หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 43

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 43
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 43
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ถึงเราดับความเกิดไม่ได้ ก็ให้รู้จักวิธีการเจริญสติ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ เวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ตั้งแต่ตื่นขึ้น

ความรู้ตัวของเรา รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก ก็จะมากขึ้นๆ เราก็จะรู้เท่ารู้ทันการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้า ว่าทำไมใจถึงเกิด ลักษณะใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่เกิดปรุงแต่งส่งออกไปยังภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร อาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตรงนี้มีกันทุกคน บางคนก็คิดเร็ว ใจไปเร็วมาเร็ว บางทีความคิดผุดขึ้นมาเราไม่ได้สังเกต เราไม่ได้สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์

ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็จะเห็น เห็นการเกิดการเข้าไปร่วมเข้าไปรวม เห็นการคลาย การแยกรูปแยกนาม ว่าในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ วิญญาณในขันธ์ห้า เป็นอย่างไร กองรูปกองนามเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิดกิเลส เราขาดการเจริญสติ การเจริญปัญญาเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล

ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีศรัทธา น้อมกายเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แต่เป็นการเชื่อที่ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราต้องปฏิบัติ เราต้องปฏิบัติ การปฏิบัติของเราก็มีอยู่ การให้ทาน การทำความเข้าใจได้เล็กๆ น้อยๆ ความเสียสละ ละกิเลสเราก็มีอยู่ แต่ในหลักธรรมแล้วท่านต้องให้ขัดเกลาเอาออกให้หมดจากใจของเรา จะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา เราต้องรู้ถึงฐานของใจให้ได้เสียก่อน ทำความเข้าใจกับใจของเราให้ได้เสียก่อน เราก็จะเห็นตามความเป็นจริง ตามคำของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราขัดเกลาได้แล้วหรือยัง เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความสะอาดให้อยู่ในความบริสุทธิ์

แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย หลงอาจจะหลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หลงในบุญ หลงในกุศล หรือว่าอกุศล เราต้องมาเจริญสติจนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ปัญญาของเราก็ตามดูเห็นการเกิดการดับของความคิด บางทีก็เป็นเรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้าง สารพัดเรื่องที่เขาจะเกิด บางทีใจของเราก็เข้าไปรวม เราก็ต้องมาวิเคราะห์ตัวเราอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา

ลักษณะของธรรมที่ท่านพูดเอาไว้เป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ปัญญาเข้าไปดู เข้าไปรู้ แก้ไข เป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณ์ธรรมต่างๆ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ เหมือนกับเรามองดูต้นไม้สักต้น อันนี้ใบ อันนี้กิ่ง อันนี้ก้าน อันนี้เปลือก อันนี้กระพี้ อันนี้แก่น ค่อยเลาะไล่ลงไปเรื่อยๆ ใจของเราก็เหมือนกัน อันนี้ขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความหลงนั้นจึงทำให้เขาเกิด เขาหลงมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติ จนกระทั่งมาถึงมาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ พระพุทธองค์ท่านถึงให้ค้นลงไปในกายของมนุษย์ เนี่ยแหละคือสนามรบอย่างดีที่สุด

เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้เสียก่อน และก็พยายามดำเนินสติของเราให้เข้มแข็ง รู้ไม่เท่าทันการเกิดของใจเราก็ใช้สมถะเข้าไปดับเอาไว้ หมั่นฝึกฝนตัวเราอยู่บ่อยๆ หมั่นสังเกตใจของเราอยู่บ่อยๆ ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเรามีความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้าม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่งถึงการก่อตัวของใจ แล้วดับความเกิดของใจ ใจก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์

แต่เวลานี้เราต้องมาเจริญสติ เข้าไปคลาย เข้าไปแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ว่ากิเลสตัวไหนมันเกิดขึ้น เราละได้หรือไม่ กิเลสหยาบหรือว่ากิเลสละเอียด แล้วมีความสุขในการดูในการรู้ในการพิจารณา หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเรา ไม่มีใครจะสอนเราได้หรอกนอกจากตัวของเรา

แนวทางตำราครูบาอาจารย์นั้น ท่านเพียงแค่ชี้แนะแนวทางให้ การเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราเป็นเรื่องของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ให้รู้ให้เห็นให้เข้าถึง น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาปฏิบัติให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะมองเห็นตามความเป็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ

ทุกคนนั้นมีศรัทธา แต่เป็นศรัทธาที่ยังขาดปัญญา เราต้องให้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง แก้ไขตัวเราได้ใช้ตัวเองเป็น มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา แยกทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ให้มีความสงบมีความสุขเกิดประโยชน์อันมากมาย เพราะว่าจิตใจของเรานี้ก็มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง มาอาศัยขันธ์ห้าอยู่ แล้วก็เกิดต่อขณะที่ยังมีลมหายใจยังมีกายอยู่เนี่ยแหละ ยังเกิดต่อ ความเกิดเนี่ยแหละคือความคิด บางทีก็เกิดจากตัวใจ อาการของใจรวมกัน บางทีก็เกิดจากสติปัญญารวมกัน เราต้องมาจำแนกแจกแจง เจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้จักพิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลาทุกเรื่อง

กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอัตตา กับอนัตตา หลักของอริยสัจ ความเกิดของใจเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องพยายามทำ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร เราต้องดูต้องรู้ รู้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจของเรามองเห็นตามความเป็นจริง จนใจของเราไม่หลง ไม่เกิด ไม่เป็นทาสของกิเลส ก็ต้องพยายาม

ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ให้พยายามรีบตักตวงขณะที่กำลังกายของเรายังเข้มแข็ง ยังมีลมหายใจอยู่ ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ความพลัดพรากไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา เราต้องทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน หมั่นตักตวง หมั่นสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ ทั้งการเจริญสติการเจริญภาวนา

ความหมายของการเจริญสติเพื่ออะไร เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออก แยกรูปแยกนาม หงายของที่คว่ำ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าเชื่อแบบงมงาย ใครพูดอย่างไรก็เชื่อไปหมด อันนั้นก็เป็นการเชื่อแบบหลงงมงายอยู่ เราต้องให้รู้แจ้งด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา อันนี้ปัญญาโลก อันนี้ปัญญาธรรม เราต้องเข้าถึงทรัพย์นั้นๆ ทรัพย์ภายในเป็นอย่างไร อริยทรัพย์เป็นอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ทรัพย์ภายนอกเราก็พยายามยังให้เกิดประโยชน์ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เพียงแค่เรื่องทรัพย์ภายนอก เรื่องโลกธรรม พวกเรายังขาดการทำความเข้าใจ ขาดการทำให้เกิดประโยชน์อยู่ พวกเรามองเห็นเป็นก้อน เป็นอัน เป็นสิ่งรวมกันไปหมด เราต้องพยายามจำแนกแจกแจง ให้รู้รายละเอียดชัดเจน

ถ้าใจของเรามองเห็นความเป็นจริงแล้วเขาไม่เอาหรอก การเกิดก็เป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ หลงวนเวียนไหว้ตายเกิดเขาก็ไม่เอา เขาก็จะดับความเกิดขณะที่ยังลมมีลมหายใจอยู่เนี่ยแหละ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน ไปทำหน้าที่แทน มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

วันนี้ก็มีมาบวชพระบวชเณรกันหลายรูปหลายองค์หลายท่าน มีจิตศรัทธาที่จะน้อมกายของเราเข้ามาศึกษา เข้ามาค้นคว้า เข้ามาทำความเข้าใจ หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ญาติโยมของเราอยากจะไปร่วมพิธีบวชนาคกันก็ที่อุโบสถกลางน้ำที่ปางลีลา หลายคนหลายท่านทั้งใกล้ทั้งใกล้ก็ปรารถนาที่จะมาสร้างอานิสงส์สร้างบุญให้มีให้เกิดขึ้น อยู่รวมกันหลายคนหลายท่านก็พยายามรู้จักสมัครสมานสามัคคี รู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่หลายคนเราก็ดูเรา อยู่คนเดียวเราก็ดูเรา อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา อะไรคือความเป็นจริงในชีวิต เราก็จะมีตั้งแต่ความสุข สุขทั้งภายใน สุขทั้งภายนอก สนุกในการทำการทำงาน เอาการเอางานเป็นหลักของการปฏิบัติ

ปฏิบัติเอาการเอางานเป็นการฝึก ฝึกฝนตัวเรา ขณะที่ทำการทำงานใจก็รับรู้ แต่เราต้องคลายใจทั้งด้านภายในของเราให้ได้เสียก่อน หมดความสงสัย หมดความลังเล มีก็แต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าปิดกั้นตัวเรา จงพยายามล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ จนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ก็จะมีตั้งแต่ความสุข

สร้างความรู้ให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีก็ยังดีนะ ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้ อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน จงพยายามไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง