความเกิดของจิตอีก ปัญญาเก่าของขันธ์ห้า ของกิเลสตัวนั้นมันเยอะแยะ มันมาปรุงมาแต่งจิต แล้วก็ตัวจิตไปร่วมไปผสมโรงอีก เราต้องเพียงแค่มาเจริญสติ รักษาสติเจริญสติให้ต่อเนื่องเรายังไม่เข้มแข็ง เราจะไปควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์มันก็ยากอีก ถ้ากำลังสติของเราไม่เข้มแข็ง จะไปทำความเข้าใจกับความคิดต่างๆ อีกมันก็ยาก
ทั้งกลางคืนกลางวันลองดูสิ ลองฝืนมันเต็มที่ลองดูสิ ฝืนเต็มที่ ถ้าเรารู้ เราเห็น เราทำความเข้าใจได้ เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นกับความเพียรของเรา อันนี้ไม่เอา ยอมเป็นทาสของกิเลสอยู่อย่างนั้น ยอมเป็นทาสของความคิด การเกิดเป็นทุกข์ รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ ความคิดเป็นทุกข์ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความคิด กายของเรานี่ก็เป็นทุกข์ เป็นก้อนทุกข์อยู่แล้ว เราต้องมาแก้ไขปรับปรุง มาทำความเข้าใจ ทางด้านสมมติ เราก็ยังสมมติให้บริบูรณ์ กายของเราก็อยู่ดีมีความสุข ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ที่ไหนก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่ไหนก็รีบแก้ไขตัวเอง กิเลสใหญ่กิเลสน้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ให้เห็นหน้าตาของมันอาการของมัน
ไม่อยากจะพูดมากเท่าไหร่ เพราะว่าการพูดมาก การอะไรมากต่างๆ มันก็ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์ ต้องทำเอา สร้างเอา การได้ยินได้ฟังได้อ่านได้ศึกษา ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ส่วนมากก็มีแต่ธรรมเมา ถ้าคนเราพูดแล้วไม่ทำมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ต้องพูดด้วย ถึงด้วย ถึงจะเกิดประโยชน์ ถึงนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ส่วนมากก็เล่นเถลไถลกัน ไม่รู้จัก ฟุ่มเฟือยไม่ประหยัด ฟุ่มเฟือยทั้งกาลทั้งเวลา ทั้งข้าวของ ต้องรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ใช้ให้เกิดประโยชน์ มีความรับผิดชอบ สะอาดทั้งภายนอก สะอาดทั้งภายใน มันถึงจะถูก นิดๆ หน่อยๆ เราก็รีบแก้ไข
ต่อไปข้างหน้า ถ้าจิตของเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง มันต้องเกิด เกิดอยู่ดีๆ แหละ เพราะภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีครบบริบูรณ์หมด เราต้องพยายามสร้างเครื่องอยู่ให้จิตของเรา สร้างอานิสงส์ให้เกิดขึ้นในจิตของเรา พกเสบียงพกเข้าห่อเอาไว้ ตราบใดที่ยังต้องเดินทาง หลวงพ่อก็พาทำ พาสร้างอยู่ตลอดเวลา ญาติโยมท่านใดมีโอกาสเข้ามา ก็ขอขอบใจทุกคนมาช่วยกัน ทั้งพระเราชีเรา อย่าพากันเกียจคร้าน ต่อไปข้างหน้าจะได้เป็นแหล่งบุญใหญ่ บุญใหญ่ของจังหวัด ของประเทศเลยทีเดียว เพราะว่าอยู่ที่นี่มีครบบริบูรณ์ ทั้งพระบรมสารีริกธาตุก็ได้อัญเชิญส่วนที่ท่านเสด็จมา แล้วก็พระพุทธรูปใหญ่หยกใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประเทศของเรา ทั้งหยกขาว หยกเขียว ทั้งแม่กวนอิมโพธิสัตว์ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประเทศของเรา ก็ได้อุบัติเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนี้ แล้วก็องค์หลวงปู่ใหญ่ก็ศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว
พวกเราก็มาช่วยกัน สร้างอานิสงส์ให้แหล่งบุญใหญ่จากหมู่น้อยๆ คนหมู่น้อยๆ นี่แหละช่วยกันทำ ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ อย่าว่าไม่ ต้องทำ ไม่ทำมากก็ทำน้อย สมัยก่อนหลวงพ่อก็ไม่ค่อยบอกค่อยกล่าว เพราะว่าตัวเองก็ยังเร่ร่อน ยังสร้างบารมีของตัวเองให้เต็มเสียก่อน เหมือนกับคนหวงบุญอยู่ พอจิตอิ่มจิตเต็ม ก็อีกนานเหมือนกันถึงจะบอกจะกล่าว ก็ร่วม 10 กว่าปีถึงจะเริ่มบอกเริ่มกล่าว เพิ่งจะมาบอกกล่าวภายใน 4 - 5 ปีหลังนี้ บอกกล่าว
สมัยก่อนนี่ก็รีบเร่งของตัวเอง ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง เร่ร่อนไปที่นั่นที่นี่บ้างเพื่อหาประสบการณ์เหมือนกับพวกท่านนั่นแหละ ไปวัดนั้นบ้าง ไปที่นั่นที่นี่บ้าง เพราะว่ายังไม่เต็มไม่อิ่ม ไปอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ พจญกับความทุกข์ยากลำบากเยอะแยะ อดหลับอดนอน อดอาหารสารพัดอย่าง ตัวนี้ผอมเกร็ง พวกท่านยังอยู่ในยุคสบายที่มา สมัยก่อนไม่มีใครอยากจะมาหรอก ในป่านี้ไม่มีใครอยากจะเข้ามาหรอก รกน่ากลัว รกทั้งป่าหนามป่ารก
หลวงพ่อต้องมาทำทุกสิ่งทุกอย่าง มาเปลี่ยนแปลงต้นไม้ต่างๆ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำความสะอาดเพื่อที่จะให้เป็นที่น่าอยู่น่ารื่นรมย์น่าอาศัย เป็นแหล่งบุญของทุกคน ที่พักที่อาศัย ห้องส้วมห้องน้ำ อุตส่าห์ทำแม้แต่ทางเดินจงกรมก็ทำให้ ถึงขนาดนั้นก็ยังพากันเกียจคร้านอยู่ ยังไม่พากันเจริญสติให้มากๆ ทำความเข้าใจให้มากๆ หลวงพ่อก็ยกให้เป็นกรรม วิบากกรรมของแต่ละบุคคล สร้างมาไม่เหมือนกัน สร้างมาไม่เท่ากัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมาดีจนกว่าเกือบจะเต็ม ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของแต่ละบุคคลนะ มาแล้วก็รีบตักตวงเอา ถ้าถึงเวลาแล้วก็เข้าใจเอง หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนนั่นแหละที่ได้มาช่วยกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ