หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 26
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 26
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ทำจิตของเราให้สงบ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราสํารวจตัวเราแล้วหรือยัง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ ซึ่งเราดับไม่ได้ ถึงเราหยุดไม่ได้ ก็ให้นิ่งสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน พยายามอดคิด อดคิดแล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ นะ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหายไป ความสบายของกายก็จะบังเกิดขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พยายามฝึกฝนให้เกิดความเคยชิน
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้กายของเรา แล้วก็รู้จิต รู้ความปกติ รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของขันธ์ห้า อันนั้นเอาไว้ ในเมื่อกําลังความรู้ตัวของเรามีความต่อเนื่อง เราก็จะรู้ เราก็จะเห็น เพราะว่าทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ จิตเป็นบุญ แต่ละวันตื่นขึ้นมาอยากจะมาวัด อยากจะมาทำบุญที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง อยากจะไปปฏิบัติธรรมที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง
ความอยากนั่นแหละพาเราเข้ามาในกองกุศล ให้เราพยายามมาตั้งสติ หรือว่ามาสร้างความรู้สึกเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปดับ เข้าไปควบคุมจิต เข้าไปสังเกต จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เรื่องอะไรบ้าง เราก็จะรู้เห็นลักษณะของจิตที่โล่ง ที่โปร่ง กายเบา จิตเบา จิตโล่ง จิตโปร่ง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เห็นสภาวธรรม มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งจิตก็ชัดเจน ทั้งความคิดก็ชัดเจน ทั้งโลกธรรมก็ชัดเจน แต่เรายังเข้าไม่ถึงตรงนี้ ยังไม่เห็นตรงนี้
เรามองเห็นอยู่ในเฉพาะภาพรวม มองเห็นด้วยปัญญาของโลกีย์ ถึงแยกตัวจิต คลายตัวจิตออกรับรู้อยู่ในกายของเราไม่ได้ เพราะว่าจิตของเรานี้ทั้งคิดด้วย ทั้งชอบส่งออกไปข้างนอกด้วย ทั้งเที่ยวด้วย เพราะวิบากกรรมมันยังไม่คลาย สมมติก็ยังไม่ราบรื่น อันโน้นบ้าง อันนี้บ้าง ภาระหน้าที่ สภาพสมมติก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังอัตคัด ยังลําบากอยู่ ก็ต้องทำหน้าที่แก้ไขสมมติให้ดี บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลําบาก บางคนบางท่านก็ลุ่มๆ ดอนๆ ก็แก้ไขกันไป ถึงวาระถึงเวลาก็คงจะเต็ม
เต็มในที่นี้หมายถึงไม่ได้ลําบาก ไม่ได้ลําบาก ไม่ถึงกับมากมาย ทางสมมติไม่ได้ลําบากดิ้นรน ปากท้องก็ยังหิวโหยอยู่ ครอบครัวก็ยังลําบากอยู่ ลูกคนโน้นก็ยังลําบาก คนนี้ก็ยังลําบาก วาระอันโน้นก็ยังติดค้างติดนั่นอยู่ การประพฤติปฏิบัติจิตมันก็ไปได้ช้า มันไปได้ช้าเพราะว่าอะไร เพราะว่าภาระสมมติมันฉุดมันรั้งเอาไว้ เราต้องแก้ไข นั่นแหละ วิบากกรรมสมมติ ลึกลงมาในกายของเราอีก ก็วิบากกรรม
ขันธมาร ขันธ์หรือว่าความคิด ขันธมารเขาเกิดขึ้น จิตของเราเข้าไปหลง เข้าไปร่วม ทำให้เกิดอัตตาตัวตน แล้วก็ตัวจิตอีกก็ยังมาเกิดทิฐิ เกิดความคิดเห็นผิด เกิดมานะ เป็นทาสของกิเลสอีก หลายชั้นจริงๆ หลายชั้น หลายขั้นหลายตอนจริงๆ พระพุทธองค์ถึงบอกให้เจริญพรหมวิหาร แล้วก็สร้างอานิสงส์บารมี สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความเสียสละหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีสัจจะกับตัวเราเอง มีความจริงใจต่อตัวเรา ต่อคนอื่น มีความเสียสละ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ
มีการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปคลายความหลง เข้าไปแยกรูปแยกนาม กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร นิวรณธรรมต่างๆ เป็นอย่างไร เราจะเอาแต่ธรรม แต่ไม่ชำระสะสางกิเลสมันก็ยากที่จิตจะคลายเข้าไปสู่ธรรมชาติ มันก็ได้เพียงแค่อด แค่ข่ม แค่ระงับ ก็เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำเอาไว้เท่านั้นเอง เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตจนจิตคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ จิตเกิดความเบื่อหน่ายจริงๆ เห็นแล้วว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระอะไรจริงๆ มันก็ยากนะ มันก็ยากนะถ้าจิตของเรามันยังทั้งเกิดอยู่ ทั้งวิ่งอยู่ ไม่ชําระสะสางกิเลสออกให้มันหมดจด
พระพุทธองค์ท่านบอกเอาไว้ว่าต้องละความอยากออกให้หมดจากจิตของเราจริงๆ ความอยากแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องเอาตัวใหญ่เลย เอาตัวการเกิดของจิต การก่อตัวของจิต แม้แต่อยากไปอยากมา อยากมีอยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ท่านก็ยังไม่ให้เกิดเลย แม้แต่การเกิด แม้แต่การคิด เพียงแค่ก่อตัวท่านก็ยังให้ดับ แต่เวลานี้จิตของเราไม่รู้กี่นาทีมันวิ่งไปไม่รู้สักกี่เรื่อง บางทีความคิดพูดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราไม่รู้สักกี่เที่ยว สารพัดเรื่อง เพียงแค่สร้างความรู้ตัว พวกเราก็ยังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่อง สร้างความรู้ตัวนะ เพียงแค่สร้างเจริญสติให้ต่อเนื่อง ยืนเดินนั่งนอนนะยังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย บางครั้งบางทีจิตของเราก็สงบอยู่ จิตของเราก็อยู่ในกองบุญ อยากจะทำบุญอยู่นะ เราต้องมาจำแนกแจกแจงให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
อันนี้หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง เพราะว่าหลวงพ่อก็เห็นมาอย่างนี้ ทำมาอย่างนี้ แม้แต่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในอาหาร รู้จักพิจารณา รู้จักอันนี้เรื่องของกาย เรื่องของจิต สมมติวิมุตติเขาอยู่ร่วมกัน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ยเราต้องสํารวจหมดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ในกาย นอกกาย ก็ต้องพยายาม ทำกันเอานะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น มีโอกาสดีแล้วแหละที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้สร้างสะสมบุญ พยายามสร้างเอา ถ้าเราไม่สร้างก็ไม่รู้ว่าใครจะสร้างให้
แต่การเจริญสติ การเจริญสมาธิ เราทำได้ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ต่อไปข้างหน้าก็ทำการทำงาน เอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักสร้างสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มันก็ล้นออกไปข้างนอก ไม่ใช่ว่าอันโน้นก็ทำไม่เป็น อันนี้ก็ทำไม่เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็เลยลําบาก ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความเสียสละก็ไม่มี ความเสียสละ ความรับผิดชอบให้กับตัวเองก็ไม่มี มันก็ไปหนักคนอื่น หนักสถานที่ เราต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละที่สูง เป็นที่พึ่งของตนเอง แล้วก็เป็นที่พึ่งของคนอื่น ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบ ต่างคนต่างมองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
ถ้าเราเข้าใจ บุคคลที่มีสติ มีปัญญา ไม่จำเป็นต้องได้ไปดิ้นรนอะไรมากมาย เพียงแค่ดิ้นรนในการเจริญสติเข้าไปดับ เข้าไปละกิเลส เข้าไปคลายความหลงอยู่ในกายของตัวเองให้มันหมดจด งานข้างนอกก็ทำไปเพื่อยังประโยชน์สมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย นี่แหละเขาเรียกว่า การสร้างอานิสงส์ สร้างบุญให้มีให้เกิดขึ้น ไม่เห็นแก่ตัว ชำระความเห็นแก่ตัวออกไปให้หมด มีความรับผิดชอบให้สูง จากน้อยๆ ไปหามากๆ
เพียงแค่ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ โรงครัวต่างๆ เราก็พยายามทำให้เป็นระเบียบ คนเราทุกวันนี้ชอบความสะอาด แต่รักสกปรก ทิ้งมันเกลื่อน เราต้องพยายามช่วยกันดูแลทำความสะอาด สิ่งไหนที่จะดูแล้วสบายตาสบายใจ เพียงแค่สบายตาสบายใจบุญก็เกิดขึ้นแล้วแหละ ตาสบาย กายสบาย กายสัปปายะ สถานที่สัปปายะ บุคคลรอบข้างสัปปายะมันก็ดี
มีโอกาสก็ขอเชิญญาติโยมทุกคนมาฝึกหัด มาปฏิบัติ มาร่วมกันสร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ให้กับสมมติ แต่ก่อนหลวงพ่อไม่ค่อยจะได้บอกเรื่องบุญ เพราะว่าสร้างสะสมของตัวเองให้เต็มเสียก่อน หลบหลีก พอมาเข้าใจ พอมามองเห็นอานิสงส์ของเรามันพออยู่พออาศัยได้แล้ว ถึงได้บอกกล่าวพี่ บอกกล่าวน้อง บอกกล่าวญาติทั้งหลาย ให้มาร่วมบุญมาสร้างอานิสงส์กัน เพื่อที่จะเป็นเสบียงเป็นเครื่องเดินทางในวันข้างหน้า ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา บางคนบางท่านก็น้อมกายเข้ามาทำ มาช่วยกัน
งานภายใน งานชำระสะสางกิเลสเราก็ทำ เดินปัญญาเราก็ทำหมดให้ครบวงจร ศีล สมาธิ ปัญญา ทำความเข้าใจ การชําระสะสางกิเลส การฝึกหัดปฏิบัติก็รู้จักทำหน้าที่ รู้จักหน้าที่ รู้จักสมมติ รู้จักวิมุตติ ไม่ใช่ว่าไปฝักใฝ่สมมติ เราอยู่กับสมมติ โน่นแหละกายแตกดับนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมติจริงๆ
วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันนะ พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้กายของเรา แล้วก็รู้จิต รู้ความปกติ รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของขันธ์ห้า อันนั้นเอาไว้ ในเมื่อกําลังความรู้ตัวของเรามีความต่อเนื่อง เราก็จะรู้ เราก็จะเห็น เพราะว่าทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ จิตเป็นบุญ แต่ละวันตื่นขึ้นมาอยากจะมาวัด อยากจะมาทำบุญที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง อยากจะไปปฏิบัติธรรมที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง
ความอยากนั่นแหละพาเราเข้ามาในกองกุศล ให้เราพยายามมาตั้งสติ หรือว่ามาสร้างความรู้สึกเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปดับ เข้าไปควบคุมจิต เข้าไปสังเกต จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เรื่องอะไรบ้าง เราก็จะรู้เห็นลักษณะของจิตที่โล่ง ที่โปร่ง กายเบา จิตเบา จิตโล่ง จิตโปร่ง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เห็นสภาวธรรม มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งจิตก็ชัดเจน ทั้งความคิดก็ชัดเจน ทั้งโลกธรรมก็ชัดเจน แต่เรายังเข้าไม่ถึงตรงนี้ ยังไม่เห็นตรงนี้
เรามองเห็นอยู่ในเฉพาะภาพรวม มองเห็นด้วยปัญญาของโลกีย์ ถึงแยกตัวจิต คลายตัวจิตออกรับรู้อยู่ในกายของเราไม่ได้ เพราะว่าจิตของเรานี้ทั้งคิดด้วย ทั้งชอบส่งออกไปข้างนอกด้วย ทั้งเที่ยวด้วย เพราะวิบากกรรมมันยังไม่คลาย สมมติก็ยังไม่ราบรื่น อันโน้นบ้าง อันนี้บ้าง ภาระหน้าที่ สภาพสมมติก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังอัตคัด ยังลําบากอยู่ ก็ต้องทำหน้าที่แก้ไขสมมติให้ดี บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลําบาก บางคนบางท่านก็ลุ่มๆ ดอนๆ ก็แก้ไขกันไป ถึงวาระถึงเวลาก็คงจะเต็ม
เต็มในที่นี้หมายถึงไม่ได้ลําบาก ไม่ได้ลําบาก ไม่ถึงกับมากมาย ทางสมมติไม่ได้ลําบากดิ้นรน ปากท้องก็ยังหิวโหยอยู่ ครอบครัวก็ยังลําบากอยู่ ลูกคนโน้นก็ยังลําบาก คนนี้ก็ยังลําบาก วาระอันโน้นก็ยังติดค้างติดนั่นอยู่ การประพฤติปฏิบัติจิตมันก็ไปได้ช้า มันไปได้ช้าเพราะว่าอะไร เพราะว่าภาระสมมติมันฉุดมันรั้งเอาไว้ เราต้องแก้ไข นั่นแหละ วิบากกรรมสมมติ ลึกลงมาในกายของเราอีก ก็วิบากกรรม
ขันธมาร ขันธ์หรือว่าความคิด ขันธมารเขาเกิดขึ้น จิตของเราเข้าไปหลง เข้าไปร่วม ทำให้เกิดอัตตาตัวตน แล้วก็ตัวจิตอีกก็ยังมาเกิดทิฐิ เกิดความคิดเห็นผิด เกิดมานะ เป็นทาสของกิเลสอีก หลายชั้นจริงๆ หลายชั้น หลายขั้นหลายตอนจริงๆ พระพุทธองค์ถึงบอกให้เจริญพรหมวิหาร แล้วก็สร้างอานิสงส์บารมี สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความเสียสละหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีสัจจะกับตัวเราเอง มีความจริงใจต่อตัวเรา ต่อคนอื่น มีความเสียสละ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ
มีการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปคลายความหลง เข้าไปแยกรูปแยกนาม กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร นิวรณธรรมต่างๆ เป็นอย่างไร เราจะเอาแต่ธรรม แต่ไม่ชำระสะสางกิเลสมันก็ยากที่จิตจะคลายเข้าไปสู่ธรรมชาติ มันก็ได้เพียงแค่อด แค่ข่ม แค่ระงับ ก็เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำเอาไว้เท่านั้นเอง เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตจนจิตคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ จิตเกิดความเบื่อหน่ายจริงๆ เห็นแล้วว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระอะไรจริงๆ มันก็ยากนะ มันก็ยากนะถ้าจิตของเรามันยังทั้งเกิดอยู่ ทั้งวิ่งอยู่ ไม่ชําระสะสางกิเลสออกให้มันหมดจด
พระพุทธองค์ท่านบอกเอาไว้ว่าต้องละความอยากออกให้หมดจากจิตของเราจริงๆ ความอยากแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องเอาตัวใหญ่เลย เอาตัวการเกิดของจิต การก่อตัวของจิต แม้แต่อยากไปอยากมา อยากมีอยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ท่านก็ยังไม่ให้เกิดเลย แม้แต่การเกิด แม้แต่การคิด เพียงแค่ก่อตัวท่านก็ยังให้ดับ แต่เวลานี้จิตของเราไม่รู้กี่นาทีมันวิ่งไปไม่รู้สักกี่เรื่อง บางทีความคิดพูดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราไม่รู้สักกี่เที่ยว สารพัดเรื่อง เพียงแค่สร้างความรู้ตัว พวกเราก็ยังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่อง สร้างความรู้ตัวนะ เพียงแค่สร้างเจริญสติให้ต่อเนื่อง ยืนเดินนั่งนอนนะยังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย บางครั้งบางทีจิตของเราก็สงบอยู่ จิตของเราก็อยู่ในกองบุญ อยากจะทำบุญอยู่นะ เราต้องมาจำแนกแจกแจงให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
อันนี้หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง เพราะว่าหลวงพ่อก็เห็นมาอย่างนี้ ทำมาอย่างนี้ แม้แต่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในอาหาร รู้จักพิจารณา รู้จักอันนี้เรื่องของกาย เรื่องของจิต สมมติวิมุตติเขาอยู่ร่วมกัน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ยเราต้องสํารวจหมดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ในกาย นอกกาย ก็ต้องพยายาม ทำกันเอานะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น มีโอกาสดีแล้วแหละที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้สร้างสะสมบุญ พยายามสร้างเอา ถ้าเราไม่สร้างก็ไม่รู้ว่าใครจะสร้างให้
แต่การเจริญสติ การเจริญสมาธิ เราทำได้ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ต่อไปข้างหน้าก็ทำการทำงาน เอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักสร้างสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มันก็ล้นออกไปข้างนอก ไม่ใช่ว่าอันโน้นก็ทำไม่เป็น อันนี้ก็ทำไม่เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็เลยลําบาก ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความเสียสละก็ไม่มี ความเสียสละ ความรับผิดชอบให้กับตัวเองก็ไม่มี มันก็ไปหนักคนอื่น หนักสถานที่ เราต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละที่สูง เป็นที่พึ่งของตนเอง แล้วก็เป็นที่พึ่งของคนอื่น ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบ ต่างคนต่างมองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
ถ้าเราเข้าใจ บุคคลที่มีสติ มีปัญญา ไม่จำเป็นต้องได้ไปดิ้นรนอะไรมากมาย เพียงแค่ดิ้นรนในการเจริญสติเข้าไปดับ เข้าไปละกิเลส เข้าไปคลายความหลงอยู่ในกายของตัวเองให้มันหมดจด งานข้างนอกก็ทำไปเพื่อยังประโยชน์สมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย นี่แหละเขาเรียกว่า การสร้างอานิสงส์ สร้างบุญให้มีให้เกิดขึ้น ไม่เห็นแก่ตัว ชำระความเห็นแก่ตัวออกไปให้หมด มีความรับผิดชอบให้สูง จากน้อยๆ ไปหามากๆ
เพียงแค่ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ โรงครัวต่างๆ เราก็พยายามทำให้เป็นระเบียบ คนเราทุกวันนี้ชอบความสะอาด แต่รักสกปรก ทิ้งมันเกลื่อน เราต้องพยายามช่วยกันดูแลทำความสะอาด สิ่งไหนที่จะดูแล้วสบายตาสบายใจ เพียงแค่สบายตาสบายใจบุญก็เกิดขึ้นแล้วแหละ ตาสบาย กายสบาย กายสัปปายะ สถานที่สัปปายะ บุคคลรอบข้างสัปปายะมันก็ดี
มีโอกาสก็ขอเชิญญาติโยมทุกคนมาฝึกหัด มาปฏิบัติ มาร่วมกันสร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ให้กับสมมติ แต่ก่อนหลวงพ่อไม่ค่อยจะได้บอกเรื่องบุญ เพราะว่าสร้างสะสมของตัวเองให้เต็มเสียก่อน หลบหลีก พอมาเข้าใจ พอมามองเห็นอานิสงส์ของเรามันพออยู่พออาศัยได้แล้ว ถึงได้บอกกล่าวพี่ บอกกล่าวน้อง บอกกล่าวญาติทั้งหลาย ให้มาร่วมบุญมาสร้างอานิสงส์กัน เพื่อที่จะเป็นเสบียงเป็นเครื่องเดินทางในวันข้างหน้า ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา บางคนบางท่านก็น้อมกายเข้ามาทำ มาช่วยกัน
งานภายใน งานชำระสะสางกิเลสเราก็ทำ เดินปัญญาเราก็ทำหมดให้ครบวงจร ศีล สมาธิ ปัญญา ทำความเข้าใจ การชําระสะสางกิเลส การฝึกหัดปฏิบัติก็รู้จักทำหน้าที่ รู้จักหน้าที่ รู้จักสมมติ รู้จักวิมุตติ ไม่ใช่ว่าไปฝักใฝ่สมมติ เราอยู่กับสมมติ โน่นแหละกายแตกดับนั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมติจริงๆ
วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันนะ พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง