หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 009

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 009
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 009
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้วิเคราะห์ สังเกตใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ลองสูดลมลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด

ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ก็จะตั้งมั่นขึ้น ส่วนการเกิดการดับของจิต บางทีเค้าก็เกิดส่งออกไปภายนอก บางทีเค้าก็ปกติ อันนั้นมีอยู่ประจำกันทุกคน แต่เราไม่มีความรู้ตัวทั่วพร้อมรู้ให้ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่เท่าทันจิต เท่าทันความคิด อารมณ์ของตัวเราเอง แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราต้องสำรวจตัวเรา ความรู้ตัว หรือว่าสติรู้ตัวไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องแล้วเราก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจของเรา

ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้ว่าหยุด ใช้สมถะเข้าไปหยุด กำหนดอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราใหม่ จนกว่าเราจะเห็นลักษณะใจของเราคลายออกจากอาการของความคิด ของอารมณ์ได้นั่นแหละ หนทางสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีความเพียรอย่างยิ่งยวด มีความเพียรที่ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักขัดเกลากิเลส รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา ละได้มากได้น้อย เราก็พยายามละพยายามขัดเกลา สำรวจตรวจตราดู รู้ใจของเราแต่ละวันปกติ มีความสงบ หรือว่ามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน หรือว่ามีความทะเยอทะยานอยาก หรือว่ามีความยินดียินร้าย กิเลสตัวไหนมันเกิดขึ้นมา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราละได้หรือไม่ เราดับได้หรือไม่

ในหลักธรรมแม้แต่ความอยากคิด อยากมีอยากเป็น ก็ต้องให้หยุดถ้าเป็นตัวใจ หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปทำหน้าที่แทน สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมากับตัวใจต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจน ถ้าแยกไม่ชัดเจนแล้วยากที่จะเข้าใจ ความรู้ตัวทั่วพร้อมที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเค้าเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าแยกแยะได้นะก็เริ่มเห็น มองเห็นปัญญา ปัญญามองเห็น จนตามทำความเข้าใจได้ จนสติที่เราสร้างขึ้นมากลายเป็นมหาสติ จนกลายเป็นมหาปัญญา จนกลายเป็นปัญญา รู้ สร้างขึ้นมาแล้วเอาไปใช้ ไปทำความเข้าใจ ไปละกิเลส จนไม่ได้สร้าง จนเป็นเอง จนเป็นปัญญา ในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ในการละออกจากใจของเรา

ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราตั้งมั่นขึ้น หรือว่าใจของเราสงบ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา สติความรู้ตัว รู้ใจของเรา ต้องรู้ตลอดเวลา ใหม่ๆ นี่จะพลั้งเผลอ ถ้าเราพูดจนเกิดความเคยชิน พูดจนเกิดความชำนาญ ใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้เท่าทัน เราก็รู้จักดับ ใจจะส่งไปภายนอก เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม คนมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ รู้ไม่เท่าทันจิต จิตกับอาการของจิตเป็นอย่างไร เขาเกิดตรงไหน ส่วนไหนส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมา

ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนบน ส่วนสมอง ส่วนกลางใจ ความคิด อารมณ์เค้าเกิดอย่างไร มันมีกันทุกคน มันเกิดกันทุกคน เวลาตากระทบรูป ใจของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียง ใจของเราเป็นอย่างไร เราก็ดับความเกิด ละคลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิดทีละเล็กทีละน้อย ให้มันเหือดแห้งไปๆ ถึงต้นตอมัน มันก่อตัวตรงไหน เราก็ดับตรงนั้น กำลังส่งมันก็ไม่มี มันเกิดอีกเราก็ดับอีก เกิดอีกเราก็ดับอีก แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราตลอดเวลา

อันนั้นไม่ใช่ทาง อันนี้ไม่ใช่ทาง อาการของใจ อาการของความคิด ของอารมณ์เป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราไปหลงไปรวมว่าเป็นตัวเดียวกัน ตราบใดที่เรายังแยกไม่ได้ มันก็ไปรวมกันอยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องแยกต้องคลาย ต้องตามดู ต้องรู้ต้องเห็น ต้องพยายามเอา

แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์อะไร ความเกียจคร้านของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละ ความรับผิดชอบต่อส่วนตัว ต่อส่วนร่วม มีความขยันหมั่นเพียร มันก็มีไม่มากหรอก ถ้าบุคคลที่จะเอาจริงๆ มีไม่มากๆ แต่การละนี่มันยาก การละกิเลสนี่มันยาก ไม่จำเป็นต้องไปอะไรมาก รู้นิดๆ หน่อยๆ รู้ใจของเรานั่นแหละๆ

แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยจะรู้ใจ จะไปรู้แต่ภายนอก ไปที่โน่นที่นี่ ก็ที่โน่นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี ถ้าใจของเรามันไม่ดี อยู่ด้วยกันก็คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เคยดูว่าใจของเราเป็นอย่างไร มันเกิดอย่างไร มันไปอคติอย่างไร ไปเพ่งโทษอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันมีอยู่ มีกันทุกคนนั่นแหละ

ตอนหลงมา การเกิดก็เป็นกิเลส แม้แต่การเกิด มันหลงมาถึงได้มาเกิด ถ้าเราไม่มาแยก มาคลาย มาละ การมาเกิดเป็นมนุษย์นี่ก็หลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ทีนี้เกิดอะไรอีก เกิดในกองบุญกองกุศล เกิดในอกุศล เราก็ต้องพยายามละออกให้มันหมดนั่นล่ะ ละให้มันหมด จะสร้างกุศล อย่าไปยึดติดในกุศล ก็ต้องพยายามไปวิเคราะห์กันเอา ทำความเข้าใจกันเอา เป็นบุคคลที่มีบุญกันทุกคนนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย เราก็ไปสร้างไปทำ หนทางเปิดให้แล้ว เราจะเดินให้มันถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล

แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ยิ่งเรามาอยู่ร่วมกันก็ให้มีความรับผิดชอบให้มากๆ อย่าไปงอมืองอเท้า มีอะไรก็ช่วยกันทำ ขยันหมั่นเพียร ยังประโยชน์สมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นมาได้เลย เราต้องพยายามทำ พยายามสร้าง ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อานิสงส์ก็จะแผ่ไพศาลกว้างขวางออกไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะดับความเกิดของเราได้นั่นแหละ ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง