หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 120

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 120
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 120
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 120
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 ตุลาคม 2556

พากันดูดีๆ นะพระเรา กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง พิจารณาปฏิสังขาโย ใจเกิดความอยาก เกิดความยินดีในอาหาร หรือเกิดความต้องการ เราก็พยายามหยุด พยายามดับ รับรู้ ให้รับรู้ สติปัญญาไปทำหน้าที่แทน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากวิญญาณนั้นแหละ เราขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ อาจจะรู้เท่าทันอยู่แต่รู้ ไม่รู้จักหยุดรู้จักควบคุม ก็เลยปล่อยให้เป็นเรื่องใหญ่ จากความอยากตัวนิดเดียว ก็เลยเป็นความอยากที่สะสมกันมาตลอด กําลังมันก็เลยเยอะ ก็เลยเอาไม่อยู่ อยากในอาหาร อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง การควบคุมการยับยั้งไม่มี มันก็ไปอัตโนมัติ ไปด้วยความหลง หลงในบุญในกุศล

ในหลักธรรม ท่านให้บริหารด้วยปัญญา ทำหน้าที่ด้วยปัญญา แต่เราต้องสร้างปัญญาขึ้นมาก่อน มาทำความเข้าใจเสียก่อน ไม่ว่าอยู่ในอริยาบทไหนก็ต้องพยายามกัน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ยิ่งเวลาขบฉันนี่แหละสำคัญ ยิ่งกายหิวๆได้เห็นความอยากได้ชัดเจน อันโน้นก็อยาก อันนี้ก็อยาก อันนั้นก็อร่อย อันนี้ก็ต้องการ กิเลสมันสั่ง ให้เราฝืน ให้เราดับ ดับที่นั่นทีนี้กิเลสมันก็เหือดแห้งไป เหือดแห้งไป จะเอาจะมีจะเป็นก็เรื่องของปัญญา เอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความขยันมันเพียร แล้วก็ความรับผิดชอบด้วยปัญญา หลายสิ่งหลายอย่าง มีของดีอยู่ในกายของตัวเราหมด แต่เราขาดการดูรู้พื้นฐาน ภายนอกจะดีถึงขนาดไหนก็ยังพยายามพากันทำได้อยู่ แต่ข้างในการละการดับ ไม่ยอมละให้มันหมดจด เพราะว่ากิเลสมารเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาเหมือนกัน มาวัดมันก็หลอกมาวัดอยู่ มาทำบุญเอาว่าอย่างนั้นนะ หลอกมาทำบุญจะได้บุญ เพราะว่ามันเกิดอยู่ เกิดในบุญก็ยังดีนะ

หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณทุกคน ทั้งเหล่ามนุษย์ ทั้งเหล่าเทวดา ที่ได้มาช่วยกัน ทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ เราพยายามดำเนินให้ใช้ชีวิตให้ คุ้มให้เกิดประโยชน์ ให้ได้บุญมากที่สุด บุญสมมติเราก็ทำ ทางด้านการละกิเลส เราก็พยายามดำเนิน การเจริญสติ อย่าไปเกียจคร้านทุกอริยาบถ สติที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งาน รู้เท่าทันใจ รู้จักการละกิเลส ทำความเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร คําว่าอัตตาลักษณะของอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร คําว่าอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร คําว่าวิญญาณในกายในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจให้เรียบร้อย ให้รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย

ส่วนมากเราก็รู้ในภาพรวม เราไม่ได้เห็นตัวตนของเขาที่แท้จริง ถ้าเห็นตัวตนของใจที่แท้จริงแล้ว เขาไม่เกิดหรอก ถ้าเขารู้ว่าการเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เกิด ถ้าเขาไม่หลง เขาก็จะไม่ยึด เพราะว่าใจตัวเดิมนั้นสะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่าความหลงเขาถึงเกิด เขาถึงเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติจนได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ขนาดอยู่ในภพของมนุษย์มีกายเนื้อห่อหุ้มอยู่ ใจมันยังวิ่ง ยังเกิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ถ้ากายเนื้อแตกดับมันก็ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมตัวไหนที่แรงมันก็ไปตามนั้น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจเสีย

กายของเรานี่แหละก้อนกรรม ขันธ์ห้าของเรานั่นแหละตัวกรรม แล้วก็ตัวใจอีกเป็นตัวหมุนอีก แถมพ่วงด้วยกิเลสอีก เราต้องพยายามหมั่นขัดเกลา ขัดเกลาตัวเราเอง เจริญสติเข้าไปขัดเกลา รู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด ถึงขัดเกลาไม่หมดจดก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ อยู่ในกองกุศลเอาไว้ มีความสุขในการทำบุญ ในการให้ทาน ไม่เสียหลายหรอก ทำไปเถอะ เพียงแค่คิดก็ให้คิดในทางที่ดี ทำดี การกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อม บุญน้อยบุญใหญ่ก็อนุโมทนาสาธุร่วมกัน จะได้มีความสุข มีโอกาสก็ให้รีบทำ ถ้าเราไม่ละกิเลส เราก็ไม่ได้ใจที่สะอาดบริสุทธิ์

การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่ออะไร ความหมายอยู่ที่ตรงไหน คําว่าหลักของการปฏิบัติ เราต้องพยายามฝึกๆ จนไม่ได้ฝึก ละจนไม่มีอะไรที่จะละ ดับความเกิด ละกิเลส จนมันเหือดแห้งไป จนไม่มีอะไรที่จะละ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ จนเป็นธรรมชาติ หล่อตั้งแต่กายแตกดับ มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ เพราะว่าคําสอนของพระพุทธองค์ท่านเน้นชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด พวกเราจะทำให้มีให้ปรากฏให้เห็นที่ใจของเราหรือไม่เท่านั้นเอง

หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐเป็นอย่างนี้ การดับ การวิเคราะห์ การสังเกต แต่เวลานี้ลักษณะของคําว่า ปัจจุบัน ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกท่านยังไม่ได้พากันทำ ไม่ต่อเนื่องกันเลย จะไปรู้ความจริงได้ยังไง มันก็ได้แค่ อยู่ในกองบุญกองกุศลก็ยังดี บุคคลที่มีความเพียร รู้ให้ต่อเนื่อง รู้จักทำความเข้าใจ รู้จักละ นั่นแหละถึงจะเข้าถึงคําสอนของพระพุทธเจ้าได้ อย่างนี้ก็ได้เพียงแค่พูดให้กันฟัง สื่อความหมายให้กันฟังเท่านั้นเอง จะไม่ไปทำก็ยาก ถ้าไม่ปรากฏขึ้นที่ใจของเราก็ยาก

การเจริญสติ การฝึกหัดเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เพื่อที่จะละกิเลส ไม่ใช่ว่ายิ่งฝึกเท่าไหร่ ทิฐิมานะอัตตายิ่งใหญ่ ไม่ใช่ อันนั้นมีแต่คนโง่ ฝึกแล้วอัตตามันใหญ่ ยิ่งฝึกไปเท่าไร ก็ละ ทิฐิ ละมานะ ละอัตตา ละความเห็นแก่ตัวออกจากใจของตัวเราเอง มองเห็นความจริง คือความบริสุทธิ์ของใจ ไม่ให้ใจไปเกาะเกี่ยวกับอะไร นอกนั้นก็เป็นเรื่องกําไรของชีวิต ด้วยสติด้วยปัญญา สร้างบุญสร้างกุศลให้เกิด ให้มีให้ขึ้น เราก็พอได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้น อานิสงส์ผลบุญผลทานนี่แหละ จะเป็นเครื่องเป็นเสบียงในการเดินทางไม่ให้ตกไปสู่ที่ต่ำก็พยายามกันนะ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ยังไม่ค่อยจะสนใจกัน จะลุกจะก้าวจะเดินความรู้สึกอยู่ที่ฝ่าเท้าก็ยังไม่สนใจกัน ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด มีตั้งแต่วิ่ง ปิดกั้นตัวเองอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้น ตัววิญญาณก็ปิดกั้นตัวเขา ขันธ์ห้าอีกมาปิดกั้นอีก

มีไม่มากหรอก ถ้าเราเอาจริงๆ จังๆ มีไม่มากทีนี้ มีเพียงแค่คลายเอาวิญญาณออกจากขันธ์ห้าให้ได้ ทีนี้ตัวมันที่จะเยอะคือ การละกิเลสที่ในบ้านของเราอีก จะจัดการได้หรือไม่ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยตามทำความเข้าใจได้ด้วยทุกอย่าง มันไม่เอาไว้หรอกกิเลส เพราะว่ามันเป็นทุกข์ ก็ต้องจัดการออกให้มันหมด แม้ตั้งแต่สติปัญญาให้เป็นกุศล ถ้าเป็นอกุศลยังไม่ให้เกิดอีก กายก็ได้ สบายกายก็เป็นก้อนทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจดูแลเขา มันก็สบายอยู่ในระดับหนึ่ง แต่จิตวิญญาณเป็นตัวสำคัญนะ เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดจัดการกับวิญญาณของเราให้เด็ดขาด ถ้าจัดการไม่เด็ดขาดด้วยสติด้วยปัญญา เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ สารพัดเรื่องที่เขาจะเกิด

หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจก็จะไม่เข้าใจ ในคําสอนของพระพุทธองค์ ให้สอนตัวเราแก้ไขตัวเรา พระพุทธเจ้า ท่านชี้แนะ ธรรมชาติมีมาอยู่เดิม ถึงท่านไม่ตรัสรู้ถึงท่านไม่เกิดธรรมชาติก็มีอยู่เดิม ท่านบอกว่างั้น พระพุทธเจ้าเป็นคนมาค้นพบเป็นองค์มาค้นพบ เป็นบรมครูของศาสดา ของเอก ถึงท่านถึงได้ยกคนทั่วไปท่านถึงได้ยกย่องให้ท่านเป็นบรมครู ในหลักธรรมความอยาก ความไม่อยาก ตั้งแต่ความอยากเลยนะ อยากใน อยากคิด อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา ไม่อยากอีก มันกลับกัน มันกลับกัน เราจัดการข้างในของเราให้ได้เสียก่อน ใช้ข้างนอกนั่นไม่มีปัญหาหรอก ทำเท่าไรก็ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าเราเข้าใจ สนุกทำเพราะว่า ได้เพิ่มกําไรชีวิต

ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง แต่การกระทำ การวิเคราะห์ของเราให้เต็มเปี่ยมด้วยปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ก็เป็นแค่เพียงการสร้างสติ สร้างความรู้ตัว ถ้ากําลังสติมีมากก็ไปควบคุมใจ ควบคุมใจแล้วก็ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าแล้ว ก็ตามทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผลให้ใจรู้เห็นความเป็นจริง เราก็ดับความเกิดที่ใจ ละกิเลสที่ใจ จนกําลังสติของเราค้นคว้าหมดทุกอย่างนั่น เขาถึงจะเรียกว่าปัญญา แล้วก็มหาปัญญาจนเต็มรอบ เขาถึงจะเรียกว่าถ้าแยกไม่ได้ เขาเรียกไม่ได้เรียกว่าวิปัสสนานะ ถ้ามีใจมันคลายออกจากขันธ์ห้าได้เขาถึงจะเรียกว่าวิปัสสนา ไปนึกไปคิดไปอ่านนั้น มันเป็นวิปัสสนึกนะ ต้องแยกได้ ตามทำความเข้าใจได้ รู้เห็นความจริงได้ เขาถึงจะเรียกว่าวิปัสสนา ถ้าแยกได้ไม่ตามทำความเข้าใจด้วยสติด้วยปัญญา มันก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก เหมือนกับไม่มีอะไร

ถ้ากําลังสตินี่เคี่ยวเข็ญเต็มที่ทุกอย่าง หมดความสงสัย หมดความลังเล แล้วก็ตามกําจัดกิเลสออกให้มันหมด เขาถึงจะเรียกว่าวิปัสสนาญาณ ปัญญาญาณ ญาณสิบหก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ส่วนมากกิเลสตัวเองมองไม่เห็น มองเห็นตั้งแต่กิเลสคนอื่น ไปอคติคนอื่น ไปเพ่งโทษคนอื่น ปฏิบัติธรรม เป็นนักปฏิบัติอัตตามันเลยใหญ่ ฉันเป็นนักปฏิบัติทำอะไรก็ไม่เป็น ผิดหมด เป็นได้ตั้งแต่กินข้าว เพราะว่ามันหิว มันอยาก ถ้าไม่กิน ก็มัน มันก็หิว

บางคนปฏิบัติธรรม ฉันปล่อยวางหมดแล้ว อะไรก็จืดชืดหมดว่างั้น ปล่อยวางอะไรก็จืดชืด ไปกินเกลือ ลองดูสิมันเค็มไหม ปล่อยให้วางแบบไม่มีปัญญานะ ลิ้นเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็ทำหน้าที่ของเขา หูก็ทำหน้าที่ของเขา มีใจรับรู้ เราอยู่กับสมมติ น้ำเกลือมันเค็ม เอาไปกิน จะว่ามันจืด ลองดูนะ มะนาวมันเปรี้ยว ว่ามันหวานก็ลองดูสิ ต้องทำความเข้าใจตามหน้าที่ให้ถูกต้อง อยู่กับสมมติ อะไรคือศีล สมาธิ ปัญญา ว่าทุกคนนะคนที่มีกิเลสว่าหมดนั่นแหละ คือคนที่ไม่มีกิเลสก็ไม่ว่าหรอก คนที่มีกิเลสหนานั่นแหละหลวงพ่อจะชอบว่า ไอ้คนที่มีกิเลสบางไม่ค่อยว่าเท่าไหร่หรอก ให้มีกิเลสหนาก็ไปขัดเอานะ ถ้าไม่ขัดแล้วจะเอาจอบไปสับให้นะ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก อันนี้เป็นเพียงแค่ย้ำแค่เดือน แค่ชี้แนะแนวทางในการเจริญสติขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเพียงแค่การหายใจเข้าออก สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรายังขาดสร้างความรู้ตัวตรงนี้ แล้วอาจจะรู้อยู่เป็นบางช่วง เป็นบางครั้งบางคราว แต่เราไม่รู้ให้ต่อเนื่องให้เข้มข้น

ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ส่วนใจหรือว่าวิญญาณในกายของเรา ถ้าเขาจะเกิดปรุงแต่ง ก็จะรู้ ก็จะเห็นการก่อตัวของวิญญาณ ถ้ามีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง ตัววิญญาณจะเคลื่อนเข้าไปรวม เราก็จะเห็น รู้เท่าทัน ถ้าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราต่อเนื่อง ถ้าเราเห็นตรงนั้น ตัวใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า แล้วก็พลิก เขาเรียกว่าพลิกของที่คว่ำ หงายของที่คว่ำ หรือว่าแยกรูปแยกนาม ภาษาธรรมท่านเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นไตรลักษณ์เห็นการเกิดการดับของจิตวิญญาณของเรา เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้าของเรา ท่านถึงว่าให้รู้ให้เห็นตรงนี้ ทำความเห็นตรงนี้ให้ถูกตั้งแต่แรก

กําลังสติของเราตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคําว่า อัตตากับอนัตตา เข้าใจคําว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย มองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระแก่นสารอะไร เราค่อยละ ค่อยทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่เห็นตรงนี้ มันก็เพียงแค่ศรัทธากับความเชื่อกับการทำบุญให้ทานอยู่ในกองบุญกองกุศล แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้เด็ดขาด เราก็ต้องพยายามนะ แต่อยากทำความเข้าใจเอา ค่อยทำความเข้าใจจากน้อยๆ ไปหามากๆ เราไม่เข้าใจวันนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องเข้าใจ ตราบใดที่เรายังขวนขวายยังแสวงหาอยู่

อานิสงส์บุญบารมีนั้นมีกันทุกคน ตั้งแต่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้สร้างบุญสร้างตบะบารมีกัน อยู่ในระดับของสมมติกันมาเกือบ 70-80 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องการเจริญสติเข้าไปคลายวิญญาณออกจากความคิดออกจากอารมณ์ เข้าไปดับ ตรงนี้เราต้องมีความเพียรจริงๆ ถ้าไม่ถึงเวลาเขาก็ไม่คลายให้เรา วิบากกรรมสมมติมันไม่คลายให้เราง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เราจะไปจับเขาแยกแค่วันสองวันแค่เดือนสองเดือน มันเป็นไปไม่ได้

เราก็ต้องพยายามสร้างตบะบารมี ความเสียสละของเรามีหรือไม่ สัจจะความจริงใจของเรามีหรือไม่ ความอดทนอดกลั้น อานิสงส์บุญบารมี บารมีสิบ ตั้งแต่ขาดศรัทธา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องประกอบกันเข้ามาพร้อมมูล จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ เหมือนกับเราขึ้นบนบ้าน เราก็ต้องอาศัยบันได ในบันไดนั้นก็มีลูกบันได ในลูกบันไดนั้นก็มีราวบันได ถ้าไม่มีราว ลูกบันไดก็อยู่ไม่ได้ เหมือนกับสร้างบุญสร้างบารมี ก็อิงอาศัยกันหมด เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าอันนี้คือสมมติ วิมุตติ อันนี้ก็ละกิเลส อันนี้จิตวิญญาณในกายของเรา กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ถึงวาระเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ

ตราบใดที่เรายังแยกไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจใน คําสอนของพระพุทธเจ้า หรือไม่เข้าใจในคําพูดของหลวงพ่อ ไม่รู้ว่าพูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องก็ให้หลวงพ่อเป็นบ้าอยู่คนเดียวนี่แหละ หลวงพ่อก็พูดสิ่งนี้มาตั้ง 20-30 ปี รู้ด้วย เห็นด้วย บางคนบางท่านก็เข้าถึง บางคนบางท่านก็รู้ เราทำความเข้าใจให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา เพราะความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ ก็พูดความจริงอย่างนี้ มันมีไม่มาก ทีนี้เราจะละกิเลสได้หรือไม่ ก็เป็นความเพียรของเราเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง มีโอกาสให้เรารีบสร้างรีบทำ บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม การละกิเลสเราก็พยายามละ ให้ได้ทั้งทรัพย์ภายในก็เต็มเปี่ยม ทรัพย์ข้างนอกก็ไม่ได้ลำบาก ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ตกอับ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันนะ ไม่ใช่ว่าจะมานั่งเฉพาะอยู่ที่วัดนี้เท่านั้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถเลยทีเดียว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง