หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 095

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 095
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 095
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเรา โดยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย แล้วก็วางใจให้สบาย อย่าเอาใจหรือว่าอย่าเอาจิตไปจดจ่อ วางทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็กระตุ้นความรู้สึกที่ลมหายใจ ความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

ความรู้สึกก็จะเด่นชัด นั่นแหละ ‘สติรู้ตัว’ แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนบนส่วนสมองส่วนจมูกส่วนศีรษะของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ตรงนั้น ส่วนใจก็อยู่กลางใจ ปกติอยู่กลางใจ ถ้าเรามีความรู้สึกต่อเนื่อง เราก็จะรู้ความปกติของใจของจิตของเรา จิตของเราจะก่อตัวจะส่งออกไปภายนอก ส่วนบนก็จะรู้เท่าทัน หรือว่าส่วนสติก็จะรู้ เราก็รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ รู้จักสังเกตรู้จักวิเคราะห์

การเกิดของจิตเป็นอย่างไร การเกิดของความคิดเป็นอย่างไร ทำไมจิตกับความคิดเขาเข้าไปรวมกันจนเป็นสิ่งเดียวกัน อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม ร่างกายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอย่างไรบ้าง ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร ซึ่งเรียกว่า ‘กอง’ ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์’ ซึ่งเราก็สวดก็ท่องกันอยู่ทุกวัน ความหมายของการเจริญสติอยู่ที่ตรงไหน

ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายเข้ามา แล้วก็เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ตามความเป็นจริงนั้น จิตของทุกคนนี่บริสุทธิ์อยู่เดิม แต่ความไม่เข้าใจความไม่รู้ ทำให้จิตของเราเกิด แล้วก็ส่งวิ่งออกไปภายนอก ส่งไปข้างนอกยังไม่พอนะ ยังเป็นทาสของอารมณ์อีก เป็นทาสของความโลภความโกรธ แล้วก็กำลังส่งไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วยแล้วก็ตั้งความหวังเอาไว้ด้วย พร้อมมูลหมดเลย แล้วก็ยึดติดด้วย ยินดีด้วยยินร้ายด้วย ผลักไสด้วย ก็เลยทำให้จิตวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ

เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจ ขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา แล้วก็พยายามคลายความหลงให้ได้ ทุกคนก็หลงหมดกัน จะหลงมากหลงน้อย หลงบุญหลงบาป หลงบุญหลงกุศลหรือว่าอกุศล หลง อาจจะหลงอยู่ในการทำบุญ หลงอยู่ในการให้ทาน อันนี้ก็เป็นฝ่ายกุศล ก็ดี

แต่ถ้าสูงขึ้นไปแล้ว ท่านก็ให้ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ให้ยึด กว่าเราจะจัดระบบระเบียบของจิตของเราให้ได้ ก็ต้องอาศัยความเพียรที่ยิ่งยวด อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง แล้วก็อาศัยพรหมวิหาร การเจริญพรหมวิหาร ศรัทธาของเรามีความเต็มเปี่ยม ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยม การสำรวจการทำความเข้าใจที่ถูกทางที่ถูกต้อง ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้

ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่น ไปปฏิบัติธรรมที่นี่ แม้ตั้งแต่การสร้างสติก็ยังไม่รู้จัก มีตั้งแต่ไปปฏิบัติธรรม อะไรคือธรรมก็ไม่รู้ ได้ ตั้งแต่พูดกัน “ไปเจริญวิปัสสนา” ว่าอย่างนั้น อะไรคือวิปัสสนาก็ยังไม่เข้าใจ สติรู้ตัวก็ยังไม่รู้จัก มันจะไปเข้าใจได้อย่างไร ก็มีตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ ปัญญาสมมติ แต่ก็ยังดีอยู่ที่ยังฝักใฝ่ ยังอานิสงส์ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น

เรื่องจิตเป็นของละเอียดอ่อน ถ้าเราเข้าใจก็รู้สึกว่าจะมองเห็นทางได้ง่ายขึ้น ถ้ายังไม่เห็นลักษณะชัดเจนชัดแจ้ง ก็รู้สึกว่าจะเหมือนกับเส้นผมบังภูเขา เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือเขาอยู่ด้วยกัน แต่ก็ฝ่ามือของเราก็คว่ำอยู่ หลังมือก็อยู่ข้างบน ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ หลังมือก็อยู่ข้างล่างฝ่ามือก็อยู่ข้างบน เขาก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ถึงเรียกว่าสมมติกับวิมุตติ แต่เราอาจจะรู้ตั้งแต่ทางสมมติอย่างเดียว ยังไม่เห็นวิมุตติ ยังไม่ได้คลาย ยังไม่ได้แยก ยังไม่ได้ตามทำความเข้าใจให้ละเอียด

กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทำความเข้าใจแล้วค่อยละ ไม่ให้คลาดสายตาของปัญญาของเราได้เลย ไม่ตั้งแต่เสี้ยววินาที นอกจากจะนอนหลับ เราก็ต้องพยายามเอา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องพยายามสร้างเครื่องอยู่ให้มีให้เกิดขึ้น สติความรู้ตัวไม่มี เราก็สร้างให้มีให้ต่อเนื่อง จิตของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละรู้จักดับ จิตของเราไม่สงบเราก็พยายามทำให้สงบ จิตของเราฟุ้งซ่านเราก็พยายามรู้จักควบคุม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำในสิ่งตรงกันข้าม ถ้าเราไม่คลายออกหมดจากจิตของเรา จิตของเราก็ไม่ถึงความบริสุทธิ์

ในทางธรรม ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้สำรวจ ท่านให้ทำความเข้าใจ ให้คลายออก ให้สำรอกออก ถ้ามีทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คลายออกทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์ ศูนย์นี้ก็คือฐานเดิมของจิต คือความว่าง

ในความว่างนั้นมีจิต มีองค์จิตอยู่ นั่นแหละคือองค์ธรรม กว่าจะคลายออกไปได้มันก็ยากแสนยาก เพราะจิตของทุกคนนี้สะสมกิเลสมาตั้งนาน สะสมอวิชชามาตั้งนาน เหมือนกับดินพอกหางหมู กว่าจะขัดกว่าจะเกลาออกได้ทีละเล็กทีละน้อยมันก็ยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย แต่ถ้าจิตดวงไหนฝักใฝ่ในบุญในกุศล มีตั้งแต่การให้ มีแต่การเอาออก มีแต่การเจริญพรหมวิหาร จิตเช่นนี้แหละ ถ้ามีความเด็ดเดี่ยว มีความเด็ดขาดในการเจริญสติ ในการสังเกต ในการน้อมสำเนียกดู ก็จะไปถึงจุดหมายได้เร็วได้ไว

จะให้ถึงพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ยากอยู่ บางคนบางท่านก็สร้างสมมติมาดี บางคนบางท่านก็สมมติก็ยังลำบากอยู่ แต่ก็มีการเดินปัญญาภายใน เข้าใจภายในแต่สมมติก็ยังลำบากอยู่ก็มี บางคนบางท่านก็พร้อมทั้งสมมติ บางคนบางท่านก็พร้อมทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล อะไรคือวิบากกรรม อะไรคือคือกรรมเก่ากรรมใหม่

ความคิด อารมณ์เป็นอย่างไร ขันธมารเป็นอย่างไร กิเลสมารเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามรู้จักสำรวจตัวเราให้ได้ อย่าให้คนอื่นได้บังคับ เราต้องบังคับตัวเอง แก้ให้ตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก อยู่กับที่นี่แหละ นั่งดูยืนดูนอนดู หมั่นวิเคราะห์พิจารณา ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ สติความรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา ก็รู้อยู่ว่าสติไม่ต่อเนื่อง ก็ต้องพยายามทำให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นที่จิตของเราแม้แต่นิดเดียว

การก่อตัว การเกิด เราต้องดับ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา คนเราทั่วไปนี่พอเริ่มฝึกหัดปฏิบัติมันก็เล่นงานเราทันที กิเลสวิ่งไปที่นู่นบ้างวิ่งไปที่นี่บ้าง หาที่พึ่ง หาที่พึ่งภายในไม่ได้ ก็หาที่พึ่งภายนอกสารพัดอย่าง ไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่นู่นก็ไม่เข้าใจ ไปอยู่ที่นี่ก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าเราเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

ถ้าเรามีความเด็ดเดี่ยว รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับรู้จักวิเคราะห์ เริ่มต้นอยู่ตลอดเวลา ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ อยู่ตลอดเวลา หมดความสงสัย หมดความกังวล หมดความฟุ้งซ่าน รู้ไม่ทันต้นเหตุ ดับ วาง หยุด ดับวางๆ ดับแล้วก็วาง เราจะเอาอะไรเข้าไปดับ สมถะ

ท่านถึงบอกว่าสมถะสร้างกำลังจิต หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์เข้าไปสังเกต มีความเชื่อมั่นในตัวเอง รับรองไม่หลง ถ้าแยกรูปแยกนามได้ก็ กำลังสติก็จะพุ่งแรง ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเดินปัญญา รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลก โลกก็โลกความคิดอารมณ์นี่แหละ รอบรู้ในอัตตารอบรู้ในอนัตตา ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสตัวไหนเราละได้เราก็รู้ กิเลสตัวไหนเราละยังไม่ได้เราก็รู้ เราก็พยายามละ

เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ จนกว่ากิเลสจะหมดออกจากจิตจากใจของเราได้หมดจด เมื่อจิตเชารู้ความจริงแล้ว เขาไม่เอาหรอกทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่กายของเราก็ยังอยู่กับสมมติอยู่ ยังอยู่กับโลกอยู่ กายของเราก็ไปร่วมสมมติ แต่ไม่ให้จิตของเราเกิดกิเลส รู้จักหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อตัวเรา แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข เพียงแค่รับผิดชอบกับสภาพตัวของเรานี่ก็หนักอยู่แล้ว รับผิดชอบต่อส่วนรวมอีกก็ยิ่งเป็นพรหมวิหาร ยิ่งเป็นความเมตตา ยิ่งหนักเข้าไปอีก แต่ก็รับด้วยสติด้วยปัญญา ก็ต้องพยายามกัน

สภาพร่างกายของคนเรานี่ก็ ถึงกาลถึงเวลาก็ต้องแตกต้องดับ เราต้องแก้ไขงานภายในของเราให้เรียบร้อยก่อน ก่อนที่จะเดินงานภายนอก ให้ได้ทั้งทรัพย์ภายในทรัพย์ภายนอก มีโอกาสก็พยายาม อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง