หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 043

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 043
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 043
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเราได้สร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาไปใช้การใช้งานอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง เพียงแค่การเจริญสติก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ เพียงแค่การหายใจเข้าหายใจออกเข้าก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่องแล้วก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด

ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกเราไปมองข้ามเอาตั้งแต่ปัญญาก็เลยกระโดดข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คิดเอานึกเอา ทำตามความคิด อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิด ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียดที่สุด

ใจของเราเกิดมาตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เขาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาสร้างกายเนื้อ หรือว่ามาสร้างขันธ์ห้า ร่างกายของเรานี่แหละ แล้วก็เข้ามาอาศัยอยู่ แล้วก็มายึดในร่างกายก้อนนี้อีก

พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติ ทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ จำแนกแจกแจงว่ามีอะไรบ้าง ที่ท่านว่าธาตุสี่ขันธ์ห้า วิญญาณในกายของตัวเรา ซึ่งว่าถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก ใจปล่อยวางขันธ์ห้า ก็วางส่วนรูปได้ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่าเห็น ‘อนิจจัง’ ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงของอาการของความคิดนั่นแหละ เรื่องอดีต เรื่องอนาคตสารพัดเรื่องที่มันเกิด

บางทีก็เกิดจากตัวใจ ใจเกิดกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มลทินต่างๆ ซึ่งกิเลสต่างๆ นี้มีมาทีหลัง ใจของเรานี้สร้างขึ้นมาอีกทีหนึ่ง แล้วก็เป็นหลง ไปยึด มันก็เลยพอกพูนขึ้นมาเรื่อยๆ พอกพูนขึ้นมาเรื่อยๆ บางทีก็พอกพูนในทางกุศลบ้าง บางทีก็พอกพูนในทางอกุศลบ้าง

ท่านก็ให้มาทำความเข้าใจ ให้ใจของเรากลับคืนสู่สภาวะเดิม คือความบริสุทธิ์ความไม่เกิด จนกระทั่งความเกิดของใจ เราก็ดับความเกิด ไม่อยากเกิดก็ต้องดับความเกิด

ในเมื่อเขาเกิดมาอยู่ในภพมนุษย์เราก็ต้องมาศึกษาในกายของเราให้ละเอียดเสียก่อน แล้วก็ไล่เรียงลงไปที่ต้นเหตุ คือการเกิดของใจ ดับต้นเหตุของใจ ใจก็ไม่ได้เกิดต่อ กายเนื้อแตกดับ ใจก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์

แต่เวลาในใจทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งยึดด้วย อยู่ใต้อำนาจของกิเลส อยู่ใต้อำนาจของโมหะความหลง ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องอบรมใจของเราบ่อยๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าเราจะเจริญสติของเราอบรมใจบ่อยๆ ให้อยู่ในพรหมวิหารให้อยู่ในความเมตตา ให้อยู่ในการสร้างบุญสร้างบารมี

ใจของเราเกิดกิเลส เราก็พยายามละกิเลส คลายกิเลส ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ใจของเราเกิดความโกรธ ก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็พยายามสร้างความอ่อนน้อม สร้างความถ่อมตนสร้างพรหมวิหารให้มีให้ปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องในชีวิต ไม่ใช่ว่าคิดเอา ไปนึกเอา ให้รู้ด้วย เห็นด้วย ลักษณะหน้าตาอาการ เข้าถึงด้วย เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านไม่ได้สอนยากอะไรเลย ท่านสอนเรื่องง่ายๆ เรื่องในกายของเรา ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แต่เวลานี้ใจของเราทั้งวิ่งทั้งเกิดค้นคว้าหากันแต่ภายนอก

พระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปอบรมใจ เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องเท่าไหร่ มันก็เลยห่างไกลในตัวจิต ตัววิญญาณซึ่งมีอยู่ในกายของเรา เดี๋ยวนี้จิตวิญญาณของเราเป็นตัวบงการ รวมกันไปทั้งปัญญา รวมกันไปทั้งขันธ์ห้า ไปทั้งก้อน คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันหลงอยู่ในความรู้ หลงอยู่ในความเกิด ก็ต้องพยายามกัน พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่

การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ด้วยการลงมือขัดเกลากิเลสต้องเป็นความเพียรอย่างยิ่งยวด ซึ่งเรียกว่า ‘มหาสติ มหาปัญญา’ หรือว่า ‘อิทธิบาทสี่’ มีความฝักใฝ่สนใจในสิ่งที่เราดู เรารู้ให้กระจ่างทุกอย่าง จนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ปรากฏขึ้น รู้ด้วยปัญญาที่แท้จริงประกาศด้วยตนเองว่าใจของเราเป็นอย่างไรขณะนี้ ใจของเราปกติ ใจของเราสะอาดจากกิเลสใจของเราคลายจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามได้ ใจของเราปราศจากมลทินต่างๆ ใจของเราไม่เกิด เราก็มองเห็น มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง

กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ กิเลสตัวไหนที่เราละได้ เราก็รู้ มันก็จะค่อยขยับขึ้นไปทีละเปลาะ ทีละเปลาะ เหมือนกับเราขึ้นบันได ขึ้นบันไดขั้นแรก ขั้น 2 ขั้น 3 ขั้น 4 จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย คือตัวก้าวเข้าถึงตัวเรือน ก็จะละกิเลส ละกิเลส มีจิตศรัทธา น้อมกายของเราเข้ามาสู่พระรัตนตรัยว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราก็จะทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลสหยาบๆ ออก ก็เข้าสู่โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค-สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค- อนาคามีผล ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ก้าวเดินเข้าสู่นิพพาน ทรงความว่างไว้เป็นอารมณ์ห่างไกลจากกิเลส จากอริยบุคคลขึ้นคือเป็นสู่อริยะขั้นหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดินทะลุปรุโปร่ง

การทรงความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากขันธ์ห้า ใจเราว่างเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง ใจเราว่างก็โล่ง โปร่ง เบาสบาย ใจก็ไม่หนัก กายก็ไม่หนัก

เราอย่าทำของง่ายให้เป็นของยาก จงพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย เราก็จะอยู่กับบุญ เราก็จะอยู่กับความสุขตลอดเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลา ถ้ารู้จักทำความเข้าใจ ถ้ารู้จักขยันหมั่นเพียร ไม่แค่ว่าปล่อยปละละเลย

แต่การทำบุญศรัทธาขั้นพื้นฐานมีกันเต็มเปี่ยมหมดทุกคน แต่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละ แล้วก็เอาไปทำความเข้าใจ อบรมใจของเรา รู้ลักษณะของใจของเรา รู้การละกิเลส มีเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละชีวิตของมนุษย์ที่ได้เกิดมา

ส่วนการทำบุญให้ทานศรัทธาต่างๆ มีโอกาสได้ทำร่วมกัน บุญสมมติก็มีโอกาสได้ทำ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนโอกาสเปิดการเวลาเปิดพวกเราก็ได้ทำ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดทุกอย่างเท่าที่จะเป็นประโยชน์ในระดับของสมมติ เท่าที่จะเป็นบุญในทางสมมติ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา ส่วนการขัดเกลากิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราว่าจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามขัดเกลาจะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา เป็นความขยันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา

พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เหตุทางด้านนามธรรม เหตุทางด้านวัตถุธรรม การที่จะเข้าถึงสิ่งนั้นๆๆ ท่านมีเหตุไว้หมดแหละ เว้นแต่พวกเราจะดำเนินให้มี เข้าถึงหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงอันนี้ก็ยังยากอยู่

สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง