หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 045
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 045
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ทรมานกายไปอีกสักพักหนึ่ง กายมันเป็นก้อนทุกข์ ลองอดทนนั่งต่อเนื่องให้ได้อีกสักพักหนึ่ง ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยสำเหนียกน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ นี่อันนี้เป็นอุบาย กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเขาวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นี่แหละเราก็พยายามสร้างขึ้นมาให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เพียงแค่เรื่องศิลปะของการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเราก็ไม่ค่อยจะศึกษาค้นคว้ากันให้ต่อเนื่อง อาจจะรู้อยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว
ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน เขาเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก คำว่า ‘ปัจจุบัน’ คือลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ แล้วก็รู้จัก 1 2 3 4 รู้ทุกครั้งที่ลมวิ่งเข้าวิ่งออก นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้าเรามีความรู้ตัวตรงนี้ ใจปกติเราก็จะรู้ ใจของเราเกิด เราก่อตัวส่งออกไปภายนอก เราก็จะรู้ รู้อาการของใจ ความคิดจะผุดขึ้นมา ใจกับอาการของความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าเราสังเกตทัน เรารู้เท่าทันอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นอาการ ใจกับอาการของใจแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ เพียงแค่แยก เพียงแค่เริ่มต้น ใจของเราก็จะพลิกหงายขึ้นมาก็เรียกว่า ‘ว่าง’ โล่งโปร่ง ใจก็จะเบา กายก็จะเบา สัมมาทิฏฐินี้แหละเขาเรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่เริ่มต้นของการเดินปัญญา ถ้าเราตามรู้ ตามดู ตามเห็น การเกิดดับการดับของความคิดที่มาปรุงแต่งจิตปรุงแต่งใจ ก็ว่างรับรู้อยู่ ก็จะเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป น้อยคนที่จะเข้าไปรู้ ไปเห็นตรงนี้ ถ้าไม่มีความเพีียรที่ต่อเนื่องกันจริงๆ
อีกอย่างหนึ่งนั้นถ้าไม่ถึงกาลถึงเวลาก็ยากอยู่นะ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้นี้แหล่ะ ปลูกผลไม้สักต้น เราจะไปเร่งให้มาต้องออกดอกวันนี้ ออกผลวันนี้ อันนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เราต้องหมั่นดูแล หมั่นให้น้ำ หมั่นให้ปุ๋ย หมั่นดูแลเขา ถ้าเขาเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว ต้นไม้ถ้าเป็นไม้ดอกไม้ผล เขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอก เราก็ได้ดอก เราไม่อยากจะได้ผล เราก็ได้ผล เพราะว่าการดูแลรักษาของเรามีนั่นแหละ
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เรามีความเพียรหรือไม่ เรามีศรัทธา เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา แล้วก็มีการสังเกต การวิเคราะห์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติต่อเนื่อง การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ หรือการให้อภัยทาน การอโหสิกรรม เราหมั่นบ่มหมั่นเพาะกำลังสติ กำลังศรัทธา หมั่นบ่มหมั่นเพาะอานิสงส์ผลบุญผลทานของเรา ถ้ามันเต็มมันก็เต็ม ถ้าเต็มแล้วมันก็อิ่ม ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก ไม่มีความอยาก ไม่มีความหิวโหย เราไม่อยากจะได้ เราก็ได้ เราไม่อยากให้ใจของเราสงบ เราก็ต้องสงบ เพราะว่าใจของเราไม่มีความอยาก ใจของเรามีแต่ความอิ่ม ความปิติ ความสุข เหมือนกับเราได้ทำบุญ
เวลาเราได้ทำบุญแล้วจิตใจของเรามีความอิ่ม มีปิติ มีสุข นั่นแหละคือตัวบุญ นั่นแหละคือตัวธรรม ทำอย่างไรเราถึงจะรักษาตรงนี้เอาไว้ให้ได้ตลอด เราก็พยายามสร้างอานิสงส์บารมีของเราให้ได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การสังเกต การวิเคราะห์ การทำความเข้าใจ การสำรวจ การหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็พยายามรู้ใจรู้กายของเรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้กายรู้ใจของเรา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าจะไปวัด ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ ถึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าบุคคลที่มีปัญญา การเจริญสติ การควบคุมใจ การสังเกตใจ ใจที่คลายออกจากกิเลส ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า หมั่นวิเคราะห์ สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เรามีความเกียจคร้านหรือไม่ เรามีความขยันในระดับไหน เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อคนอื่น มันจะล้นออกไป เราก็ต้องพยายามทำให้ ฝึกหัดให้เกิดความเคยชินในตัวของเรา เราไม่อยากจะได้รับความสงบ เราก็จะได้รับความสงบ เราไม่อยากจะได้สมาธิมันก็ได้ ถ้าการกระทำให้ถูกวิธี
ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การดับ การทำความเข้าใจตรงนี้ให้มีให้เต็มเปี่ยม ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปวัดนุ่งขาวหม่ขาวแล้วเป็นการปฏิบัติ อันนั้นก็ยังไม่ใช่อยู่ อันนั้นเป็นแค่เพียงรูปแบบ เราต้องอยู่กับวัด เราต้องอยู่กับพระ ทำใจของเราให้เป็นพระ พุทธะก็คือผู้รู้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่ที่ใจของเรา ให้สร้างขึ้นมา สติไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา ใจของเราแข็งกระด้าง เราต้องพยายามละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีกิเลส เราพยายามละกิเลสออกจากใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ทุกเรื่องเลยตั้งแต่การก่อตัวของจิต
ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความคิดเกิดขึ้นจากตัวใจ หรือความคิดเกิดขึ้นจากอาการของใจ หรือความคิดที่เกิดขึ้นจากสติปัญญาส่วนสมองของเรา เราต้องแยกให้ชัดเจน ส่วนสติ ส่วนใจ ใจอยู่กลางใจ ปัญญาอยู่ส่วนสมอง ความรู้ตัว เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ให้ชัดเจนทุกเรื่อง เราก็จะหมดความสงสัย หมดความลังเล แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา นอกนั้นก็มีแต่ประโยชน์ สร้างประโยชน์ตน สร้างประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ฝากฝังเอาไว้ในโลกหน้า แล้วเราทำปัจจุบันดี อนาคตก็จะออกมาดีเอง
ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนใจตัวเรานะ แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสเราได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันอยู่ตลอดเวลา สร้างไปเถอะ เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นอานิสงส์ติดตามตัวเราไป เพียงแค่เริ่มคิด คิดดี ทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าในสิ่งที่ควรกล้า บุคคลที่มีปัญญาไม่ต้องไปฟังมาก ไม่ต้องไปพูดมาก หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจตรวจตาดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมดความสงสัย ถึงจุดหมายปลายทาง ที่นี้เราละได้เด็ดขาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ตัวของเรา
ลองทำใจของเราให้สงบ มีความรู้สึกรับรู้สึกที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำจิตของเราให้โล่ง ให้โปร่ง ทำจิตของเราให้ว่าง สูดลมหายใจให้ลึกๆ ยาวๆ และผ่อนลมให้ใจมายาวๆ อยู่หลายคนก็เหมือนกันอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าสัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอา อันนี้เพียงแค่ย้ำ
แค่เตือน แค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ นี่อันนี้เป็นอุบาย กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเขาวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นี่แหละเราก็พยายามสร้างขึ้นมาให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เพียงแค่เรื่องศิลปะของการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเราก็ไม่ค่อยจะศึกษาค้นคว้ากันให้ต่อเนื่อง อาจจะรู้อยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว
ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน เขาเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก คำว่า ‘ปัจจุบัน’ คือลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ แล้วก็รู้จัก 1 2 3 4 รู้ทุกครั้งที่ลมวิ่งเข้าวิ่งออก นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้าเรามีความรู้ตัวตรงนี้ ใจปกติเราก็จะรู้ ใจของเราเกิด เราก่อตัวส่งออกไปภายนอก เราก็จะรู้ รู้อาการของใจ ความคิดจะผุดขึ้นมา ใจกับอาการของความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าเราสังเกตทัน เรารู้เท่าทันอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นอาการ ใจกับอาการของใจแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ เพียงแค่แยก เพียงแค่เริ่มต้น ใจของเราก็จะพลิกหงายขึ้นมาก็เรียกว่า ‘ว่าง’ โล่งโปร่ง ใจก็จะเบา กายก็จะเบา สัมมาทิฏฐินี้แหละเขาเรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่เริ่มต้นของการเดินปัญญา ถ้าเราตามรู้ ตามดู ตามเห็น การเกิดดับการดับของความคิดที่มาปรุงแต่งจิตปรุงแต่งใจ ก็ว่างรับรู้อยู่ ก็จะเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป น้อยคนที่จะเข้าไปรู้ ไปเห็นตรงนี้ ถ้าไม่มีความเพีียรที่ต่อเนื่องกันจริงๆ
อีกอย่างหนึ่งนั้นถ้าไม่ถึงกาลถึงเวลาก็ยากอยู่นะ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้นี้แหล่ะ ปลูกผลไม้สักต้น เราจะไปเร่งให้มาต้องออกดอกวันนี้ ออกผลวันนี้ อันนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เราต้องหมั่นดูแล หมั่นให้น้ำ หมั่นให้ปุ๋ย หมั่นดูแลเขา ถ้าเขาเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว ต้นไม้ถ้าเป็นไม้ดอกไม้ผล เขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอก เราก็ได้ดอก เราไม่อยากจะได้ผล เราก็ได้ผล เพราะว่าการดูแลรักษาของเรามีนั่นแหละ
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เรามีความเพียรหรือไม่ เรามีศรัทธา เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา แล้วก็มีการสังเกต การวิเคราะห์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติต่อเนื่อง การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ หรือการให้อภัยทาน การอโหสิกรรม เราหมั่นบ่มหมั่นเพาะกำลังสติ กำลังศรัทธา หมั่นบ่มหมั่นเพาะอานิสงส์ผลบุญผลทานของเรา ถ้ามันเต็มมันก็เต็ม ถ้าเต็มแล้วมันก็อิ่ม ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก ไม่มีความอยาก ไม่มีความหิวโหย เราไม่อยากจะได้ เราก็ได้ เราไม่อยากให้ใจของเราสงบ เราก็ต้องสงบ เพราะว่าใจของเราไม่มีความอยาก ใจของเรามีแต่ความอิ่ม ความปิติ ความสุข เหมือนกับเราได้ทำบุญ
เวลาเราได้ทำบุญแล้วจิตใจของเรามีความอิ่ม มีปิติ มีสุข นั่นแหละคือตัวบุญ นั่นแหละคือตัวธรรม ทำอย่างไรเราถึงจะรักษาตรงนี้เอาไว้ให้ได้ตลอด เราก็พยายามสร้างอานิสงส์บารมีของเราให้ได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การสังเกต การวิเคราะห์ การทำความเข้าใจ การสำรวจ การหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็พยายามรู้ใจรู้กายของเรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้กายรู้ใจของเรา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าจะไปวัด ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ ถึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าบุคคลที่มีปัญญา การเจริญสติ การควบคุมใจ การสังเกตใจ ใจที่คลายออกจากกิเลส ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า หมั่นวิเคราะห์ สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เรามีความเกียจคร้านหรือไม่ เรามีความขยันในระดับไหน เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อคนอื่น มันจะล้นออกไป เราก็ต้องพยายามทำให้ ฝึกหัดให้เกิดความเคยชินในตัวของเรา เราไม่อยากจะได้รับความสงบ เราก็จะได้รับความสงบ เราไม่อยากจะได้สมาธิมันก็ได้ ถ้าการกระทำให้ถูกวิธี
ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การดับ การทำความเข้าใจตรงนี้ให้มีให้เต็มเปี่ยม ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปวัดนุ่งขาวหม่ขาวแล้วเป็นการปฏิบัติ อันนั้นก็ยังไม่ใช่อยู่ อันนั้นเป็นแค่เพียงรูปแบบ เราต้องอยู่กับวัด เราต้องอยู่กับพระ ทำใจของเราให้เป็นพระ พุทธะก็คือผู้รู้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่ที่ใจของเรา ให้สร้างขึ้นมา สติไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา ใจของเราแข็งกระด้าง เราต้องพยายามละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีกิเลส เราพยายามละกิเลสออกจากใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ทุกเรื่องเลยตั้งแต่การก่อตัวของจิต
ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความคิดเกิดขึ้นจากตัวใจ หรือความคิดเกิดขึ้นจากอาการของใจ หรือความคิดที่เกิดขึ้นจากสติปัญญาส่วนสมองของเรา เราต้องแยกให้ชัดเจน ส่วนสติ ส่วนใจ ใจอยู่กลางใจ ปัญญาอยู่ส่วนสมอง ความรู้ตัว เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ให้ชัดเจนทุกเรื่อง เราก็จะหมดความสงสัย หมดความลังเล แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา นอกนั้นก็มีแต่ประโยชน์ สร้างประโยชน์ตน สร้างประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ฝากฝังเอาไว้ในโลกหน้า แล้วเราทำปัจจุบันดี อนาคตก็จะออกมาดีเอง
ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนใจตัวเรานะ แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสเราได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันอยู่ตลอดเวลา สร้างไปเถอะ เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นอานิสงส์ติดตามตัวเราไป เพียงแค่เริ่มคิด คิดดี ทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าในสิ่งที่ควรกล้า บุคคลที่มีปัญญาไม่ต้องไปฟังมาก ไม่ต้องไปพูดมาก หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจตรวจตาดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมดความสงสัย ถึงจุดหมายปลายทาง ที่นี้เราละได้เด็ดขาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ตัวของเรา
ลองทำใจของเราให้สงบ มีความรู้สึกรับรู้สึกที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำจิตของเราให้โล่ง ให้โปร่ง ทำจิตของเราให้ว่าง สูดลมหายใจให้ลึกๆ ยาวๆ และผ่อนลมให้ใจมายาวๆ อยู่หลายคนก็เหมือนกันอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าสัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอา อันนี้เพียงแค่ย้ำ
แค่เตือน แค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง