หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 011
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 011
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงทำความสงบ สร้างความระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ฟังไปด้วยน้อม หมายถึงน้อมระลึกรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา วางทุกสิ่งเราวางไม่ได้เด็ดขาด หยุดๆ หยุดนึกคิดปรุงแต่ง ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านที่เกิดจากจิตของเราเอาไว้ แล้วก็กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมา ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นี่แหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ รู้กายของเรา พยายามรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ อย่าไปกังวลกับอิริยาบถ ทุกอิริยาบถเราพยายามสร้างความรู้ตัว รู้กายแล้วก็พยายามลึกลงไปให้รู้จิต รู้ลักษณะของความสงบ รู้ลักษณะของการเกิดการดับของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ความมุ่งหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตของเรา ทำความเข้าใจกับความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ว่าเขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร ลักษณะหน้าตาอาการก็เป็นอย่างไร เราอย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด การนึกการคิด ถึงแม้จะนึกคิดพิจารณาในธรรม ก็ยังเป็นกิเลสธรรม จิตที่ยังส่งออกไปภายนอกอยู่ เราก็ต้องพยายามสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง
ถ้าความ รู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็พยายามเริ่มต้นใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้จักทำให้ต่อเนื่อง ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอ เราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด พยายามเจาะให้เห็นตรงจุดนี้ให้ได้เสียก่อน
เพราะว่าการเกิดการดับของจิตกับความคิดนั้นเขามีอยู่แล้ว เราเพียงแค่มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ เข้าไป เราคลายความกังวลคลายฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด ทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของความคิด ธรรมชาติของภายนอก ธรรมชาติของภายใน
ความระลึกรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็พยายาม หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ สักวันหนึ่ง สักเวลาใดเวลาหนึ่ง จิตกับความคิดเขาก็จะแยกออกจากกัน
ไม่ต้องไปรีบเร่ง จิตเกิดเมื่อไหร่ เราก็ดับเสีย ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็พยายามรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม การดับ การสังเกตการณ์ การวิเคราะห์ นี่แหละเรียกว่า ‘การกระทำ’
สติปัญญาของเรามีมากในทางโลก เราอย่าเพิ่งเอามาวิเคราะห์ ให้เรารู้เสียก่อน เห็นเสียก่อน ตามทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน ถึงเอากําลังสติของเราไปวิเคราะห์ วิเคราะห์ให้รู้ว่าให้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ที่เกิดๆ ดับๆอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเห็นตรงนี้ เราแยกได้ตรงนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปแยกเขายาก ถ้าเราสังเกตให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวม จิตก็จะแยกออกมาเอง จิตก็จะดีดตัว ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ จิตก็จะหงายขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า ‘หงายจากของที่คว่ำ’ เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ ถ้าเราแยกได้ เขาก็หงายขึ้นมา เปรียบเสมือนกับหงายของคว่ำ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา กําลังสติของเราก็จะตามดูรู้การเกิดการดับ แล้วก็จะเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
ส่วนอานิสงส์ส่วนอื่น บารมีส่วนอื่น เราก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความเกียจคร้าน เราพยายามละความเกียจคร้าน เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราพยายามความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ ให้ในระดับสมมติ ให้ระดับภายใน ให้อภัยทานอโหสิกรรม แล้วก็รู้จักชําระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา
ตามสภาวะเดิมนั้น จิตของทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ อวิชชา หรือว่าความหลงเท่านั้นแหละมาครอบงำจิตของเราเอาไว้ สมมติมาครอบงำจิตของเราเอาไว้ เพราะเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสํารวจตรวจตราดู มีตั้งแต่สติปัญญาที่มุ่งออกไปภายนอก ไปแก้ไขเหตุการณ์ภายนอกอย่างเดียว
เราต้องน้อมสำเหนียกระลึกรู้ให้ต่อเนื่อง ตราบใดที่กําลังสติของเรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ กําลังสติก็จะพลั้งเผลอ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ ไม่ค่อยได้สร้างกันเลยแหละ นานๆ ทีถึงจะระลึกรู้ที นานนานทีถึงจะระลึกรู้ถึงรู้ที มันจะไปทันได้อย่างไร
เราพยายามสร้างผู้รู้สํารวจตรวจตรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่น จิตของเราปกติหรือไม่ จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิด หรือว่าเกิดจากขึ้นภายใน
เราต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งภาระหน้าที่สมมติต่างๆ นั้นก็เป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ ก็ดียังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข พระพุทธองค์ท่านให้ปล่อยให้วางทางด้านจิต ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็วางไม่ได้ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ เราก็รู้จักจุดปลงจุดปล่อยจุดวาง นี่แหละพยายามหมั่นทำความเข้าใจ
เราไม่ได้ทิ้งหรอกปัญญาเก่า เราไม่ได้ทิ้งหรอก เอาปัญญาใหม่ด้วยการเจริญสติ ด้วยการเจริญปัญญาเข้าไปแยกแยะทำความเข้าใจ ของเก่าเราก็มาใช้ได้หมดนั่นแหละ ช่วงใหม่ๆ ทิฐิความคิดเห็นต่างๆ จะเห็นว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่ จะรู้จะเห็นจะถึงอะไร แม้แต่ความทะเยอทะยานอยาก อยากจะรู้ธรรม เราก็ต้องดับให้หมด ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้แล้ว หมดความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทันที กําลังสติของเราก็จะตามทำความเข้าใจเป็นมหาสติ
ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ จิตของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องพยายามแยกให้ได้เสียก่อนถ้าแยกได้แล้ว เราก็จะเดินก้าวเข้าไปถึงปัญญาตัวที่สูงๆได้ ไม่ต้องไปกังวลอะไร ต้องพยายามกัน แม้แต่การหายใจเข้าออกเราก็อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ เพียงแค่สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง อย่าไปกังวลกับกาลกับเวลา อย่าไปกังวลกับอิริยาบถ
ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ กิเลสเกิดขึ้นที่จิตขณะนี้ เราก็รู้จักดับรู้จักละขณะนี้ จิตส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักควบคุม หยุดคิดเสียก่อน หยุดคิด หมายถึงไม่ให้จิตของเราคิด ตัวหลังตัวสติปัญญาเข้าไปคิดพิจารณาแทน อันนี้สำหรับสติคอยควบคุมจิต แล้วก็ลึกลงไปสติก็จะคอยสังเกตดูอาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตอีกครั้งอีกที เข้ามาเมื่อไหร่ เราก็พยายามดู
ขยันหมั่นเพียรกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่ได้มีความสมัครสมานสามัคคี มีความเสียสละช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ มีอะไรก็ช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็ไม่มี ก็พวกเรานั่นแหละได้อยู่ดีมีความสุข ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก พวกเรานั่นแหละได้อาศัยอานิสงส์สมมติ
เรามาอาศัยสมมติสถานที่ตรงนี้อยู่กัน เราก็พยายามช่วยกันดูแล ช่วยกันสร้างให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทำให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ เราได้สร้างเอาไว้ คนรุ่นหลังก็ได้มารับความสงบความสุขความสบาย ได้มาสร้างมาสานต่อสืบต่อไปหลายๆ รุ่น
ไม่มีใครเอาไม่ได้สักคน ถึงวาระเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากสิ่งของต่างๆ แม้แต่ร่างกายของเราเราก็ต้องได้วาง แม้แต่ร่างกายของเราก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม ส่วนจิตของเรานั้น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจคลายความหลง ละความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิดเสีย
เราก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้เกิด ตราบใดที่จิตของเรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างบุญ สร้างคุณงามความดี สร้างกุศลของเรา เพื่อที่จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ทำปัจจุบันนี้ให้ดี อนาคตก็จะออกมาดีเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมา ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นี่แหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ รู้กายของเรา พยายามรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ อย่าไปกังวลกับอิริยาบถ ทุกอิริยาบถเราพยายามสร้างความรู้ตัว รู้กายแล้วก็พยายามลึกลงไปให้รู้จิต รู้ลักษณะของความสงบ รู้ลักษณะของการเกิดการดับของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ความมุ่งหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตของเรา ทำความเข้าใจกับความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ว่าเขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร ลักษณะหน้าตาอาการก็เป็นอย่างไร เราอย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด การนึกการคิด ถึงแม้จะนึกคิดพิจารณาในธรรม ก็ยังเป็นกิเลสธรรม จิตที่ยังส่งออกไปภายนอกอยู่ เราก็ต้องพยายามสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง
ถ้าความ รู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็พยายามเริ่มต้นใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้จักทำให้ต่อเนื่อง ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอ เราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด พยายามเจาะให้เห็นตรงจุดนี้ให้ได้เสียก่อน
เพราะว่าการเกิดการดับของจิตกับความคิดนั้นเขามีอยู่แล้ว เราเพียงแค่มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ เข้าไป เราคลายความกังวลคลายฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด ทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของความคิด ธรรมชาติของภายนอก ธรรมชาติของภายใน
ความระลึกรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็พยายาม หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ สักวันหนึ่ง สักเวลาใดเวลาหนึ่ง จิตกับความคิดเขาก็จะแยกออกจากกัน
ไม่ต้องไปรีบเร่ง จิตเกิดเมื่อไหร่ เราก็ดับเสีย ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็พยายามรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม การดับ การสังเกตการณ์ การวิเคราะห์ นี่แหละเรียกว่า ‘การกระทำ’
สติปัญญาของเรามีมากในทางโลก เราอย่าเพิ่งเอามาวิเคราะห์ ให้เรารู้เสียก่อน เห็นเสียก่อน ตามทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน ถึงเอากําลังสติของเราไปวิเคราะห์ วิเคราะห์ให้รู้ว่าให้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ที่เกิดๆ ดับๆอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราเห็นตรงนี้ เราแยกได้ตรงนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปแยกเขายาก ถ้าเราสังเกตให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวม จิตก็จะแยกออกมาเอง จิตก็จะดีดตัว ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ จิตก็จะหงายขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า ‘หงายจากของที่คว่ำ’ เปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ ถ้าเราแยกได้ เขาก็หงายขึ้นมา เปรียบเสมือนกับหงายของคว่ำ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา กําลังสติของเราก็จะตามดูรู้การเกิดการดับ แล้วก็จะเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
ส่วนอานิสงส์ส่วนอื่น บารมีส่วนอื่น เราก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความเกียจคร้าน เราพยายามละความเกียจคร้าน เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราพยายามความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ ให้ในระดับสมมติ ให้ระดับภายใน ให้อภัยทานอโหสิกรรม แล้วก็รู้จักชําระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา
ตามสภาวะเดิมนั้น จิตของทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ อวิชชา หรือว่าความหลงเท่านั้นแหละมาครอบงำจิตของเราเอาไว้ สมมติมาครอบงำจิตของเราเอาไว้ เพราะเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสํารวจตรวจตราดู มีตั้งแต่สติปัญญาที่มุ่งออกไปภายนอก ไปแก้ไขเหตุการณ์ภายนอกอย่างเดียว
เราต้องน้อมสำเหนียกระลึกรู้ให้ต่อเนื่อง ตราบใดที่กําลังสติของเรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ กําลังสติก็จะพลั้งเผลอ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ ไม่ค่อยได้สร้างกันเลยแหละ นานๆ ทีถึงจะระลึกรู้ที นานนานทีถึงจะระลึกรู้ถึงรู้ที มันจะไปทันได้อย่างไร
เราพยายามสร้างผู้รู้สํารวจตรวจตรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่น จิตของเราปกติหรือไม่ จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิด หรือว่าเกิดจากขึ้นภายใน
เราต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งภาระหน้าที่สมมติต่างๆ นั้นก็เป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ ก็ดียังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข พระพุทธองค์ท่านให้ปล่อยให้วางทางด้านจิต ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็วางไม่ได้ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ เราก็รู้จักจุดปลงจุดปล่อยจุดวาง นี่แหละพยายามหมั่นทำความเข้าใจ
เราไม่ได้ทิ้งหรอกปัญญาเก่า เราไม่ได้ทิ้งหรอก เอาปัญญาใหม่ด้วยการเจริญสติ ด้วยการเจริญปัญญาเข้าไปแยกแยะทำความเข้าใจ ของเก่าเราก็มาใช้ได้หมดนั่นแหละ ช่วงใหม่ๆ ทิฐิความคิดเห็นต่างๆ จะเห็นว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่ จะรู้จะเห็นจะถึงอะไร แม้แต่ความทะเยอทะยานอยาก อยากจะรู้ธรรม เราก็ต้องดับให้หมด ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้แล้ว หมดความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทันที กําลังสติของเราก็จะตามทำความเข้าใจเป็นมหาสติ
ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ จิตของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องพยายามแยกให้ได้เสียก่อนถ้าแยกได้แล้ว เราก็จะเดินก้าวเข้าไปถึงปัญญาตัวที่สูงๆได้ ไม่ต้องไปกังวลอะไร ต้องพยายามกัน แม้แต่การหายใจเข้าออกเราก็อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ เพียงแค่สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง อย่าไปกังวลกับกาลกับเวลา อย่าไปกังวลกับอิริยาบถ
ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ กิเลสเกิดขึ้นที่จิตขณะนี้ เราก็รู้จักดับรู้จักละขณะนี้ จิตส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักควบคุม หยุดคิดเสียก่อน หยุดคิด หมายถึงไม่ให้จิตของเราคิด ตัวหลังตัวสติปัญญาเข้าไปคิดพิจารณาแทน อันนี้สำหรับสติคอยควบคุมจิต แล้วก็ลึกลงไปสติก็จะคอยสังเกตดูอาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตอีกครั้งอีกที เข้ามาเมื่อไหร่ เราก็พยายามดู
ขยันหมั่นเพียรกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่ได้มีความสมัครสมานสามัคคี มีความเสียสละช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ มีอะไรก็ช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็ไม่มี ก็พวกเรานั่นแหละได้อยู่ดีมีความสุข ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก พวกเรานั่นแหละได้อาศัยอานิสงส์สมมติ
เรามาอาศัยสมมติสถานที่ตรงนี้อยู่กัน เราก็พยายามช่วยกันดูแล ช่วยกันสร้างให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทำให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ เราได้สร้างเอาไว้ คนรุ่นหลังก็ได้มารับความสงบความสุขความสบาย ได้มาสร้างมาสานต่อสืบต่อไปหลายๆ รุ่น
ไม่มีใครเอาไม่ได้สักคน ถึงวาระเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากสิ่งของต่างๆ แม้แต่ร่างกายของเราเราก็ต้องได้วาง แม้แต่ร่างกายของเราก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม ส่วนจิตของเรานั้น เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจคลายความหลง ละความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิดเสีย
เราก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้เกิด ตราบใดที่จิตของเรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างบุญ สร้างคุณงามความดี สร้างกุศลของเรา เพื่อที่จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ทำปัจจุบันนี้ให้ดี อนาคตก็จะออกมาดีเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ